บทที่ 254 ใครเป็นคนสอนเจ้า

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

เจินอวี๋ขานรับอย่างว่าง่าย ก้มหน้าต่ำแล้วรีบไปนั่งข้างซ่งชูอี

“นี่คือตูเว่ยม่อ ท่านนั้นคือนายพลจี๋ อีกท่านคือจี้ฮ่วน” ซ่งชูอีแนะนำทั้งสามคนอย่างง่ายๆ

เจินอวี๋คำนับทีละคน

“นี่คือน้องสาวของเจินจวิ้น และเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้า” ซ่งชูอีกล่าว

“แม่นางเจิน”

“แม่นางเจิน”

จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนกำหมัดคำนับ แม้ว่าบัดนี้จี๋อวี่จะมีตำแหน่งทางการทหารแล้ว ทว่าในใจยังคงคิดว่าตัวเองเป็นลูกน้องของซ่งชูอีเสมอ จี้ฮ่วนก็ทำตามเขาโดยธรรมชาติเช่นกัน

อย่างไรก็ดีเจินอวี๋ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา หันลำตัวไปด้านข้างเล็กน้อยพลางเอ่ย “ทั้งสองท่านเกรงใจแล้ว”

ทุกคนภายในห้องล้วนดื่มสุราและกินอาหารอย่างเงียบๆ ซ่งชูอีรู้สึกเบื่อหน่าย เหตุใดทันทีที่เจินอวี๋ปรากฏตัวทุกคนถึงได้สุภาพนัก?

“ฮ่วน เจ้าเล่าเรื่องของฮองเฮาปาต่อเถิด” ซ่งชูอีมีความสนใจในผู้หญิงที่ต่อสู้ในสนามรบผู้นั้นมาก ชาติที่แล้วนางมุ่งเน้นไปที่การเรียนหนังสือและการค้นคว้า ไม่เข้าใจเรื่องพรรค์นี้มากนัก

จี้ฮ่วนไอด้วยความระมัดระวังสองที เล่าเรื่องที่ค้างไว้ก่อนหน้านี้ต่อ “ท่านเองก็ทราบ ว่าฮองเฮาปารวบรวมหญิงงามที่รัฐสู่ส่งมาให้ทั้งหมดกลับชนเผ่าของตนเนื่องด้วยโกรธเคืองปาอ๋อง ไม่ว่าปาอ๋องเกลี้ยงกล่อมอย่างไรก็ไม่ยอมกลับมา อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าหลังจากตายไปให้ฝังตนที่ชนเผ่า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปาอ๋องอีก ทว่าทันทีที่กองทัพสู่มาถึง ปาอ๋องกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกับจอมเวทย์ทั้งสิบสอง แต่กลับเป็นฮองเฮาปาที่ระดมกองทัพ สวมชุดเกราะเข้าต่อสู้เพื่อต่อต้านถูอู้ลี่อย่างสุดความสามารถ การต่อสู้เหล่านั้นขมขื่นเป็นพิเศษ แม้ว่ากองกำลังอ่อนแอ นำไปสู่ความพ่ายแพ้ต่อเนื่อง แต่ว่าท้ายที่สุดก็สามารถปกป้องเส้นเลือดใหญ่ของรัฐปาเอาไว้ได้”

เจินอวี๋ได้ยินแล้วประหลาดใจยิ่ง “ฮองเฮาท่านนี้หยาบคายยังไม่พอ ยังเป็นแม่ไก่ที่ขันยามเช้า[1] ปาอ๋องก็ทนนางได้หรือ?”

ทันทีที่คำว่า “แม่ไก่ที่ขันยามเช้า” หลุดออกมา สีหน้าของทั้งสี่คนก็ต่างกันออกไป เจ้าอี่โหลว จี๋อวี่ และจี้ฮ่วนต่างรู้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ต่างยัดเนื้อเข้าปากของตัวเองโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เจินวี๋เห็นปฏิกิริยาของทุกคนก็ตกใจเล็กน้อย นางทบทวนคำพูดของตัวเอง ก็ไม่มีอะไรผิดนี่นา? ฮองเฮาปาผู้นี้เป็นหญิงขี้หึงคนหนึ่ง กระทำการโดยปราศจากความสง่างามของฮองเฮาแห่งรัฐ นอกจากนี้ในฐานะผู้หญิงนางยังนำกองทัพเข้าต่อสู้กับศัตรูโดยไม่ได้รับอนุญาต นำไปสู่การล่มสลายของบ้านเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรียกว่าแม่ไก่ที่ขันยามเช้าก็ไม่มากเกินไปเลย

คิดไปคิดมา เจินอวี๋นึกว่าผู้ชายเหล่านี้รังเกียจที่นางเป็นผู้หญิงพูดแทรก พิจาณาดูแล้วเพราะนางลืมตัวไปจริงๆ “ข้าพูดมากไปแล้ว”

จี้ฮ่วนเห็นนางมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้แต่ก็พยายามฝืนไว้ จึงเอ่ยคลายความกังวลของนาง “แม่นางเจินคงไม่ทราบ ว่าฮองเฮาปาผู้นี้เป็นวีรสตรีอันดับหนึ่งของรัฐปา ไม่มีนักรบในราชสำนักคนใดเทียบเท่า ครั้นคิดว่าหญิงชราศีรษะขาวโพลนเช่นนางสามารถปกป้องเส้นชีวิตภายใต้การโจมตีของกองทัพอันแข็งแกร่งของถูอู้ลี่เทพสงครามแห่งรัฐสู่แล้ว ทำให้ผู้ชายเยี่ยงข้าชื่นชมยิ่งนัก! อย่างน้อยในกรณีนั้น ข้าไม่มีโอกาสชนะแน่”

ดวงตาของเจินอวี๋มีน้ำตาเป็นประกาย ลืมความอึดอัดใจไปชั่วขณะ จ้องจี้ฮ่วนพลางเอ่ยว่า “มีผู้หญิงเช่นนี้ด้วยหรือ?”

ทันใดนั้นซ่งชูอีรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจเจินอวี๋ผิดแล้ว ตอนนั้นที่นางหมดสติ ได้ยินว่าเจินอวี๋ยังคงดื้อดึงที่จะขึ้นรถม้าเพื่อไปเชิญชูหลี่จี๋ตามมารยาท จากนั้นก็ไร้หนทางสู้กับซือหม่าหวยอี้ ความประทับใจที่มีต่อผู้หญิงคนนี้จึงลดลงเล็กน้อย

แค่คิดก็รู้แล้ว มีผู้ป่วยคนใดบ้างที่นอนรอการรักษาอย่างเร่งด่วนอยู่บนเตียงจะไม่รู้สึกรำคาญใจเมื่อได้ยินใครบางคนกระทำเรื่องที่ซับซ้อนและยุ่งยากอย่างใจเย็น? ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าซ่งชูอีจะไม่ได้ใส่ใจเจิ้นอวี๋มากนัก แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับจากนางก็คุ้มค่ากับการดูแลอย่างพิถีพิถัน หากกล่าวกันตามตรงแล้ว ซ่งชูอีคือเจ้านายของสกุลเจิน แต่เหมือนเจินอวี๋ลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนไว้หน้านาง! ชีวิตของซ่งชูอีกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย คนที่อ่อนไหวแม้เรื่องน้อยนิดยังมีกะใจกังวลเรื่องมารยาทอะไรนั่น! นี่มันแสดงให้เห็นถึงอะไรกัน?

นี่คือสิ่งที่ซ่งชูอีคิดก่อนหน้านี้ ทว่าหลังจากได้ยินเพียงคำสั้นๆ เมื่อครู่นางจึงเข้าใจ ว่าสมองของแม่นางผู้นี้ถูกสั่งสอนจนเลอะเลือนแล้ว…

ครั้นสิ่งเหล่านี้ถูกสลักลงไปในกระดูก ถึงช่วงเวลาสำคัญก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล

ซ่งชูอีเบะปาก เหตุใดเมื่อคำสอนของลัทธิขงจื้อมาถึงเด็กหญิงมันถึงได้เปลี่ยนรสชาติไปนะ?

“น้องสาวรู้สึกว่าการฮองเฮาปาหนีออกมาด้วยความโมโหนั้นเป็นความไร้เหตุผลอย่างรุนแรง แต่เจ้าต้องรู้ด้วยว่าตอนที่โค่นรัฐปานั้น นางกลับเป็นผู้เดียวที่ตามปาอ๋องลงไปยังยมโลกอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย

ในโลกนี้มีผู้หญิงหลากหลาย ประเภทอย่างเจินอวี๋ไม่นับว่าเลวร้าย แต่เป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎ ไม่มีชีวิตชีวาและความตรงไปตรงมาเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป ซ่งชูอีไม่มีความเห็นใดต่อหลักคำสอนของลัทธิขงจื้อ ทว่าการที่สั่งสอนเด็กผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งจนกลายเป็นแบบนี้ก็เป็นความผิดของพวกเขา!

สีหน้าของเจินอวี๋สับสนเล็กน้อย “หากกล่าวเช่นนี้แล้ว ฮองเฮาก็เป็นผู้ที่พร้อมที่จะตายเพื่อรักษาพรหมจรรย์”

ซ่งชูอีกุมหน้าผาก ผู้ที่ไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกันยากที่จะเข้าใจกันและกันจริงๆ นางผู้แซ่ซ่งถามตัวเองว่านางก็เคยอ่านคัมภีร์ของลัทธิขงจื้อมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าเจินอวี๋ใช้ตรรกะแบบใดในการตัดสินผลลัพธ์นี้

“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้าอย่างจนปัญญา ล้มเลิกความคิดที่จะเปลี่ยนเจินอวี๋

หลังจากถูกขัดจังหวะ ความอึดอัดของ “แม่ไก่ที่ขันยามเช้า” เมื่อครู่ก็จางหายไป ทุกคนก็พูดคุยอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าอี่โหลวและอีกสามคนเดินทางด้วยความเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลาหลายวันแล้ว ซ่งชูอีก็จำต้องพักผ่อนเร็วขึ้น หลังจากพูดคุยกันสักพักก็ต่างคนต่างกลับไปพักผ่อน

เจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอีอยู่ที่เดียวกันเสมอ ส่วนมากก็อาศัยอยู่ด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปที่ห้องนอนของซ่งชูอีอย่างเป็นธรรมชาติ

“เจ้าอี่โหลว เจ้าคิดจะทดสอบข้ารึ?” ซ่งชูอียืนอยู่ข้างเตียง มองดูคนที่เข้าไปในผ้าห่มแล้ว “ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่เจ้าควรทำความเข้าใจเสียก่อน!”

เจ้าอี่โหลวหันหน้ามา รอให้นางพูดต่อ

“ข้าไม่ใช่คนที่มีหัวใจอันบริสุทธิ์หรอกนะ!” ซ่งชูอีรีบวิ่งไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือถอดเสื้อผ้าบนตัวของเขา ลูบไล้ลำตัวด้วยความอิสระเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าอี่โหลวถูกนางทำให้จักจี้ หัวเราะร่วนไม่หยุด “หยุดได้แล้ว ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้เลย”

“จริงจังหน่อยสิ” ซ่งชูอีหยุด ตบๆ หน้าอกแข็งแกร่งของเขา

ภายในห้องจุดตะเกียงเพียงดวงเดียว สายตาของซ่งชูอีไม่ใคร่ดี จึงทำได้เพียงหรี่ตาสำรวจ ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าอี่โหลวเจือปนรอยยิ้ม แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองและผู้คนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามร่างกายที่แข็งแรงของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น บางส่วนก็ยังตกสะเก็ดอยู่ด้วยซ้ำ

“อี่โหลว…หากเจ้าไม่มีความทะเยอทะยาน ต่อไปก็ไม่มีความจำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ออกไปรบ” ซ่งชูอีนึกว่าตัวเองไม่มีทางได้สัมผัสความรักของชายหญิงอีกครั้งและจะไม่เชื่อใจใครอีก อย่างไรก็ดีเจ้าอี่โหลวกลับปรากฏตัวตั้งแต่เริ่มแรก นางไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดตัวเองจึงเชื่อใจเขาอย่างล้ำลึกโดยปราศจากข้อสงสัยเช่นนี้

ที่จริงนางก็อธิบายไม่ได้ว่าเกิดความรักเช่นหนุ่มสาวต่อเจ้าอี่โหลวหรือเปล่า แต่นางมีความชัดเจนยิ่งว่าต้องยึดความอบอุ่นนี้ไว้ไม่ให้คนอื่นมายุ่ง

“ช่างซับซ้อนเหลือเกิน!” ซ่งชูอีทอดถอนใจ ลงมาจากตัวของเขาแล้วนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เมื่อครู่นางเพียงหยอกเล่นเท่านั้น บัดนี้ร่างกายของนางไม่ดี ไม่มีพลังที่จะทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงทำได้เพียงจ้องตาหนุ่มรูปงามตรงหน้า

“ไม่ ข้าต้องการบรรลุเป้าหมาย” เจ้าอี่โหลวพลิกตัวขึ้นบนตัวนาง ไม่ทันรอให้ซ่งชูอีมีปฏิกิริยาตอบสนอง ริมฝีปากอุ่นๆ ก็ประกบลงบนริมฝีปากของนาง

ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อน ดูเหมือนเปลวไฟที่ค่อยๆ เผาไหม้ระหว่างการหายใจนั้นได้เผาไหม้ทั้งสองคนจนรู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย พวกเขานอนร่วมเตียงเคียงหมอนมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เจ้าอี่โหลวก็ถูกลูบไปคลำมา คิดดูแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาจูบกันจริงๆ

จุมพิตของเจ้าอี่โหลวเหมือนแมลงปอบินแตะผิวน้ำ เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

ซ่งชูอีดึงสติกลับมา อ้าปากถาม “เจ้าอี่โหลว ใครสอนให้เจ้าทำเช่นนี้?”

[1] แม่ไก่ที่ขันยามเช้า หมายถึงสตรีที่ไม่ทำหน้าที่ตนแต่กลับทำหน้าที่ของบุรุษ เปรียบเสมือนไก่ตัวเมียที่แย่งหน้าที่ขันของไก่ตัวผู้ในตอนเช้า