บทที่ 252 ความฉลาดของอิ๋งซื่อ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ฝ่าบาท ได้เวลาพักผ่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวเสียงเบาอยู่นอกห้อง

อิ๋งซื่อขยับตัวเล็กน้อย ทว่ากลับมิได้สนใจขันทีผู้นั้น

เขาหมุนตัวโยนหนังสือผ้าไหมในมือลงไปในเตาไฟ มองดูหนังสือผ้าไหมกลายเป็นขี้เถ้า หยิบแถบไม้ไผ่ขึ้นมาหมุนไส้ตะเกียงที่กำลังจะดับเบาๆ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินออกมาจากมุมพระราชวัง “ขันทีเถา ออกนอกวังกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเตรียมเสื้อคลุมตัวใหญ่เพื่อสวมให้อิ๋งซื่อ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาทจะนั่งรถหรือว่าขี่ม้าพ่ะย่ะค่ะ?”

องค์จวินแห่งรัฐฉินในอดีตล้วนมิใช่คนที่อยู่บนที่สูงและไม่รู้ความทุกข์ร้อนของราษฎร การที่จวินออกนอกวังเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องจัดวางกองทัพใหญ่เป็นพิเศษทุกครั้ง

“เตรียมร่มก็พอ” อิ๋งซื่อกล่าว

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาค้อมตัวถอยออกไป สั่งให้คนนำร่มมา

ขันทีเถาแจ้งทหารองค์รักษ์หู่เปินว่าจวินกำลังจะเสด็จไปที่ใด จากนั้นก็ติดตามอิ๋งซื่อออกจากวัง

แม้จะอยู่ท่ามกลางสายลมและหิมะเช่นนี้ก็ยังนับว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของอิ๋งซื่อ ความหนาวเหน็บนี้ทำอะไรเขาไม่ได้

ภายในจวนซ่ง

ซ่งชูอีหลับไปครึ่งชั่วยามก็ตื่นขึ้นมา เห็นว่าชูหลี่จี๋ที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงกำลังมองนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “พี่ใหญ่กำลังคิดอะไรอยู่?”

ชูหลี่จี๋ไม่ทันตั้งตัวว่านางจะตื่นขึ้นมากะทันหัน แอบตำหนิตัวเองที่ไม่เก็บอาการให้ดี เขาจัดการอารมณ์อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “หิวหรือไม่?”

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มีอะไรก็ว่ามาเถิด”

ชูหลี่จี๋รู้ว่าตอนนี้ตนเผยความรู้สึกของตนเองออกมาแล้ว ปิดบังต่อไปมีแต่จะทำให้นางไม่สบายใจ “ไม่รู้ว่าหมอหลวงจะวินิจฉัยออกหรือไม่ว่าเจ้าเป็นผู้หญิง”

ในโลกใบนี้หมอที่จับชีพจรแล้วรู้ว่าคนไข้เป็นหญิงหรือชายไม่ได้มีเพียงเปี่ยนเชวี่ยเพียงผู้เดียว อย่างน้อยชูหลี่จี๋ก็ทำได้เช่นกัน “ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ท่านหมอมีความเป็นไปได้มากว่าจะดูออก ทว่าหลังจากเขาจับชีพจรแล้วก็ได้มีความสงสัยใด นี่ไม่แปลกมากหรือ? นี่จู่ๆ ทำให้ข้านึกถึงหมอหลวงที่จับชีพจรให้เจ้าคราวก่อน ก็ไม่มีความสงสัยใดๆ เช่นกัน”

ชูหลี่จี๋ฝังเข็มไม่เป็น ดังนั้นจึงมิได้ห้ามให้ท่านหมอจับชีพจร เขาวางแผนที่จะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เขาพูดความจริงในภายหลัง อย่างไรก็ดีเหตุการณ์กลับอยู่เหนือความคาดหมาย “ข้ารู้จักหมอผู้นี้ดี เขามิใช่คนที่เก็บความลับได้ ในเมื่อเขาสามารถทำได้ถึงขั้นที่ไม่แสดงอาการใดๆ อาจเป็นเพราะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือไม่ก็เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นผู้หญิง”

ซ่งชูอีพิจารณาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเดาว่า ฝ่าบาทรู้เรื่องนานแล้ว”

ชูหลี่จี๋กระตุกคิ้ว แม้ว่าเขาก็คาดเดาไว้เช่นนี้ ทว่าครั้นได้ยินซ่งชูอีกล่าวเช่นนี้ก็ยังรู้สึกตกใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วต่อให้ซ่งชูอีจะถูกเปิดโปง ชูหลี่จี๋ก็ยังมีความสามารถที่จะรักษานางให้ปลอดภัย แต่ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ทำให้นางลำบากใจด้วยสาเหตุนี้ ก็คงไม่เรียกใช้นางในงานสำคัญอีกแล้วกระมัง?

“ตอนเที่เพิ่งเข้ารัฐฉิน ข้าดื่มสุรากับฝ่าบาทในวัง เมามายจนไม่เป็นผู้เป็นคน” ความทรงจำของซ่งชูอียังคงสดใหม่ นางสามารถดื่มได้มาก ทว่าไม่สามารถเทียบกับอิ๋งซื่อที่ดื่มสุราราวกับน้ำเปล่าได้ “เช้าวันต่อมา ข้าตื่นขึ้นมาในห้องนอนของจื่อเฉา จื่อเฉาบอกว่าฝ่าบาทเป็นคนพาข้ามาส่งด้วยตัวเอง อีกทั้งเสื้อผ้าบนตัวของข้ายังคงเหมือนเดิมไม่ถูกแตะต้อง”

หากเหตุการณ์ดำเนินไปตามปกติ แม้ว่าอิ๋งซื่อสั่งให้จื่อเฉาปรนนิบัติซ่งชูอี จื่อเฉาไม่ถวายตัวก็ช่างประไร แต่อย่างน้อยก็ต้องช่วยซ่งชูอีทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้ากระมัง ทว่านางมิได้ทำเช่นนั้น แสดงว่าจะต้องมีคนกำชับเป็นพิเศษอย่างแน่นอน ส่วนคนนั้นจะเป็นใคร บัดนี้ไม่ต้องพูดก็รู้แล้ว

ซ่งชูอีเก็บเรื่องนี้อยู่ในใจมาโดยตลอด ทว่ามิได้ไปตรวจสอบให้กระจ่าง

“หากกล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทก็รู้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ารัฐฉินแล้วหรือ!?” ชูหลี่จี๋ค่อนข้างประหลาดใจและดีใจ ประหลาดใจที่อิ๋งซื่อละเอียดอ่อนได้ล้ำลึกเพียงนี้ ดีใจที่เขาไม่ดูแคลนซ่งชูอีด้วยเรื่องนี้

สาเหตุที่ซ่งชูอีปกปิดนั้น ท้ายที่สุดแล้วนางมิได้ปกปิดผู้คนใต้หล้า หากแต่เป็นอิ๋งซื่อเพียงผู้เดียว ในเมื่อเขารู้แล้วแต่ยังใช้ซ่งชูอีในการโค่นปาสู่ ก็แสดงว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้เลย!

“แปดเก้าส่วนกระมัง” ซ่งชูอีเอ่ย

ชูหลี่จี๋กับอิ๋งซื่อเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทว่าอิ๋งซื่อนั้นได้ท่องเที่ยวอยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นเวลาหลายปีในฐานะราษฎรและเขาก็ไปอยู่ในเขตพื้นที่พระราชทานตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใคร่เข้าใจอิ๋งซื่อมากนัก ชูหลี่จี๋นึกถึงความเฉียบขาดของอิ๋งซื่อตลอดระยะเวลาสองปีที่ขึ้นครองราชย์ วิธีการนั้นรวดเร็วและแยบยล มีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง ในใจมีความเชื่อมั่นมากกว่าเดิม

“ท่านเจ้าคะ” หนิงยารายงานอยู่ข้างนอก “ฝ่าบาทมาพบท่านด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”

ซ่งชูอีกำลังจะลุกขึ้นยืน ประตูก็ถูกผลักเข้ามา อิ๋งซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับลมหิมะ สายตาจับจ้องอยู่ที่ซ่งชูอี “ซ่งจื่อกำลังป่วย ไม่ต้องมากพิธี”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นแอบสบตากับชูหลี่จี๋เล็กน้อย คิดในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน

“ถวายบังคมฝ่าบาท” ชูหลี่จี๋ค้อมคำนับ

“ไม่ต้องมากพิธี” อิ๋งซื่อเดินมาที่เตียง สำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียดสองสามรอบ คิ้วทรงดาบขมวดกัน “เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้อีกแล้ว?”

“ฝ่าบาทเชิญนั่ง” ซ่งชูอีพิงอยู่ที่เตียง ครั้นเห็นว่าอิ๋งซื่อนั่งลงแล้วก็ถอนหายใจเอ่ย “ข้าสมควรได้รับภัยพิบัตินี้! ไม่อาจหลบเลี่ยงได้”

“ฝ่าบาท แขกที่ปรึกษาในจวนกระหม่อมถูกฆ่า ยังมิได้กลับไปจัดการ กระหม่อมขอทูลลาแล้ว” ชูหลี่จี๋เอ่ย

อิ๋งซื่อพยักหน้า “หลี่ว์เต๋อเฉิงก็เป็นบัณฑิตที่เที่ยงธรรมคนหนึ่ง เสียชีวิตในฉินอย่างไร้เหตุผล ข้าจะให้จงต้าฟูจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่”

“กระหม่อมขอขอบคุณแทนท่านหลี่ว์” ชูหลี่จี๋ค้อมคำนับต่ำ ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย องค์จวินเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่นาน มีกิจการไม่ขาดสายทุกวัน ไม่มีเวลาได้ผ่อนคลายเลย ทว่ากลับเข้าใจแขกที่ปรึกษาไร้ตำแหน่งคนหนึ่งในจวนของตนได้เป็นอย่างดี! อีกทั้งฟังจากคำพูดแล้วก็คงรู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น

ซ่งชูอีเข้าใจว่าการที่ชูหลี่จี๋จากไปเพราะต้องการให้นางหาโอกาสถามเป็นการส่วนตัว

ซ่งชูอีเข้ามาพัวพันแล้ว ไม่สามารถเล่นตุกติกต่อหน้าเจ้านายผู้นี้ได้ จะเอ่ยปากได้เยี่ยงไรเล่า…

ฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นสตรี?

ซ่งชูอีส่ายศีรษะ ไม่ได้ ถ้าหากของถ้าหากว่าเขาไม่รู้เล่า?

ฝ่าบาท ที่จริงท่านไม่รู้สึกข้าไม่ใคร่เหมือนกับผู้ชายคนอื่นหรือ? ท่านรู้สึกว่าข้าที่เป็นแบบนี้ไม่เหมือนผู้หญิงไปหน่อยหรือ?

ซ่งชูอีส่ายศีรษะอีกครั้ง อิ๋งซื่อไม่ชอบการอ้อมค้อม ถามเช่นนี้ไม่เหมาะสม

ฝ่าบาท ที่จริงแล้วข้าเป็นสตรี!

เหมือนวิธีนี้จะเรียบง่ายที่สุด? ทว่าหากตรงเกินไปก็ไม่ละเอียดอ่อนพอ

“เจ้ากำลงคิดอะไร?” อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้นมา ยืนอยู่ข้างเตียงมองลงมาที่นาง

ซ่งชูอีกระแอมไอ เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ฝ่าบาท…”

อิ๋งซื่อรออย่างสงบนิ่งท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวาย

ซ่งชูอีกัดฟัน กล่าวอย่างสั้นๆ และกระชับ “ข้าสตรี”

แววตาของอิ๋งซื่อล้ำลึก ดื่มน้ำคำหนึ่ง ยื่นมือตบๆ ไหล่ของนาง ปลอบประโลมอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องคิดมาก แม้ว่าจะดูเป็นผู้หญิงไปหน่อย ท่าทางเลอะเลือนไปบ้าง ทว่าเจ้าก็ยังมีข้อดีอย่างอื่น”

นางนิ่งไปครู่หนึ่ง “คำแนะนำของฝ่าบาทล้ำค่ายิ่ง ราวกับกับน้ำค้างแข็งเพิ่มเติมในวันหิมะตก สดชื่นบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจกระหม่อมปลอดโปร่งทันใด หายใจได้อย่างราบรื่น ไม่เวียนศีรษะอีกต่อไป ทั้งร่างกายเต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน”

คำพูดนี้ก็มิได้เสแสร้งเลย นางเปี่ยมด้วยพลังงานจริงๆ…พลังงานที่ต้องการจะต่อยคน

“เยี่ยมมาก” อิ๋งซื่อพยักหน้า “เช่นนั้นข้าขอกลับก่อนแล้ว รักษาตัวด้วย”

วางถ้วยลง อิ๋งซื่อเหลือบมองนาง พยักหน้าอำลาแล้วก็หมุนตัวจากไป ไร้การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นตามนิสัยปกติของเขา

“น้อมส่งฝ่าบาท” ซ่งชูอียังไม่ทันพูดจบ อิ๋งซื่อก็ออกไปนอกห้องแล้ว

นางจ้องมองไปยังภายในห้องที่ว่างเปล่าและคลุมเครือครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องอยู่ที่ถ้วยสองสามใบบนโต๊ะ เหม่อลอยเงียบๆ นางกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว อิ๋งซื่อเป็นคนฉลาด ไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจ ทว่าเขากลับทำเป็นไม่รู้เรื่อง…เพราะเหตุใด?

ไม่ช้า ทันใดนั้นประตูข้างนอกก็ถูกเปิดออก

ซ่งชูอีนึกว่าเป็นหนิงยา ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับเห็นอิ๋งซื่อที่มีหิมะตกเป็นจุดๆ อยู่บนเสื้อคลุม

เขายืนอยู่ข้างโต๊ะที่ห่างจากนางไม่เกินครึ่งจั้งพร้อมกับมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจตั้งข้อสงสัยได้ “ต้าฉินใช้เฉพาะผู้ที่มีความสามารถ ความสามารถที่ยอดเยี่ยมในใต้หล้า มีเพียงคนที่อิ๋งซื่อไม่อยากใช้ ไม่มีคนที่อิ๋งซื่อไม่กล้าใช้อย่างแน่นอน!”

ต้องกล้าหาญและมั่นใจขั้นไหนจึงจะกล้ากล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาได้!

ซ่งชูอีนิ่งไป จนกระทั่งเขาจากไปแล้วจึงจะสามารถดึงสติกลับมาได้ อดที่จะยิ้มไม่ได้ ทนไม่ไหวจนหัวเราะออกมาเสียงดัง นางตะโกนเสียงสูง “ซ่งหวยจินโชคดีสามภพสามชาติ วาสนาดีเหลือเกิน!?”

ข้างนอกหิมะหนักโปรยปราย เสียงของซ่งชูอีดังลอยออกไป ก้าวเดินของอิ๋งซื่อหยุดชะงัก มุมปากบางๆ กลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย

รัฐฉินประกาศมาโดยตลอดว่าจะใช้เฉพาะผู้ที่มีความสามารถเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ แต่ก็ใช่ว่าไม่เคยใช้สตรีเพศ อย่างไรก็ตามนี่นับเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงถูกใช้เพื่อเข้าร่วมในการปกครองระดับรัฐอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซ่งชูอีถอนหายใจ สุดท้ายแล้วนางก็ยังประเมินความกล้าหาญของอิ๋งซื่อต่ำไป

นึกถึงชาติที่แล้ว ความสามารถในการรับรู้และควบคุมพรสวรรค์ของอิ๋งซื่อนั้นกล่าวได้ว่าเป็นที่สองในบรรดาเจ็ดมหานครรัฐ ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง

ตั้งแต่ซ่งชูอีเกิดใหม่ก็รู้สึกมีความสุขเช่นนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่การโค่นปาสู่ก็เทียบไม่เท่าหนึ่งในหมื่นด้วยซ้ำ

บุรุษยินดีอุทิศตนเพื่อผู้ที่ชื่นชมและเข้าใจตนเอง ซ่งชูอีเข้าสู่ความฝันทั้งรอยยิ้ม นางได้เห็นชีวิตของตัวเองที่ไม่มีอะไรน่าเสียใจของตนแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย

เมื่ออารมณ์ดี อาการป่วยย่อมดีขึ้นตามธรรมชาติ

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว ร่างกายของซ่งชูอีฟิ้นฟูอย่างรวดเร็ว นอกจากดวงตาที่มืดดำเป็นครั้งคราว ก็ไม่มีอย่างอื่นที่ไม่สบายตัว

เมื่อคืนซ่งชูอีได้ยินข่าวว่าทหารที่ได้รับชัยชนะกำลังจะเข้านคร หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ก็พาเจียนไปชมที่ถนน

บัดนี้ถนนเส้นหลักเต็มไปด้วยฝูงชน ซ่งชูอีไม่ได้นั่งอยู่ในโรงสุราริมถนน แต่เบียดเสียดกับผู้คนที่เฝ้าดูความครึกครื้น

“มาแล้ว มาแล้ว!” ฝูงชนเริ่มปั่นป่วน

เจียนคุ้มกันซ่งชูอีเพื่อเบียดตัวไปยังด้านหน้าสุด

ซ่งชูอีหรี่ตาก็เห็นทหารในชุดเกราะสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวมาจากที่ไกลๆ นี่เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่เยี่ยมยอดที่สุดในกองทัพซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่าผู้นำทัพ

“ทหารฉินหมื่นปี! ท่านแม่ทัพแห่งเทพสงคราม!” ไม่รู้ว่าใครในฝูงชนตะโกนขึ้นมา จากนั้นเสียงโห่ร้องกึกก้องก็ดังขึ้นราวกับระลอกคลื่นลูกใหญ่

ในสมองของซ่งชูอีมีเสียงดังวิ๊งๆ ได้ยินไม่ถนัดและเห็นไม่ชัด

“ย้าก!”

“ดูเร็ว ดูเร็ว! ผู้ชายหล่อมากเลย!”

เสียงอุทานของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งโดดเด่นมากในคลื่นเสียงนั้น ช่างน่าทึ่งจริงๆ

ทหารในชุดเกราะสีดำใกล้เข้ามา ซ่งชูอียังไม่ทันเห็นอะไร ก็ได้ยินเสียงกลุ่มผู้หญิงข้างกายร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ

คนหนึ่งควบม้ามาราวกับสายลมและหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งชูอี พลิกตัวลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว “ท่าน!”

“อวี่!” ซ่งชูอีหรี่ตามองอย่างละเอียด “ฮ่าฮ่า ดูกล้าหาญกว่าเดิมแล้ว!”

จี๋อวี่ยังไม่ทันจะเอ่ยประโยคที่สอง ก็มีเสียงม้าตัวอีกสองตัวหยุดลง

“ท่าน!”

“หวยจิน!”

ซ่งชูอีมองดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือจี้ฮ่วนกับจางอี๋ที่ไม่ได้เจอกันมานาน

“ตาของหวยจินหายแล้วรึ?” จางอี๋ดีใจมากกับข่าวที่ไม่คาดฝัน

“ใช่แล้ว!” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “พวกเจ้าเดินทางมาเหนื่อยกันแล้ว รีบขึ้นม้าและกลับไปพักผ่อนเถิด ไปรับรางวัลเร็วหน่อยแล้วมาที่จวนของข้า ที่ลานด้านหลังมีบ่อน้ำร้อนด้วยนะ!”

“ดีมาก ดีมาก!” จางอี๋เอ่ย

จี้ฮ่วนเอ่ย “ท่านไม่ไปด้วยกันหรือ?”

การพบกันอีกครั้งน่ายินดียิ่ง อย่างไรก็ดีซ่งชูอีไม่สามารถซ่อนความผิดหวังในใจได้ นางมองดูกองทัพผ่านไปอย่างช้าๆ ก็ไม่เห็นเงาของเจ้าอี่โหลวเลย จึงเอ่ยขึ้น “ไปกัน”

จี๋อวี่มองซ่งชูอี มุมปากผุดรอยยิ้มบางเบา

พวกเขาจูงม้าตามหลังเหล่าทหารพลางพูดคุยพลางเดินไปข้างหน้าแล้วหยุดลงหน้าประตูพระราชวังเสียนหยาง นายทหารทั่วไปประจำการอยู่ด้านนอก นายพลธรรมดาเข้าไปรอในพระราชวัง แม่ทัพระดับสูงเข้าไปเข้าเฝ้าองค์จวิน