เจ้าอี่โหลวหน้าแดงก่ำ กล่าวอ้ำอึ้ง “ตอนข้ายังเด็ก…เห็นในวัง”
“ฮ่าฮ่า” ซ่งชูอีกอดเขา เอ่ยรบเร้า “ที่แท้เจ้าก็รู้เร็วกว่าข้า เสียมารยาทแล้ว! กี่ขวบ? บอกกับข้าสิ เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
ตอนที่เจ้าอี่โหลวอยู่ในวังอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเขาจะรู้เร็วกว่า ในขณะที่ซ่งชูอีเข้าใจเรื่องราวระหว่างหนุ่มสาวนั้นก็ปาเข้าไปอายุสิบหกสิบเจ็ดแล้ว เด็กผู้หญิงในวัยนี้ส่วนมากล้วนออกเรือนมีลูกแล้ว นางค่อนข้างช้าในเรื่องนี้
บรรยากาศแสนดีถูกทำให้กลายเป็นเช่นนี้ เจ้าอี่โหลวหลับตาไม่สนใจนาง
ระดับความลึกซึ้งของการจูบแตกต่างการลูบไล้เชิงเย้าเล่นเพียงไม่กี่ครั้ง ความรู้สึกของจูบนั้นดีเป็นอย่างยิ่ง ทว่านี่เป็นครั้งแรกของซ่งชูอี นางรู้สึกอึดอัดและเขินอายเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางจึงใช้ความขบขันเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
อนาคตยังอีกยาวไกล ซ่งชูอีพึมพำ กอดเขาแล้วผล็อยหลับไป
ท่าทางของนางสงบนิ่งมาโดยตลอด แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ข้างๆ ยากที่จะสงบสติอารมณ์
เจ้าอี่โหลวได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นข้างกาย ลืมตาหันไปมองนาง
นึกถึงตอนที่จูบนางเมื่อครู่ ท้องน้อยร้อนผ่าว ราวกับว่าเลือดทั้งตัวไหลรวมอยู่ตรงนั้น ทว่าความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงครู่เดียว ขณะที่กำลังจะดำเนินการต่อกลับถูกซ่งชูอีขัดจังหวะ
ใบหน้าของซ่งชูอีสะอาดเรียบเฉยภายใต้แสงไฟสลัว ไร้บุคลิกอิสระเสรีเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ปราศจากความรู้สึกบีบคั้น มันสงบนิ่งอย่างที่ไม่อาจสงบนิ่งไปมากกว่านี้แล้ว ขมับสองข้างถูกย้อมด้วยผมหงอกจางๆ ใบหน้าเรียบเฉยนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางเล็กน้อย
เจ้าอี่โหลวมองใบหน้าของซ่งชูอีที่หลับสนิท อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าจูบริมฝีปากของนางแผ่วเบา
เป็นความรู้สึกร้อนผ่าวนั้นอีกแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะต้องการสำรวจต่อไป ริมฝีปากนุ่มนวล เจ้าอี่โหลวยิ่งจูบมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าปากแห้ง ยิ่งสำรวจมากขึ้น มือก็วางอยู่บนเอวของนางโดยไม่รู้ตัว
“อืม”
อาจเป็นเพราะความเคลื่อนไหวของเจ้าอี่โหลวรุนแรงขึ้น จึงทำให้ซ่งชูอีขยับตัว
เจ้าอี่โหลวเข้าใจซ่งชูอีเป็นอย่างดี ตามสถานการณ์ปกติแล้ว นางไม่ตื่นตัวขณะที่หลับเลยและจะไม่ตื่นจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ทว่าเสียงนี้ทำให้นางตื่นขึ้นทันใด…เขากำลังทำอะไรน่ะ!
“หวยจิน…” ด้านหนึ่งเจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าตัวเองกระทำเรื่องต่ำช้า อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกว่าส่วนนั้นของร่างกายเจ็บปวดรุนแรง เมื่อก่อนก็เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้ ทว่าไม่เคยทนไม่ได้เหมือนครั้งนี้มาก่อน
เขากอดซ่งชูอีแน่น ตะโกนเรียกชื่อของนางราวกับว่าการทำเช่นนี้จะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ยิ่งกอดนาง บางอย่างภายในร่างกายก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้น ราวกับมีพลังมหาศาลที่ไม่มีที่ให้ระบาย
ทนอยู่พักหนึ่ง เจ้าอี่โหลวก็ปีนลงมาจากเตียง หยิบจวี้ชางแล้ววิ่งไปฝึกดาบในลาน จนกระทั่งหมดแรงจึงรู้สึกผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย
บัดนี้ท้องฟ้าสว่างขึ้นบ้างแล้ว เจ้าอี่โหลวเหงื่อท่วมตัว พุ่งเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นไป๋เริ่นเดินโซเซออกมาจากห้องราวกับกำลังละเมอ หลังจากยกขาขึ้นถ่ายเบาใต้ต้นไห่ถังต้นหนึ่งแล้วก็เดินโซเซกลับเข้าไป
เจ้าอี่โหลวหลุดขำ อารมณ์กลับสู่สภาวะปกติ จากนั้นก็กลับเข้าไปนอนต่อในห้อง
เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีรู้สึกสดชื่นมาก พลิกตัวไปก็เห็นเจ้าอี่โหลวยังคงหลับอยู่
ใบหน้าหลับไหลของเจ้าอี่โหลวนั้นเจริญตายิ่ง ในความหล่อเหลามีความไร้เดียงสาเจือปน ปราศจากความต่อต้านและดื้อรั้นเหมือนตอนตื่น
ครั้นนึกถึงจุมพิตเมื่อคืน ซ่งชูอีแอบหัวเราะ จูบเขาครั้งหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลย…ซ่งชูอีได้คืบจะเอาศอกยื่นมือไปลูบกล้ามหน้าอกของเจ้าอี่โหลว “ว้าว! จุ๊ๆ!” ครั้นติดใจก็เลื่อนมือจากหน้าอกลงไปยังเป้ากางเกางด้านล่าง
“ว้าว…” ซ่งชูอีอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ เพราะว่ามือของนางคว้าได้เต็มเปา แอบจำได้ว่าตั้งแต่การสัมผัสครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้นานมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะยาวขึ้นได้อย่างน่ายินดีเช่นนี้!
คิดพลางซ่งชูอีก็เข้าไปในผ้าห่ม ปลดเสื้อคลุมของเจ้าอี่โหลวออกด้วยความคล่องแคล่ว เปิดช่องว่างในผ้าห่มแล้วสำรวจเจ้าสิ่งนั้นโดยละเอียดโดยอาศัยแสงสว่างอันน้อยนิด สายตาของนางไม่ดีนัก อีกทั้งแสงก็อ่อนแรง ด้วยเหตุนี้จึงขยับเข้าไปใกล้มาก หายใจรดอยู่บนเจ้าสิ่งนั้น นางเห็นมันเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาของตัวเอง
“ว้าว!” ซ่งชูอีอุทาน เมื่อก่อนทุกคนเห็นว่านางเป็นผู้ชาย จึงไม่เขินอายที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นนางจึงได้เห็นมันหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นฉากเช่นนี้และก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ปกติแล้วเจ้าอี่โหลวตื่นตัวอยู่เสมอ มีเพียงเวลาที่อยู่กับซ่งชูอีเท่านั้นที่ปล่อยวางความระแวดระวังโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยนอนหลับสนิทเลยตลอดหกเดือน บวกกับเมื่อคืนฝึกดาบเหนื่อยเกินไป ดังนั้นครั้นซ่งชูอีสำรวจด้วยความไร้ยางอายเช่นนี้เขาก็มิได้ตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ รู้สึกเพียงว่าร่างกายของตัวเองร้อนขึ้นมาอีกครั้งในความฝัน
ได้แต๊ะอั๋งด้วยวิธีต่างๆ นานาตั้งแต่เช้า ซ่งชูอีรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นงดงามมาก นางกลัวว่าเจ้าอี่โหลวจะเป็นหวัด มองอยู่ครู่หนึ่งจึงรัดสายคาดเอวให้เขา หลังจากห่มผ้าให้ดีแล้วก็ลุกขึ้นอย่างเบามือแล้วสวมใส่เสื้อผ้า ฮัมเพลงพลางเดินไปยังห้องข้างๆ เพื่อล้างหน้าล้างตา
หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เห็นว่าเจ้าอี่โหลวยังไม่ตื่นก็ไปรวมรวบตำราพิชัยสงครามของนางต่อที่ห้องหนังสือ
บัดนี้กองทัพกลับมาแล้ว ซ่งชูอีคาดเดาว่านางคงไม่มีเวลาว่างมากอีกต่อไปและตำราพิชัยสงครามนี้จะถูกนำมาใช้ในไม่ช้า ช่วงเวลาที่ผ่านมาความคืบหน้าล่าช้าเนื่องจากปัญหาทางสายตา ดังนั้นตอนนี้ต้องทำให้เสร็จโดยเร็ว
เพิ่งจะเปิดสมุดไผ่ขึ้นมาได้ไม่นาน ก็ได้ยินหนิงยาพูดขึ้นที่ด้านนอก “ท่านเจ้าคะ จางจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เช้าจังเลย!” ซ่งชูอียิ้มพลางลุกขึ้นไปต้อนรับที่หน้าประตูใหญ่
“พี่ใหญ่” ซ่งชูอีเห็นชายในชุดคลุมสีเขียวที่พยายามดึงแขนเสื้อออกจากปากหมาป่าสีทองที่ประตูก็ยิ่งยิ้มกว้าง
แควก!
แขนเสื้อขาดไปครึ่งหนึ่ง ใบหน้าของจางอี๋เขียวคล้ำ โมโหจนหายใจหอบ “เจ้าสัตว์ป่า!”
ดีเลวอย่างไรจางอี๋ก็ผ่านโลกมามาก สงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับซ่งชูอี “ทำให้หวยจินหัวเราะเยาะแล้ว”
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาโกรธมากจริงๆ ก็มิได้หัวเราะเยาะอีก “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้มาเช้าเช่นนี้?”
“มาเยี่ยมเจ้า อีกอย่างก็มาเตือนสติว่าวันนี้จะรับพระราชทานรางวัล ตูเว่ยม่อไม่สามารถขาดได้อีกโดยไม่มีเหตุผล” จางอี๋นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เขาได้แสดงความกล้าหาญในรัฐปาสู่ ฝ่าบาทเห็นความสำคัญมาก ทว่าข้ารู้สึกเหมือนเขาไม่ใคร่สนใจชื่อเสียงและโชคลาภมากนัก?”
“อืม เขาอยู่ในป่าจนชินแล้ว จะทนกับการผูดมัดได้เยี่ยงไร” ซ่งชูอีเบี่ยงตัวไปด้านข้าง เอ่ยว่า “พี่ใหญ่เชิญเข้าห้องเถิด”
จางอี๋กับซ่งชูอีเข้าห้องหนังสือไปด้วยกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว จางอี๋ก็ถามอาการป่วยของซ่งชูอี คุยไปคุยมาก็ดึงเข้าเรื่องการเมือง
จางอี๋เอ่ยว่า “หลายวันนี้ข้าต้องการตีเหล็กตอนที่มันยังร้อน เสนอกลลยุทธ์ด้านความสัมพันธ์ทางการทูตให้แก่ฝ่าบาท หวยจินมีความเห็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“พี่ใหญ่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทก็เป็นจวินที่ฉลาดหลักแหลม จะกังวลให้เปล่าประโยชน์ไปใย?” ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พี่ใหญ่กลัวกงซุนเหยี่ยนเช่นนั้นหรือ?”
จางอี๋ถอนหายใจ “ดูจากการทำงานของเขาที่รัฐเว่ยแล้ว เหมือนว่าความเห็นทางการเมืองจะแตกต่างจากข้า บุคคลผู้นี้มีจิตวิญญาณสูงส่ง เต็มใจอย่างยิ่งที่จะยอมจำนนต่อผู้อื่น หากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่ละทิ้งเว่ยแล้วจำนนต่อฉินหรอก”
กงซุนเหยี่ยนมีตำแหน่งซีโส่วในรัฐเว่ย เป็นตำแหน่งทางการทหาร เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสามารถ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ทำงานก็เฉียบคมทั้งยังมีชื่อเสียงมาก บัดนั้นรัฐเว่ยกำลังปรับเปลี่ยนกองทัพ เขาและท่านแม่ทัพต่างมีมุมมองด้านการทหารเป็นของตัวเอง เขาเสนอกลยุทธ์ให้แก่เว่ยอ๋องทว่ากลับถูกหักล้าง และถูกท่านแม่ทัพผลักไสออกไป จึงละทิ้งเว่ยจำนนต่อฉินภายใต้โทสะ นำกองทัพฉินเข้าโจมตีรัฐเว่ยสองครั้ง สังหารกองทัพเว่ยมากกว่าแสนนาย ทำให้ทั้งรัฐเว่ยอยู่ในความโกลาหล
ความเห็นทางการเมืองของทั้งสองคนไม่ลงรอย กลยุทธ์ของรัฐกลับมีได้เพียงทางเดียว ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่กงซุนเหยี่ยนและจางอี๋ต่างไม่ยอมประนีประนอม อิ๋งซื่อสามารถเลือกได้เพียงทางเดียว ในแง่ของความสามารถจางอี๋รู้สึกว่าตนและกงซุนเหยี่ยก้ำกึ่งกัน
“กงซุนเหยี่ยนจำนนต่อฉิน คิดว่านอกเหนือจากการแสดงออกถึงความทะเยอทะยานแล้ว เกรงว่าก็คงมีความแค้นต่อรัฐเว่ยส่วนหนึ่ง” ซ่งชูอียิ้มน้อยเอ่ยๆ “อีกทั้ง นิสัยของฝ่าบาทก็เข้ากับเขาไม่ได้!”
อิ๋งซื่อค่อนข้างทำงานด้วยอำนาจอธิปไตยแบบผูกขาด ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมาบงการ หากโน้มน้าวด้วยคำพูดที่น่าฟังก็เพียงพอ ส่วนกงซุนเหยี่ยนก็ทำงานด้วยความเฉียบขาด จวินและขุนนางล้วนเป็นคนหัวแข็ง หากเกิดความขัดแย้งกัน จะต้องเป็นผลเสียกับฝ่ายขุนนางอย่างแน่นอน
“ยิ่งไปกว่านั้น กงซุนเหยี่ยนสนับสนุนการในการครอบครองใต้หล้า มันอาจไม่ใช่สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการ” ซ่งชูอีกล้ามั่นใจได้เลยว่าความทะเยอะทะยานของอิ๋งซื่อมิได้มีเพียงการครอบครองใต้หล้าเท่านั้น มิฉะนั้นก็คงไม่ให้ความสำคัญในทฤษฏีโค่นรัฐของนางถึงเพียงนี้ หรือแม้แต่ตอนที่รู้ว่านางเป็นผู้หญิงก็ยังไม่ยอมแพ้
“เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ข้าคงกังวลมากไปเอง” จางอี๋ถอนหายใจโล่งอก
ซ่งชูอีเอ่ย “พี่ใหญ่เป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์จึงมองไม่ทะลุ”
จางอี๋ถูกรัฐต่างๆ ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า สวามิภักดิ์ต่อรัฐที่มีแนวโน้มดียิ่งด้วยความยากลำบาก มีโอกาสได้แสดงความทะเยอทะยาน ย่อมให้ความสำคัญเป็นธรรมดา ครั้งนี้มันอยู่ใกล้ความฝันของเขาเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถพลาดมันไปได้
“หนิงยา!” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง
“ท่าน บ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาตอบรับอย่างแข็งขัน
ซ่งชูอีกำชับ “ไปหาเสื้อผ้ามาให้พี่ใหญ่ชุดหนึ่ง”
จางอี๋สูงกว่าซ่งชูอีมาก บัดนี้สวมเพียงเสื้อคลุมกับสายรัดเอว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าจะใส่ได้หรือไม่ ต่อให้สั้นไปหน่อยก็ยังดีกว่าเสื้อผ้าที่ถูกกัดขาดมาก
“เฮ้อ นี่น่าจะเป็นเสื้อผ้าชุดสุดท้ายแล้ว!” จางอี๋มาฉินได้ไม่นานก็ต้องไปปาสู่ ในฤดูหนาวมีเสื้อผ้าเพียงสามหรือห้าชุดเท่านั้น จะเพียงพอให้จินเกอกัดขาดที่ไหนกัน “ถ้าอย่างไรข้าทิ้งจินเกอไว้กับเจ้าที่นี่เพื่อฝึกมันสักระยะหนึ่งได้หรือไม่?”
“ได้” ซ่งชูอีพยักหน้า ถึงอย่างไรหนึ่งตัวก็คือเลี้ยง สองตัวก็คือเลี้ยง
“เช่นนั้นก็ขอบคุณหวยจินแล้ว!” จางอี๋เอ่ย
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ข้ากับท่านเป็นพี่น้องกัน เหตุใดถึงทำเป็นคนนอกไปได้”
หนิงยายกเสื้อผ้าเข้ามา “เชิญจางจื่อตามบ่าวไปเปลี่ยนเสื้อห้องข้างๆ เถิดเจ้าค่ะ”
ห้องข้างๆ มีขนาดเล็ก ด้านในมีเตาอั้งโล่วางอยู่ อบอุ่นกว่าข้างนอกมาก
หลังจากที่จางอี๋ไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องข้างๆ เห็นว่าท้องฟ้าสว่างแล้วก็กำชับให้ซ่งชูอีไปปลุกเจ้าอี่โหลวเพื่อไปรับพระราชทานรางวัล จากนั้นก็จากไปด้วยความเร่งรีบ
ซ่งชูอีกลับห้องนอน เห็นว่าเจ้าอี่โหลวกำลังหลับอยู่ก็อดที่จะรู้สึกแปลกใจมิได้ พึมพำว่า “เหตุใดเขาถึงเหนื่อยอยู่คนเดียวเล่า!”
จี๋อวี่กับจี้ฮ่วนก็เดินทัพผ่านภูเขาและแม่น้ำมาอย่างเร่งรีบเช่นกัน ทว่าล้วนตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว
“เมื่อคืนองค์ชายซ้อมดาบอยู่ครึ่งค่อนราตรี เพิ่งจะนอนเมื่อฟ้าใกล้สางเจ้าค่ะ!” หนิงยาเอ่ยเสียงเบา
หนิงยานอนอยู่ในห้องข้างๆ ที่เชื่อมกับห้องนอน อีกทั้งยังใกล้กับลาน มิได้หลับลึกเหมือนกับซ่งชูอี ย่อมได้ยินความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอย่างชัดเจน
“เป็นบ้าอะไรอีกเล่า!” ซ่งชูอียกเท้าขึ้นเตะคนที่อยู่ในผ้าห่ม “นี่ เจ้าเสี่ยวฉง ตื่นได้แล้ว!”
เจ้าอี่โหลวพลิกตัว มองนางด้วยดวงตาสะลึมสะลือ ในน้ำเสียงเจือปนความแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นนอน “ยามใดแล้ว?”
แสงยามเช้าส่องเข้ามา สะท้อนดวงตาของเขาใสราวกับน้ำแข็ง ริ้วแสงจางๆ ทอบนผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วขมวดกันเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ในสภาวะที่สับสนและยังไม่ตื่นดี
“แม่งเอ๊ย!” ซ่งชูอีรู้สึกแห้งอย่างผิดปกติในโพรงจมูก สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างหัวเสีย “รีบลุกขึ้นๆ ในกองทัพมีกฎของกองทัพ หากเจ้าไม่คิดที่จะรับราชการ ก็อย่าขาดงานเลี้ยงโดยไม่มีเหตุผล”
เจ้าอี่โหลวตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าเมื่อคืนแอบล่วงเกินซ่งชูอี ในใจของเขาก็รู้สึกอะลายอยู่บ้าง จึงไม่โกรธที่ซ่งชูอีเตะเขา ลงจากเตียงด้วยความมึนงง
ขณะที่เขากำลังสวมเสื้อก็เห็นซ่งชูอีเงยหน้า จึงเงยหน้ามองหลังคาตามสายตาของนาง “มองอะไรน่ะ?”