หนิงยามองดูใบหน้าซีดเซียวของซ่งชูอี เข้ามาห่มผ้าให้นางด้วยดวงตาแดงก่ำ “เสียเลือดไม่น้อยเลย! ท่านพักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ”
ซ่งชูอีตอบรับว่าอืมเสียงหนึ่ง หลับตาพักผ่อน นางเพิ่งจะเข้าสู่สภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก
หนิงยาเดินย่องออกไปแผ่วเบา
ภายในจวน ซือหม่าหวยอี้ใช้เจินอวี๋ข่มขู่ให้สาวใช้นำทางเขาเข้าไปข้างใน เจินอวี๋เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมเดิน แต่เป็นเพราะรูปร่างอันบอบบาง จึงถูกซือหม่าหวยอี้ลากเข้าไปโดยตรง คอถูกบีบไว้แน่น ใบหน้างดงามแดงก่ำ ดูเหมือนแทบทนไม่ไหวแล้ว
นครเสียนหยางมีการคุ้มกันแน่นหนาและลงโทษคดีฆาตกรรมอย่างเข้มงวด แม้กระทั่งการให้ที่ซ่อนอาชญากรก็จะถูกประหารสามชั่วโคตร ด้วยเหตุนี้นครเสียนหยางอาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้คนเก็บของหายตามถนน ยามค่ำคืนไม่ต้องปิดประตู ด้วยเหตุนี้กฎหมายของรัฐฉินจึงไม่อนุญาตให้เลี้ยงดูนักดาบและนักรบจำนวนมากเป็นการส่วนตัวในนครเซียนหยางไม่ว่าจะเป็นตระกูลสูงส่งเพียงใด แต่อนุญาตให้เฉพาะเจ้าหน้าที่ในราชสำนักเลี้ยงดูมือดาบหรือนักรบเพียงหนึ่งหรือสองคนเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้แต่จวนในตระกูลใหญ่ก็มีเพียงทาสรับใช้แข็งแรงที่พอรู้หมัดมวย นับประสาอะไรกับจวนหลังใหม่ของซ่งชูอีเล่า?
ซือหม่าหวยอี้บีบคอเจินอวี๋แน่น ทุกคนไม่สงสัยเลยว่าเขาสามารถหักคอบอบบางได้ด้วยการออกแรงเพียงครั้งเดียว ซือหม่าหวยอี้ก็ไม่ได้โง่ เขาหมุนตัวเปลี่ยนตำแหน่งไม่หยุด เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นโจมตีจากข้างหลัง หลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง คนในจวนก็ไม่สามารถหาโอกาสเข้าประชิดตัวได้เลย
ซือหม่าหวยอี้เห็นหนิงยากับไป๋เริ่นใต้ทางเดิน กล่าวด้วยเสียงแหลมคม “ไล่หมาป่าตัวนั้นออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่านางเสีย”
หนิงยาเม้มปาก รู้สึกว่าต่อให้เจินอวี๋ถูกบีบคอตาย นางก็ไม่สามารถปล่อยไป๋เริ่นออกไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว สองฝ่ายชะงักงัน ในที่สุดเจินอวี๋ก็หมดสติไป แขนขาทรุดลงปวกเปียก ท่ามกลางลมหิมะอันหนาวเหน็บ หน้าผากของซือหม่าหวยอี้กลับมีเหงื่อซึม เขาคิดไม่ถึงว่าสาวน้อยผู้นั้นที่ดูอ่อนแอเป็นอย่างยิ่งจะมีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงนี้
“ซ่งหวยจิน! หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะตะโกนความลับความเจ้าออกมาเสีย!” กำลังคนอีกฝ่ายมากกว่า ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็จะถูกคนหาช่องโหว่ได้ง่ายๆ อีกทั้งดูเหมือนว่าเจินอวี๋ก็ทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว ซือหม่าหวยอี้คิดว่าหากตัวเองไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ก็คงต้องคว้าโอกาสนี้เผาหยกงามดั่งศิลา[1]แล้ว
เงียบไปครู่หนึ่ง ประตูห้องก็เปิดออกมาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ซ่งชูอีปรากฏตัวที่หน้าประตู นางอยู่ในชุดตัวกลางสีขาว คลุมเสื้อคลุมตัวใหญ่ด้านนอก ใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ ดวงตามืดมนมองซือหม่าหวยอี้อย่างสงบนิ่ง ทว่ามันกลับทำให้เขาตกใจกลัว
“หนิงยา เจ้าพาไป๋เริ่นไปเที่ยวที่ลานด้านหลัง” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเบา
ซือหม่าหวยอี้ใช้เจินอวี๋เป็นที่กำบัง หากไป๋เริ่นพุ่งเข้าไปโดยที่ไม่รู้กำลังตัวเอง ยากที่จะฆ่าซือหม่าหวยอี้ในขณะที่ปกป้องเจินอวี๋ ซ่งชูอีจำต้องฆ่าด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียวและไม่อนุญาตให้เขาพูดอะไรต่อหน้าธารกำนัลแม้แต่คำเดียว
“ท่าน!” หนิงยากล่าวด้วยความร้อนใจ
“ไปเถิด ไม่เป็นอะไรหรอก” แม้ซ่งชูอีจะไม่รู้ว่าเหตุใดซือหม่าหวยอี้ถึงได้ตีโพยตีพายเช่นนี้ ทว่ากล้ามั่นใจได้เลยว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่านาง
หนิงยาเชื่อคำพูดของซ่งชูอีอย่างลึกซึ้งเสมอมาและเข้าใจนิสัยของเจ้านายบ้านตัวเอง เรื่องที่ท่านสั่ง หากสามารถอธิบายได้ด้วยประโยคที่สองนั่นเป็นเพราะเห็นความสำคัญของนาง หากยังอ้อยอิ่งอีกก็จะทำให้ท่านไม่พอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่านางไม่วางใจ ทว่าก็ยังพาไป๋เริ่นเข้าไปที่ลานหลังบ้าน
ไป๋เริ่นแยกเขี้ยวไปที่ซือหม่าหวยอี้ หันมองซ่งชูอีทุกๆ สามก้าว
“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีกลับหลังหันเข้าห้องไป
ซือหม่าหวยอี้อาศัยช่องว่าง รีบแบกเจินอวี๋เข้าไปในห้อง แล้วลงสลักประตู
ซ่งชูอีนั่งคุกเข่าอยู่บนที่นั่งหลัก พิงที่เท้าแขน นวดๆ ระหว่างคิ้ว “เจ้าดูว่าน้องสาวของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่จะดีที่สุด หากนางตาย เจ้าก็ไม่รอด”
คำพูดของนางนั้นเชื่องช้า น้ำเสียงไม่มีความข่มขู่ หากเป็นการบอกเล่า
ซือหม่าหวยอี้สำรวจลมหายใจของเจินอวี๋ “แค่หมดสติไปเท่านั้น” นิ่งไปครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองซ่งชูอี ลักษณะที่นางปล่อยผมยิ่งเหมือนผู้หญิงมากกว่าเดิม “ซ่งหวยจิน เจ้าคือซ่งเจ้าใช่ไหม”
“ใช่” ซ่งชูอีเอ่ย
ซือหม่าหวยอี้คิดไม่ถึงว่านางจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง
นางเอื้อมมือหมุนไส้ตะเกียง ท่าทางที่ไร้ความตื่นตระหนกจากการถูกเปิดโปงนั้นกลับทำให้ซือหม่าหวยอี้ตื่นตระหนกเล็กน้อย
“สภาพของข้าไปตอนนี้ก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิด เห็นแก่ที่เจ้ากับข้าเคยมีความสัมพันธ์ในอดีต ช่วยเจ้าหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา” ซ่งชูอียกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนั้นมีความหมายคลุมเครือ
“อดีตอะไรกัน!” ซือหม่าหวยอี้ทิ้งเจินอวี๋ลง กล่าวด้วยความโมโห “เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว!”
ซ่งชูอีเอ่ย “อ๋อ? เช่นนั้นหรือ? เช่นนั้นหลังจากที่เจ้าได้รับข่าวการตายของข้า ได้ส่งคนไปรับศพของข้าหรือไม่?”
“ข้าไปแล้ว” ซือหม่าหวยอี้กล่าว “แต่เห็นว่าที่ฝังกระดูกถูกขุด นึกว่าถูกสัตว์ป่า…”
ก็เพราะว่าไม่เห็นศพของซ่งเจ้า เขาจึงสงสัยมาตลอดว่าซ่งชูอีก็คือซ่งเจ้า
“เจ้าช่างกล้าดีจริงๆ หลอกลวงว่าเป็นศิษย์ของจวงจื่อ ปิดบังคนทั้งใต้หล้า!” เมื่อก่อนซือหม่าหวยอี้เพียงรู้สึกว่าซ่งเจ้าหน้าตาก็งั้นๆ บัดนี้เมื่อเห็นซ่งชูอีแล้วกลับรู้สึกขยะแขยง ผู้หญิงขี้เหร่คนหนึ่งอย่างไรก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ยังดีกว่าการที่ไม่ได้เป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายอย่างเช่นตอนนี้
ซ่งชูอีเห็นสีหน้าของซือหม่าหวยอี้ไม่ชัด ทว่าสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อนาง อดที่จะหัวเราะเอ่ยมิได้ “หึ พูดเช่นนี้เท่ากับเจ้ามารับภรรยาเช่นนั้นหรือ?”
“ข้า…ข้าพลั้งมือฆ่าเต๋อเฉิง” ซือหม่าหวยอี้ทรุดตัวลงบนที่นั่ง
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว
เงียบงันไปครู่หนึ่ง ซือหม่าหวยอี้เอ่ยว่า “ขอเพียงเจ้าช่วยข้าพ้นคราวนี้ไปได้ เจ้ากับข้าก็เดินคนละทาง ข้าจะไม่มีวันแพร่งพรายเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน”
คำพูดนี้ ซ่งชูอีไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
“เหตุใดต้องเดินคนละทางด้วย?” ซ่งชูอีขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความอ่อนโยน “เจ้าเป็นสามีของข้า ไม่ยอมรับก็แล้วไป ในเมื่อตอนนี้อธิบายกระจ่างแล้ว บอกว่าจะตัดก็ตัดได้เช่นนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นในเป้ากางเกงของเจ้าที่โดนข้าเตะไปทีหนึ่งยังใช้งานได้อยู่หรือเปล่า”
ซือหม่าหวยอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง มองดูรูปลักษณ์ของซ่งชูอีกครั้ง หากไม่บอกก็ดูเหมือนชายหนุ่มที่ชราก่อนวัยอันควร ในใจรู้สึกคลื่นไส้อย่างช่วยไม่ได้ ทว่าแต่เพื่อความอยู่รอดและชีวิตในอนาคต เขาตัดสินใจที่จะมองข้ามไปบ้าง “จะพูดอะไรก็ได้ ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าสักครั้ง”
ซ่งชูอีลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาซือหม่าหวยอี้ ก้มตัวลงยื่นมือเกยคางของเขาขึ้นมา ยิ้มเอ่ย “หน้าตาหล่อเหลาจริงๆ”
ซือหม่าหวยอี้ปัดมือของนางทิ้งทันที เอ่ยด้วยความเย็นชา “ซ่งเจ้า! เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก อย่าลืมสิว่าในมือของข้ายังมี…เอื๊อก!”
เขาพูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกเพียงหัวใจเย็นวาบ ก้มหน้าลงมองก็เห็นดาบที่ทอแสงหิมะเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจของเขาโดยตรง เขาต้องการต่อต้าน แต่ทันใดนั้นก็พบว่าตัวเองไม่สามารถออกแรงได้เลย
“เจ้า…โหดเหี้ยมนัก”
โลกใบนี้ชุ่มไปด้วยเลือด ซือหม่าหวยอี้เคยเห็นความไร้ปรานีมานับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เชื่อว่าผู้หญิงที่มีคุณธรรมคนหนึ่งจะกลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นภายในระยะเวลาเพียงสองปี! เขายังไม่ลืมท่าทางหลงใหลได้ปลื้มและว่านอนสอนง่ายที่ซ่งเจ้ามีต่อเขาในอดีต ดังนั้นในขณะที่ซ่งชูอียอมรับตัวตน เขาจึงลดความระมัดระวังตัวลง
เขาคิดผิด…ทั้งๆ ที่รู้ว่านางเปลี่ยนไปมาก เขาไม่ควรใช้ความทรงจำมาวัดคนคนนี้จริงๆ…
ครั้นดาบถูกดึงออกอย่างแรง เลือดกระเซ็นทุกทิศทาง ซ่งชูอีแทงดาบไปที่คอของเขาอีกครั้งโดยไม่ลังเล
“เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าเต็มใจฆ่าเจ้าอย่างง่ายดาย แสดงว่ายังไม่เต็มใจที่จะใช้ความโหดเหี้ยม” ซ่งชูอีคว้าคอเสื้อของเขาแล้วโน้มตัวกระซิบข้างหู
พูดจบก็ปล่อยมือที่คว้าตัวเขา หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดดาบสั้นจนสะอาดแล้วใส่กลับเข้าไปในแขนเสื้อ เดินไปที่ประตูเพื่อคลายสลักออก เอ่ยด้วยเสียงอันดัง “เด็กๆ”
ผู้คนที่อยู่เต็มลานล้วนจับจ้องประตูห้องที่ปิดสนิทด้วยความตื่นตระหนก นอกจากนี้ยังมีบ่าวรูปร่างแข็งแรงสองสามคนกำลังโลเลว่าจะพังประตูเข้าไปดีหรือไม่ เนื่องจากได้ยินซ่งชูอีตะโกนเรียกคน จึงรีบเปิดประตูเข้าไป
ทุกคนเห็นว่าในห้องเต็มไปด้วยเลือดก็ต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนที่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งจึงถูกคนรูปร่างผอมบางราวกับลำต้นไผ่ฆ่าตายภายในพริบตา
ซ่งชูอีเอ่ย “เอาไปไว้ในลาน ไปแจ้งความ บอกว่าคนผู้นี้ฆ่าแขกที่ปรึกษาในจวนขององค์ชายจี๋ก่อน จากนั้นก็จับน้องสาวข้าเป็นตัวประกันบุกเข้าจวนต้องการจะฆ่าข้า ข้าจำต้องใช้ดาบฆ่าเขา”
ในรัฐฉินการต่อสู้ด้วยเหตุผลส่วนตัวเป็นเรื่องปกติ หลังจากการปฏิรูปก็เข้มงวดเรื่องการฆ่าคนด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ไม่มีข้อกำหนดว่าห้ามฆ่าผู้ที่บุกรุกเคหสถาน
“ขอรับ!” บ่าวเหล่านั้นช่วยกันลากซือหม่าหวยอี้ออกไปอย่างทุลักทุเล
ซ่งชูอีมีเหงื่อเย็นซึมออกมา นอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่งก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หนิงยากับไป๋เริ่นไม่ได้ไปไหนไกล ครั้นเห็นคนลากศพออกมาจากภายในห้อง ก็รีบวิ่งเข้าห้องมา “ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร” น้ำเสียงของซ่งชูอีอ่อนล้า “ข้าหมุนไส้ตะเกียงให้หลวมแล้ว ดับให้หมดเถิด”
หนิงยายืนอยู่ในห้องนั้นเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าทั้งร่างกายอ่อนปวกเปียกจนไม่สามารถออกแรงได้ จากนั้นก็หยิบกระบอกไม้ไผ่ดับตะเกียงน้ำมันทีละดวง ตะโกนเรียกให้คนเข้ามาแบกเจินอวี๋กลับไปที่ลานด้านหลัง
ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม หนิงยาค้นหาเสื้อตัวกลางสะอาดตัวหนึ่ง ช่วยซ่งชูอีเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยอาศัยแสงไฟที่อ่อนแรง จากนั้นก็ยกน้ำมาเช็ดคราบเลือดภายในห้องจนสะอาด
ซ่งชูอีฟังเสียงนางทำความสะอาดอย่างเบามือ ค่อยๆ ผล็อยหลับไป
ใกล้เวลาพลบค่ำ เจียนจึงสามารถเชิญชูหลี่จี๋และหมอหลวงกลับมาได้ เขายืนอยู่ท่ามกลางพายุอันหนาวเหน็บที่ประตูเมืองเป็นเวลาครึ่งวัน การประชุมทางการเมืองจึงสิ้นสุดลง
ชูหลี่จี๋เข้าประตูมาก็เห็นเจ้าหน้าที่ทางการยกศพออกไปพอดี เอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ซ่างต้าฟู!” เจ้าหน้าที่วางศพลง ประสานมือเอ่ยกับชูหลี่จี๋ “บุคคลนี้ชั่วร้ายยิ่ง ฆ่าผู้ชายคนหนึ่งที่จวนของท่านก่อน แล้วจับแม่นางเจินเป็นตัวประกันเพื่อบุกเข้าจวนซ่ง พยายามที่จะทำร้ายซ่งจื่อ ซ่งจื่อจึงต้องฆ่าเขาขอรับ”
ชูหลี่จี๋ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ทันทีที่เขาออกจากประตูวังก็ได้ยินว่าหลี่ว์เต๋อเฉิงถูกฆ่าตาย ส่วนซ่งชูอีก็กำลังจะตาย เขาจึงสั่งให้ผู้ดูแลจวนจัดการเรื่องในจวนชั่วคราวแล้วมาที่นี่ก่อน คิดไม่ถึงว่าบุคคลนี้จะบังอาจ กล้าบุกเข้ามาในจวนซ่ง
ครั้นเขานึกถึงข่าวที่เพิ่งสืบเจอเกี่ยวกับซือหม่าหวยอี้เมื่อสองวันก่อนก็ขมวดคิ้ว ก้มหน้าเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของซือหม่าหวยอี้เบิกโพลง เลือดยังคงไหลออกจากปาก จึงก้มตัวตรวจสอบชีพจรของเขา เมื่อรู้สึกว่าบัดนี้ไร้การเคลื่อนไหวใดแล้วก็โบกๆ มือ “ยกไปเถิด”
จากนั้นก็นำทางหมอหลวงไปยังห้องของซ่งชูอี
หิมะตกหนักปกคลุมไปทั่ว
ในพื้นที่รกร้างห่างเสียนหยางสี่สิบลี้ แผ่นดินสีขาวเชื่อมกับท้องฟ้าสีเทา ขบวนกองทัพในชุดเกราะสีดำยาวเฟื้อยแบ่งสนามหิมะออกเป็นสองส่วน
พายุหิมะชะลอความเร็วของการเดินทัพ ยิ่งเข้าใกล้เสียนหยางหิมะก็ยิ่งทับถมหนา ไม่ว่าจะเป็นทหารบกหรือทหารม้าล้วนเดินทางด้วยความยกลำบาก
ซือหม่าชั่วสั่งให้ผู้ส่งสารเข้านครไปส่งสารก่อน เพื่อระบุตำแหน่งประจำการของกองทัพ ทหารหลายหมื่นนายนี้ไม่สามารถเข้านครได้ ทำได้เพียงตั้งค่ายอยู่ด้านนอก ทว่าองค์จวินต้องเป็นผู้กำหนดสถานที่ประจำการ
ราตรีล้ำลึก ไฟในพระราชวังเสียนหยางไหววูบตามแรงลม
ที่มุมพระราชวัง จวินหนุ่มในเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มือที่ไพร่อยู่ด้านหลังถือหนังสือผ้าไหมแผ่นหนึ่ง ด้านบนเต็มไปด้วยตราประทับฉินแน่นขนัด สามารถเห็นคำว่าประมาณว่า “สกุลซ่ง” “ซือหม่า” ได้เลือนราง
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซ่อนอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง ราวกับรูปปั้นแกะสลักที่มองอารมณ์ไม่ออก
[1] เผาหยกดั่งหิน เปรียบเทียบการไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดี จนทำให้ของสูงค่าเสียหายมอดม้วย