บทที่ 253 รอเพียงเจ้าทั้งชีวิต

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ซ่งชูอีบอกลาพวกเขาชั่วคราวที่หน้าประตูพระราชวังและพาเจียนกลับจวน

อากาศหนาวมาก ใกล้พระราชวังเสียนหยางมีผู้คนบางตา ครั้นมองไปรอบๆ ยังคงเป็นทุ่งหิมะกว้างใหญ่ หิมะตกครั้งล่าสุดก็ผ่านมาเจ็ดถึงแปดวันแล้ว ทว่ากลับไม่มีร่องรอยที่จะละลายเลยแม้แต่น้อย เมื่อย่ำเท้าลงไปก็ส่งเสียงดัง “สวบสาบ” “สวบสาบ”

ซ่งชูอีก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง แต่ละก้าวนั้นเผยให้เห็นรอยเท้าที่ชัดเจน ครั้นใกล้ถึงจวนซ่ง ทันใดนั้นก็มีเงาสีขาวก้อนกลมพุ่งขึ้นมาจากในหิมะ วิ่งรอบซ่งชูอีด้วยความดีใจสองสามรอบ อุ้งเท้ามีหิมะจางๆ และวิ่งกลับไปที่จวนอีกครั้ง

ดวงตาของนางมีรอยยิ้ม สายตามองตามไป๋เริ่นไป ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นชายในชุดเกราะสีดำยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว

เขายืนค้ำดาบขนาดใหญ่ในหิมะขาวบริสุทธิ์ราวกับอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมไปด้วยความหล่อเหลา! แสงอาทิตย์และแสงหิมะเจิดจ้าส่องอยู่บนใบหน้าที่ดำคล้ำเล็กน้อยของเขา รอยยิ้มสดใสนั้นเป็นประกาย ทั้งร่างกายดูอ่อนล้า แม้แต่ผมเผ้าก็ไม่ใส่ใจที่จะหวีให้เรียบร้อย ผมที่ปล่อยสยายนั้นถูกลมในถิ่นรกร้างพัดไหวและปรกอยู่บนคิ้วที่ผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ ของเขา วัยหนุ่มเป็นช่วงเวลาที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่เจอกันเพียงครึ่งปี ประสบการณ์ทำให้เขากลายเป็นชายผู้มีความมั่นคงในสนามรบแล้ว

ซ่งชูอีหรี่ตามองตา บนใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ ความอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ถูกย้อมอยู่ในดวงตาที่ชัดเจนไร้คลื่นดังเช่นปกติ

เจ้าอี่โหลวออกแรงปักดาบลงไปในดิน เดินสองสามก้าวเข้าไปหาซ่งชูอี จ้องมองนางอยู่สักพัก ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เอื้อมมือไปกอดนาง

การได้พบกันอีกครั้งหลังจากห่างกันนาน ไม่ว่าคำพูดใดก็ดูเหมือนจะเบาบางเกินไป

ซ่งชูอีตบๆ หลังของเขา ยิ้มเอ่ย “ชุดเกราะเจ้าทั้งเย็นทั้งแข็ง!”

เจ้าอี่โหลวปล่อยซ่งชูอี มือหยาบกร้านลูบคลำดวงตาของนาง ยากที่จะซ่อนความปิติในน้ำเสียง “ดวงตาของเจ้าหายแล้ว?”

“อืม ตอนนี้ยังมองเห็นไม่ชัด ต้องรักษาอีกสักพักก็จะหายเป็นปกติ” ซ่งชูอีกุมมือของเขา

ความอบอุ่นจากฝ่ามือแผ่ซ่านไปยังหัวใจของกันและกัน มันสยบความต้องการเข่นฆ่าของเขาลงและชำระล้างความเจ้าแผนการของนาง บริสุทธิ์เหมือนตอนที่ยังร่วมเป็นร่วมตายอยู่ด้วยกันในป่า

ทั้งสองเดินย่ำหิมะไปด้วยกัน ขณะที่เดินผ่านจวี้ชาง เจ้าอี่โหลวก็ยื่นมือดึงมันออกมา

“เจ้าสูงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง มือก็ใหญ่ขึ้นรอบหนึ่งด้วย!” ซ่งชูอีเอ่ย

“อืม” เจ้าอี่โหลวเอ่ย “ผมเจ้าก็หงอกแล้ว”

“จิ๊ เจ้าพูดถึงข้าในแง่ดีบ้างไม่ได้หรืออย่างไร!” ซ่งชูอีกัดฟัน

“…”

ซ่งชูอีถอนหายใจ “ช่างเถิด วันนี้ข้าไม่คิดแค้น”

“หวยจิน”

“หืม”

“พวกเราแต่งงานกันเถิด”

ซ่งชูอีตะลึงงัน หันหน้าไปมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าอี่โหลวที่แดงก่ำ ลอบถอนหายใจ โดยธรรมชาติแล้วนางเป็นคนประเภทเดียวกันกับอิ๋งซื่อ แม้ว่าความฝันจะต่างกันทว่าพฤติกรรมต่างกันไม่มาก ดังนั้นสำหรับนางแล้ว ต่อให้คนงามจะงามสักเพียงใดก็เทียบไม่เท่าเส้นทางอันยิ่งใหญ่บนโลกใบนี้ หากโลกใบนี้ไม่สามารถยอมรับนางได้ ด้วยความยั่วยุที่อยู่ตรงหน้า ไม่แน่ว่านางอาจจะพิจารณาที่จะท่องไปทั่วหล้า ทว่าบัดนี้สิ่งที่หวงแหนมานานมีโอกาสที่จะกลายเป็นจริงแล้ว จะให้นางปล่อยมือไปได้เยี่ยงไร?

เจ้าอี่โหลวรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของนาง อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน หมุนตัวไปมองนางด้วยความจริงจัง “ฟ้าดินเป็นพยาน เจ้าเค่อสาบานว่าชาตินี้จะรอซ่งชูอี เพียงซ่งชูอีเท่านั้น ไม่มีวันเสียใจ”

ขณะที่เขาพูด ความรู้สึกเขินอายในใจก็ถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม เมื่อก่อนทุกครั้งที่ถูกซ่งชูอี ‘ลวนลาม’ ก็มักจะมีความรู้สึกหน้าแดงและใจเต้นแรงอย่างประหลาด ทั้งความคิดต่อต้านและความคาดหวังภายในใจทำให้เขาไม่เข้าใจความคิดของตัวเอง อย่างไรก็ดีเมื่อได้เห็นปาอ๋องและฮองเฮาปาตายร่วมกันเพื่อความรักและบ้านเมืองแล้ว หัวใจก็แจ่มแจ้งขึ้นทันใด

ที่แท้ การแสดงความรู้สึกจริงใจเช่นนี้มันง่ายเหลือเกิน

“เจ้า…ไม่เต็มใจรึ?” เจ้าอี้โหลวไม่ได้ยินคำตอบของซ่งชูอี อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล

ซ่งชูอีจึงดึงสติกลับมาจากความประหลาดใจ ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ข้าเพียงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีคนพูดกับข้าเยี่ยงนี้”

ก่อนที่จวงจื่อจะรับซ่งชูอีเป็นศิษย์ก็ไม่เคยมีประสบการณ์สอนศิษย์ผู้หญิงมาก่อน เขาก็ไม่ใช่คนที่ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงเลี้ยงดูซ่งชูอีเหมือนกับเด็กผู้ชาย เนิ่นนานหลังจากนั้นซ่งชูอีเองจึงค่อยๆ เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตนเป็นผู้หญิง! แม้ว่านางจะไม่เคยมีความคิดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไป ทว่าก็เคยคิดอย่างเป็นกลางมากๆ ว่าเด็กผู้หญิงเยี่ยงนางเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีใครคิดจะสู่ขอด้วยใจจริงหรอกกระมัง!

ชาติก่อนที่อยู่ในเสียนหยาง ขณะที่ซ่งชูอีกับหมิ่นฉือยังญาติดีกันอยู่นั้น หมิ่นฉือก็เคยกล่าวว่าจะแต่งงานกับนาง เนื่องจากหัวใจของทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องความรักของเด็กๆ ดังนั้นจึงไม่ได้จริงจังขนาดนั้น

“คนอย่างข้าน่ะ คิดแผนการชั่วร้ายมากเกินไปแล้ว ประสบกับความทุกข์ยากจนเคยชิน ความราบรื่นอันฉับพลันนี้ทำให้ข้าตกใจเล็กน้อย” ซ่งชูอีกุมมือของเจ้าอี่โหลวแน่น เปลี่ยนหัวข้อทันใด “ทว่า ในเมื่อวันนี้เจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็อย่าคิดที่จะปล่อยมือของข้าอีก”

ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง มือของนางไม่สวย แต่ทันทีที่กระดิกนิ้วก็สามารถโค่นล้มเมืองได้ นิสัยของซ่งชูอีแปลกประหลาดมาก ปกติแล้วนางเป็นคนที่ไร้หัวใจยิ่ง ทว่านางจะใส่ความเกลียดชังที่ลึกล้ำที่สุดและวิธีที่เหี้ยมโหดที่สุดสำหรับคนทรยศ

“ได้!” เจ้าอี่โหลวตอบอย่างไม่ลังเล

ที่จริงแล้วตั้งแต่ซ่งชูอีเกิดใหม่ก็ไม่เคยได้หยุดพักได้เลย ขณะที่เป็นตัวแทนของรัฐเว่ย์ไปเจรจาก็ถูกหมิ่นฉือแทงข้างหลัง ถูกรัฐเว่ยตามฆ่า สูญเสียการมองเห็นในปาสู่ ทฤษฎีโค่นรัฐรั่วไหล… ทุกเหตุการณ์ล้วนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ทว่าสำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ในยุคแห่งเปลวเพลิงสงครามแล้ว ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย แม้แต่ราษฎรธรรมดายังต้องประสบกับความลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับประสาอะไรกับคนที่แกว่งเท้าหาเสี้ยนเช่นนาง?

ดังนั้นจะราบรื่นหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความคิด อย่างไรก็ดีซ่งชูอีรู้สึกว่าโชคชะตาของตนได้มาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว

ถึงเวลาพลบค่ำ จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนกลับมาแล้ว ซ่งชูอีให้คนจัดงานเลี้ยงต้อนรับหนึ่งมื้อ และเรียกเจินอวี๋ออกมาร่วมความครื้นเครงด้วยกัน

ท้ายที่สุดแล้ว เจินอวี๋ไม่ได้ทำอะไรผิดในการจัดการกับซือหม่าหวยอี้ เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าในใจของนางมิได้มองเห็นซ่งชูอีเป็นคนในครอบครัว อย่างไรก็ดีคนที่สามารถทำให้ซ่งชูอีห่วงใยในโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่คน ส่วนเจินอวี๋เองก็เป็นเพียงตัวหมากที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่ว่าภายนอกจะดูเป็นมิตรเพียงใด ทว่าในใจกลับรู้สึกเฉยเมยตลอดเวลา ดังนั้นจึงจะไม่เรียกร้องอะไรมากจนเกินไป ตราบใดที่ไม่มีความคิดที่จะแว้งกัดก็นับว่าเป็นตัวหมากที่ดี

“ท่านเจ้าคะ เจียวเจียวมาแล้ว”

กลุ่มคนที่กำลังนั่งคุยอยู่ในห้องโถงได้ยินสาวใช้เอ่ย

ซ่งชูอีกล่าว “เข้ามา”

ประตูห้องเปิดออก ยังไม่ทันเห็นคน กลิ่นหอมจางๆ ของกล้วยไม้พัดมาพร้อมกับลมหนาว จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังประตู

เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง เจินอวี๋อยู่ในชุดชวีจวีสีเหลืองอ่อน ด้านบนปักลายเถาวัลย์สามสี ใบหน้างดงามไม่ได้แต่งจนหนาเตอะ มันเบาบางและนุ่มนวล เผยให้เห็นถึงความอบอุ่นในฤดูหนาวอันโหดร้าย

“แต่งเช่นนี้สวยดี! ดีกว่าชุดสีฟ้าตามปกติไม่รู้ตั้งกี่เท่า” ซ่งชูอีเอ่ยชมก่อน

เจินอวี๋เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะตอบ สายตากลับถูกเจ้าอี่โหลวที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงดูดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขามิได้นั่งตัวตรงเหมือนกับคนอื่นๆ ทว่าพิงอยู่บนตัวของไป๋เริ่น ทับไว้จนมันขยับตัวไม่ได้ แต่มือเรียวยาวกำลังถือชิ้นเนื้อเพื่อหยอกล้อมัน เขาสวมเสื้อคลุมแขวนกว้างสีขาวงาช้าง ผมสีดำดุจผ้าแพรปล่อยสยายครึ่งหนึ่ง มันไหลอยู่บนไหล่กว้างของเขา คิ้วเรียวยาวชี้เข้าไปในขมับ เขาหลอมละลายอยู่ในแสงสว่างของเตาไฟคล้ายเทพเจ้าแห่งความฝัน

นางนึกมาตลอดว่าชูหลี่จี๋ดูดีที่สุดแล้ว วันนี้จึงได้รู้ว่าที่แท้ก็ยังมีผู้ชายเช่นนี้อยู่ในโลก!

เจ้าอี่โหลวรู้สึกได้ถึงแววตาของเจินอวี๋ เหลือบตาขึ้นมอง เผยให้เห็นความระแวดระวังและแรงอาฆาตโดยไม่เจตนา

เจินอวี๋ใบหน้าซีดขาว หลบสายตาของเขาด้วยความตื่นตกใจ

เจ้าอี่โหลวมิได้ตั้งใจข่มขู่ ทว่าเดิมทีเขาก็ระวังตัวจากคนมากราวกับสัตว์ป่าอยู่แล้ว บวกกับการใช้เวลาไปกับการเข่นฆ่าตลอดครึ่งปีนี้ จึงยากที่จะข่มความดุร้ายในตัวไปชั่วขณะ

ซ่งชูอีเห็นว่าบรรยากาศเยือกเย็นลงเล็กน้อย ก็เอ่ยขึ้น “น้องสาวมานี่ ข้าจะแนะนำสหายสองสามคนให้เจ้ารู้จัก”

เจินอวี๋ขานรับอย่างว่าง่าย ก้มหน้าต่ำแล้วรีบไปนั่งข้างซ่งชูอี