บทที่ 256 พบหญิงงามหมี่จี

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ข้ากำลังคิดว่า ช่วงนี้อากาศแห้ง ร้อนในเพราะขาดธาตุหยินได้ง่าย ต้องกินอะไรบำรุงเสียหน่อย” ซ่งชูอีลูบๆ จมูกแห้งๆ หมุนตัวออกไป

เจ้าอี่โหลวเหลือบมองแผ่นหลังของนางด้วยความสงสัย สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากล้างหน้าล้างตาที่ห้องข้างๆ และดื่มทังปิ่ง[1]ชามหนึ่งแล้วก็รีบไปยังพระราชวังเสียนหยาง

บัดนี้ซ่งชูอีมีเพียงยศทว่าไม่มีตำแหน่งทางการ หากมิใช่สถานการณ์พิเศษก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมราชสำนัก

“ท่านขอรับ ท่านเจินกลับมาแล้ว” เจียนรายงาน

“เชิญเขาเข้ามา” ซ่งชูอีวางพู่กันลง

เจียนถอยออกไป จากนั้นไม่นานเจินจวิ้นในชุดจีนก็มาถึงห้องหนังสือ

แก้มกลมๆ ของเจินจวิ้นซูบตอบลง ดวงตาดูกลมโตขึ้นมาก ซ่งชูอีแทบจะจำไม่ได้

“ท่าน” เจินจวิ้นคำนับ

ซ่งชูอีเอ่ย “เชิญนั่ง”

เจินจวิ้นนั่งคุกเข่าลงใต้ซ่งชูอี เอ่ยด้วยสีหน้ายินดียิ่ง “ขอแสดงความยินดีกับท่านที่โรคตาหายแล้ว!”

“หึหึ ขอบคุณ” ซ่งชูอีหัวเราะพลางเอ่ยถาม “ครั้งนี้รีบกลับมา เห็นทีคงจะเป็นไปอย่างราบรื่นมาก”

“ครั้งนี้จัดการได้อย่างเหมาะสม คราวก่อนไม่ทันระวังถูกตระกูลเก่าแก่แอบเปลี่ยนคน ทว่าทุกการค้าของสกุลเจินล้วนอยู่ในมือของข้า จะปล่อยให้พวกเขากลืนกินอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร” เจินจวิ้นมีความมั่นใจในเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ครั้งนี้เข้ารีบไปที่รัฐฉีด้วยตัวเอง ข้อหนึ่งเป็นเพราะที่นั่นคือท่อน้ำเลี้ยงหลักของสกุลเจินอย่างแท้จริง ไม่สามารถประมาทได้แม้แต่น้อย ข้อสองก็เป็นการเปิดโอกาสเจินอวี๋ได้สร้างความสัมพันธ์กับซ่งชูอี

ผลลัพธ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวังไว้แต่แรก ความรักล้มเหลว ซ่งชูอีมองเจินอวี๋เป็นน้องสาวจริงๆ อย่างไรก็ดี ของขวัญวันจี๋จีที่นางมอบให้กับเจินอวี๋นั้นน่าประหลาดใจยิ่งนัก!

“ขอบคุณท่านที่เมตตาต่อเจินอวี๋” เจินจวิ้นค้อมคำนับซ่งชูอีด้วยความนอบน้อม

“คนกันเองไม่จำเป็นต้องพูดจาห่างเหิน น้องสาวรู้หนังสือ จิตใจดีและละเอียดอ่อน ข้าเพราะว่ารักษาโรคทางตา คนในจวนก็ขาดแคลน ปกตินางจะดูแลข้าเสียมากกว่า” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงใจเป็นพิเศษ

เจินจวิ้นยิ้มหน้าบานกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าภูมิใจในตัวเจินอวี๋มาก “ท่านชมเกินไปแล้ว! ข้างนอกเป็นเครื่องดินเผาที่ข้านำกลับมาจากหลินจือ ได้โปรดท่านรับไว้ด้วย”

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”

ความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเจินและซ่งชูอีนั้นคือเจ้านายกับลูกน้อง หากนางปฏิเสธก็เกรงว่าจะทำให้เจินจวิ้นไม่สบายใจจึงรับไว้ด้วยความยินดี

“จริงสิ ข้ายังมีอีกเรื่องอยากให้เจ้าช่วยข้า” ซ่งชูอีราวกับจู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้

“ท่านเชิญกล่าวมาได้เลย” เจินจวิ้นเอ่ย

ซ่งชูอีเอ่ย “ข้าได้มอบสกุลซ่งให้กับหนิงยาและเจียนใช้แล้ว ต่อไปพวกเขาสองคนก็มิใช่บ่าวอีก ท่านทำการค้าขายรู้จักคนกว้างขวาง ลองดูว่าสามารถหายอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้ที่จะเต็มใจรับเจียนเป็นศิษย์หรือไม่” ครุ่นคิดดูแล้ว นางก็กล่าวเสริม “ปรมาจารย์สำนักม่อกล่าวว่าเจียนมีพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ เรื่องการฝากตัวเป็นศิษย์เช่นนี้ ยอมไม่มีดีกว่าได้อาจารย์ไร้คุณภาพ”

ถึงอย่างไรซ่งชูอีก็เคยฝึกวิชาการต่อสู้หลายวัน รู้ว่าความโลภมิใช่เรื่องเลวร้าย ทว่าการฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่สามารถฝึกได้ทุกอย่างในคราวเดียว ทางที่ดีที่สุดควรกำหนดเส้นทางที่เหมาะสมและศึกษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถบรรลุความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ บัดนี้เจียนได้สัมผัสกังฟูสำนักม่อมาบ้างแล้ว การเรียนรู้อย่างไร้ระบบเช่นนี้เกรงว่าไม่เป็นผลดีสักเท่าไร

เจินจวิ้นคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะปฏิบัติต่อคนข้างกายดีเช่นนี้ นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “นับว่าเป็นวาสนาของพวกเขาทั้งสองคนที่ได้พบกับเจ้านายใจดีเช่นนี้ ท่านวางใจมอบเรื่องนี้ให้กับข้าได้เลย”

“ค่อยเป็นค่อยไป นี่ใช่เรื่องด่วน ท่านไม่ได้เจอกับเจินอวี๋นานแล้ว รีบไปหานางเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอบคุณท่าน!” เจินอวี๋คำนับแล้วออกไป

ซ่งชูอียกชาที่วางอยู่ข้างมือขึ้นจิบคำหนึ่ง ดวงตาสดใส

การมอบชื่อเสียงให้กับเจินอวี๋นั้นได้ผ่านการตรึกตรองมาอย่างลึกซึ้งแล้ว มิใช่ว่าเป็นการฉุกคิดขึ้นมาอย่างฉับพลันของนาง เด็กสาวที่เกิดในตระกูลพ่อค้า ในอนาคตอย่างมากสุดก็แต่งกับผู้ที่มียศต่ำต้อย ซึ่งไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยสำหรับสกุลเจินและซ่งชูอี ในเมื่อเจินอวี๋โหยหาสถานะ และซ่งชูอีก็มีความสามารถนี้เข้าพอดี จึงมอบให้นางโดยไร้ความตระหนี่ อย่างไรก็ดีนับจากนี้ไปนางไม่สามารถแต่งงานตามอำเภอใจได้แล้ว

ยิ่งสถานะสูงเท่าไรก็หมายความว่าต้องแบกรับความรับผิดชอบมากเท่านั้น

ตระกูลสูงศักดิ์ในอนาคตที่เต็มใจจะแต่งกับจวินอวี๋นั้นจะไม่เข้าทางสกุลเจินแต่จะเข้าทางซ่งชูอี เจินจวิ้นเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในความสัมพันธ์ของมนุษย์ ได้รับความเมตตายิ่งใหญ่เช่นนี้ จะไม่มีทางข้ามหน้านางแล้วแต่งเจินอวี๋ออกไปเป็นการส่วนตัวแน่ อย่างน้อยก็จะหารือกับนางในเชิงสัญลักษณ์ หากตอนนั้นนางต้องการที่จะแทรกแซงบ้างก็จะสมเหตุสมผลยิ่งกว่า ไม่ดูวางอำนาจจนเกินไปหรือแม้แต่กระตุ้นความไม่พอใจของเจินจวิ้น

การแต่งงานของเจินอวี๋เกี่ยวข้องกับทั้งสกุลเจินที่อยู่ในมือของนาง ฉะนั้นนางจำเป็นต้องควบคุมอำนาจและความมั่งคั่งโดยสมบูรณ์

สาเหตุที่ซ่งชูอีทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าแม้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับสกุลเจินจะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง ทว่าสกุลเจินก็ไม่ใช่บ่าวคนใช้ หลังจากใช้ประโยชน์แล้วนางก็สามารถสลัดทิ้งได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นความสัมพันธ์นี้ยังคงเปราะบางอยู่

หลังจากพิจารณาระยะเวลาหนึ่ง ซ่งชูอีก็เข้าใจสกุลเจินอย่างถ่องแท้ สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้คือผูกความรุ่งเรืองและความเสื่อมสลายทั้งหมดของสกุลเจินไว้กับนาง จนถึงขั้นว่าที่ว่าหากนางล้ม สกุลเจินไม่จบเห่ก็ต้องร่วงลงสู่เหว และเรื่องนี้ต้องการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆ มัดพวกเขาด้วยด้ายเส้นเล็กทีละเส้นๆ ก่อนที่จะรู้ตัว

เรื่องของเจินอวี๋เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น

“หนิงยา ไปเรียนหมี่จีไปที่ห้องโถงหลัก” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง สั่งกำชับ

“เจ้าค่ะ”

……

ซ่งชูอีพิจารณาเนื้อหาที่เขียนเมื่อวานนี้อย่างละเอียด ถอดความเขียนใหม่อีกครั้ง เมื่อคิดว่าได้เวลาแล้ว นางก็ม้วนใบไผ่เก็บ ลุกขึ้นไปที่ห้องโถงหลัก

หมี่จียืนอยู่ในห้องโถงหลักเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว เตาอั้งโล่ในห้องเพิ่งจะถูกจุด ยังคงหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก ทว่านางยังเผยให้เห็นทรวงทรงองค์เอวงดงาม เห็นได้ชัดว่าข้างในก็สวมใส่ไม่หนามาก

ซ่งชูอีเห็นนางยืนอยู่กลางห้องโถงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อดที่จะแอบพยักหน้าไม่ได้ แม่นางผู้นี้ไม่เพียงมีความอดทนใช้ได้ทว่ายังเข้าใจตำแหน่งของตัวเองอย่างชัดเจน…นางเป็นนางบำเรอที่ทำงานด้วยเรื่องทางเพศ แม้ว่าอากาศจะหนาวจัด แต่ก็ไม่สามารถปกปิดส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายได้ด้วยเสื้อผ้าป่องๆ

“หนิงยา” ซ่งชูอีเดินตรงไปยังที่นั่งหลัก สั่งหนิงยาว่า “นำเสื้อขนสัตว์จิ้งจอกสีขาวตัวนั้นไปให้หมี่จี”

หมี่จีประหลาดใจยิ่ง ตั้งแต่ซ่งชูอีซื้อนาง ก็เลี้ยงนางไว้ในลานเล็ก ไม่เคยใกล้ชิด คราวนี้นางยังไม่ทันทำอะไรด้วยซ้ำก็ได้รางวัลชิ้นใหญ่เช่นนี้ มันไม่น่าแปลกหรอกหรือ?

“ขอบคุณนายท่านที่ตบรางวัล” หมี่จีคำนับ

“นั่งเถิด” ซ่งชูอีกลัวว่านางจะเข้าใจผิดแล้ววิ่งเข้ามาซบอกของนาง จึงเพยิดคางชี้ไปยังตำแหน่งด้านล่างขวา

“เจ้าค่ะ” หมี่จีนั่งตามคำสั่ง

เดิมทีคฤหาสน์แห่งนี้คือพระราชวังของอิ๋งซื่อ และสร้างตามมาตราส่วนของท้องพระโรง ดังนั้นห้องโถงหลักจึงใหญ่มาก ที่นั่งหลักก็ยังสูงกว่าทั้งสองข้างเล็กน้อย ซ่งชูอีเลือกที่จะพบหมี่จีในห้องโถงหลัก เพราะว่าไม่อยากใกล้ชิดกับนางมากจนเกินไป

ระยะห่างค่อนข้างไกล ซ่งชูอีหรี่ตาสำรวจหมี่จีอย่างละเอียด เห็นเพียงใบหน้างดงามของนาง ผมหนา แก้มดุจหิมะ ปลายจมูกกับโหนกแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อเนื่องจากความหนาว ทำให้ดูอ่อนหวานยิ่งขึ้น

ด้วยความพยายามเพียงครู่เดียว หนิงยาก็นำเสื้อขนสัตว์จิ้งจอกสีขาวตัวนั้นเข้ามา สั่งให้สาวใช้สองคนช่วยหมี่จีสวมใส่ ส่วนตัวเองนำถุงหนังแกะให้ซ่งชูอีเพื่ออุ่นมือ

ซ่งชูอีรับมันมาแล้วใส่ไว้ในแขนเสื้อ เหลือบมองหมี่จี เอ่ยว่า “เด็กสาวมีความเย่อหยิ่งบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก มิฉะนั้นหากเจ้าไม่แม้แต่รักและหวงแหนตัวเองแล้วจะให้คนอื่นมารักเจ้าได้เยี่ยงไร?”

หมี่จีกำลังจะค้อมตัวขอบคุณ ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของซ่งชูอีก็อดที่จะเงยหน้าขึ้นมองนางมิได้

ตั้งแต่ที่บิดาจากไป นางก็เอาชีวิตรอดอย่างโดดเดี่ยวในโลกอันยากลำบากนี้ ทุกวันต้องเรียนรู้ถึงความอดทน มันนานมากแล้ว…ที่ไม่มีใครพูดกับนางอย่างมีเหตุผลเช่นนี้

[1] ทังปิ่ง ก้อนแป้งสาลีแบนๆ ใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือเล็กน้อย หรืออาจทำเป็นเส้นหนาเท่าตะเกียบใช้ต้มน้ำทาน