บทที่ 257 แม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งรัฐฉิน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ข้าซื้อเจ้าไว้ ไม่ได้คิดที่จะให้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า” ซ่งชูอีเห็นท่าทางประหลาดใจของหมี่จีแล้วก็บิดๆ ตัว กล่าวสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่า “จวนของข้านี้ขาดคนดูแล ต่อจากนี้ไปเจ้าก็คือผู้ดูแลจวนสกุลซ่ง ภายในจวนมีห้องนอนและห้องหนังสือของข้าที่เป็นสถานที่ต้องห้าม มีหนิงยาคอยดูแล สถานที่ที่เหลือก็ให้เจ้าดูแล”

ภายในห้องเงียบสงัด ผ่านไปครู่หนึ่งหมี่จีจึงดึงสติกลับมาได้ ค้อมตัวถาม “ท่านทราบได้เยี่ยงไรว่าเชี่ย[1]สามารถทำงานนี้ได้?”

ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ข้าเชื่อในสายตาของข้า ทว่าหากเจ้าทำไม่ได้ ก็แค่เปลี่ยนคน จะสามารถคว้าโอกาสเพื่อสลัดตัวจากสถานะต่ำต้อยได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าเอง”

หมี่จีไม่คิดมาก หมอบลงกับพื้นทันที คำนับซ่งชูอียาวนานด้วยความเคารพ พยายามข่มความสั่นเครือแห่งความซาบซึ้งในน้ำเสียง “พระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน เชี่ยจะไม่มีวันลืม!”

“เจ้าสามารถจดจำคำพูดนี้ไว้ตลอดเวลาก็ดีแล้ว ลุกขึ้นเถิด” ซ่งชูอีหลุบตาลงมองนาง พลางลูบคลำกระเป๋าน้ำร้อนหนังแกะที่อบอุ่นในมือ

เมื่อหมี่จีลุกขึ้น ซ่งชูอีก็พูดต่อ “งานบ้านในจวนของข้าไม่นับว่าซับซ้อน อย่างไรก็ดีนอกเหนือจากชีวิตประจำวันแล้ว เจ้ายังต้องรับผิดชอบในการติดต่อกับแขก หากข้าไม่ต้องการพบก็ต้องรู้จักปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม อย่าทำผิดต่อแขก ในหมู่ของคนที่มาเยี่ยมข้าเป็นบุคคลมีอำนาจ ถ้าหากเจ้าเต็มใจก็สามารถเลือกผู้ที่อยากติดตามได้ แล้วมาบอกข้าสักคำ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”

หมี่จีดีใจแทบคลั่ง ทว่าก็ยังตั้งสติได้ รู้ว่าประโยคครึ่งหลังของซ่งชูอีเพียงเพื่อทดสอบนางเท่านั้น “เชี่ยจะไม่หักหลังพระคุณของท่านเจ้าค่ะ”

แม้จะมีผู้สูงศักดิ์ชอบพอนางจริงๆ นางก็ไม่สามารถเป็นภรรยาหลวงได้ ไม่ว่าจะเป็นนางบำเรอหรือฮูหยินก็เป็นเพราะเรื่องของกามารมณ์เท่านั้น ลูกที่เกิดมาก็มีฐานะต่ำต้อย ต่อมาครั้นสามีเหนื่อยหน่ายแล้ว ก็จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในยามแก่ชรา บัดนี้มีโอกาสที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ นางจะไม่รู้ผิดชอบได้อย่างไร!

“ภายในจวนนี้ นอกเหนือจากหนิงยาและเจียนแล้ว เจ้าสามารถควบคุมคนที่เหลือได้” ซ่งชูอีพูดจบ ก็หันไปพูดกับหนิงยา “เจ้าพาหมี่จีทำความรู้จักกับคนอื่น บอกสถานะของนางกับทุกคน”

“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบ

หมี่จีค้อมคำนับซ่งชูอี  ลุกขึ้นตามหนิงยาออกไป

ครั้นออกมาจากห้องโถงหลังแล้ว ใบหน้าของนางจึงเผยความยินดี กล่าวกับหนิงยาอย่างเกรงใจ “แม่นางหนิงยา ต่อไปได้โปรดชี้แนะด้วย”

หนิงยาส่ายศีรษะรัว “พี่สาวไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้ เรียกข้าว่าหนิงยาก็พอแล้ว หนิงยาไม่มีความสามารถอะไร”

หมี่จียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “แม่นางถ่อมตัวแล้ว คนที่ท่านให้ความสำคัญ หากบอกว่าไม่มีความสามารถ เชี่ยไม่เชื่อหรอก!”

หนิงยาหน้าแดง “ที่ท่านให้ความสำคัญไม่ใช่เพราะความสามารถ หนิงยาจงรักภักดีต่อท่าน ท่านก็ให้ควมสำคัญหนิงยา พี่สาวทั้งสวยทั้งฉลาด หากในใจพี่สาวมีเพียงท่าน ท่านก็จะต้องให้ความสำคัญพี่สาวยิ่งกว่า”

“แม่นางพูดถูก เชี่ยจะจดจำไว้” หมี่จีรับคำแนะนำอย่างถ่อมตัว แอบชำเลืองหนิงยาแวบหนึ่ง คิดในใจว่า ไม่รู้ว่าคำพูดของนางนี้ตั้งใจเหน็บแนมนางหรือว่าพูดด้วยใจจริง?

หมี่จีเอนเอียงไปทางข้อแรกมากกว่า นางรู้สึกว่าแม่นางตัวน้อยผู้นี้แม้ดูท่าทางไร้เดียงสา ทว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ ดังนั้นจึงยิ่งระมัดระวังในเรื่องการดูแลจวนสกุลซ่งมากขึ้น

“ท่านเพิ่งกลับมาจากปาสู่ไม่กี่เดือน โรคทางตาก็เพิ่งหายดี ไม่มีเวลาหาคนเข้าจวนเลย บัดนี้คนในจวนค่อนข้างน้อย แต่ข้าได้ยินท่านบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะหาคนเข้ามาเติม” หนิงยาเดินพลางพูดพลาง

หมี่จียิ่งรู้สึกประหลาดใจ คนที่เพิ่งเข้าจวนฝึกฝนได้ง่ายที่สุด ท่านไม่กลัวว่านางจะสอนให้พวกบ่าวไพร่มาอยู่ข้างเดียวกับตนรึ?

นางต้องการถามหนิงยาบางอย่างเกี่ยวกับซ่งชูอี แต่ก็รู้สึกว่าทุกการเคลื่อนไหวของนางจะต้องอยู่ในสายตาของซ่งชูอีอย่างแน่นอน อย่าถามอะไรส่งเดชจะดีกว่า

“ท่านได้รับบาดเจ็บในปาสู่ ยังอยู่ในช่วงรักษาตัว หากพี่สาวมีอะไรที่ไม่เข้าใจก็ถามข้าได้เลย” หนิงยาค่อนข้างชอบผู้หญิงที่ทั้งสวยงามและถ่อมตัวคนนี้ อย่างน้อยนางก็ไม่เหมือนกับบ่าวคนนั้นของเจินอวี๋ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มทว่ากลับให้ความรู้สึกว่าไม่จริงใจเลยสักนิด

หมี่จีรีบเอ่ยขึ้น “ขอบคุณแม่นางแล้ว”

นางสอดสองมือเข้าไปในแขนเสื้อ สัมผัสกำไลหยกที่ตนพกติดตัวมาตลอดเพื่อที่จะมอบให้หนิงยา ทว่าเมื่อมองดูหนิงยาอีกครั้ง นางสวมชุดผ้าหยาบธรรมดา ผมดำสนิทถักเป็นเปียห้อยลงมาและมัดด้วยแถบผ้าสีเข้มด้านบน ไม่มีเครื่องประดับเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่มีค่าที่สุดบนตัวก็คือเสื้ออ่าวหนังแกะตัวนั้น ดังนั้นนางจึงหย่อนกำไลข้อมือกลับไปอย่างเงียบๆ

หมี่จีพิจารณาอยู่ในใจ หนิงยาเป็นคนใกล้ชิดท่านที่ได้รับความเอ็นดูมากที่สุด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเงินแต่งตัวเลย หากนางรีบให้ของมีค่าแล้วท่านรู้เข้าไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร อีกอย่างดูจากการแต่งตัวของหนิงยาแล้ว นางเดาว่า…ท่านอาจไม่ชอบให้คนรับใช้แต่งตัวงดงามหรือไม่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว หมี่จีก็รู้แล้วว่าควรเริ่มจัดการงานในจวนจากตรงไหนก่อน

ตอนบ่าย เมื่อเจินจวิ้นกำลังจะจากไปก็มาบอกกับซ่งชูอีว่าต้องการรับเจินอวี๋กลับจวน

ที่จริงแล้ว เดิมทีเจินจวิ้นก็มิได้เร่งรีบในการรับเจินอวี๋กลับไป ทว่าเขาได้ยินมาจากปากของหนิงยาตอนที่ไปลานด้านหลังว่า เจินอวี๋อาศัยอยู่ในลานหลักคนเดียว ซ่งชูอีกลับอยู่ใน “จวนของแขก” ในบ้านตัวเองตลอดเวลา! ดังนั้นคราวนี้เขาทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างราบรื่นมาก ทันทีที่ซ่งชูอีพยักหน้า วันรุ่งขึ้นขบวนรถก็มารับเจินอวี๋กลับบ้านไปแล้ว

กองทัพที่ได้รับชัยชนะจากปาสู่ต่างได้รับรางวัล ทหารทั้งหมดได้รับการเลื่อนขั้นเป็นชั้นหนึ่ง มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะถูกเรียกว่า “ทหารชั้นยอด” จี๋อวี่ได้รับแต่งตั้งเป็นตูเว่ยรองจากท่านแม่ทัพซย่าเฉวียน แทนที่ตำแหน่งของเจ้าอี่โหลว อีกทั้งได้รับแต่งตั้งยศที่เท่าเทียมกัน จี้ฮ่วนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นหนึ่งชั้น นอกจากนี้ยังเป็นนายพลภายใต้ท่านแม่ทัพซย่าเฉวียนอีกด้วย และเพราะความกล้าหาญของเจ้าอี่โหลว จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษให้เป็นท่านแม่ทัพฝ่ายซ้าย!

เนื่องจากการสำรวจสถานการณ์ในปาสู่ของซ่งชูอีประสบความสำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซ่างชิง มีส่วนร่วมในกิจการระดับรัฐ แต่ไม่ได้ให้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

รัฐฉินไม่เคยปรากฏปริมาณของผู้ที่ได้รับรางวัลเช่นครั้งนี้มาหลายสิบปีแล้ว ตำแหน่งว่างในท้องพระโรงล้วนถูกเติมเต็ม และนี่เป็นสิ่งที่อิ๋งซื่อวางแผนไว้อย่างดีตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว

อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวที่ใหญ่ที่สุดของอิ๋งซื่อมิได้มีเพียงเท่านี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมารัฐฉินไม่เคยมีตำแหน่ง “มหาเสนาบดี” กับ “แม่ทัพใหญ่” เลย ตำแหน่งท่านแม่ทัพชั่วคราวจะได้รับการแต่งตั้งก็ต่อเมื่อมีการส่งกำลังทหาร ส่วนตำแหน่งภายในรัฐที่อยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นก็มีเพียงต้าเหลียงเจ้าผู้เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ครั้งนี้อิ๋งซื่อแต่งตั้งจางอี๋เป็นมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ดูแลความสัมพันธ์ทางการทูต แต่งตั้งชูหลี่จี๋เป็นมหาเสนาบดีฝ่ายขวา บริหารกิจการรัฐทั่วไป แต่ตั้งกงซุนเหยี่ยนเป็นแม่ทัพใหญ่ และซือหม่าชั่วเป็นกั๋วเว่ย[2]

แม่ทัพใหญ่บัญชาการสามกองทัพ ส่วนกั๋วเว่ยดูแลกิจการทหารทั้งหมด แม้ว่ากั๋วเว่ยจะมียศทหารเทียบเท่าแม่ทัพใหญ่ ทว่าหน้าที่ความรับผิดชอบไม่ใคร่เหมือนกันนัก

นี่หมายความว่า กงซุนเหยี่ยนไม่เพียงต้องแบ่งอำนาจเดิมออกเป็นสามส่วน แต่ยังมีกั๋วเว่ยที่เกือบจะหายใจรดต้นคอเขาอีกด้วย!

นี่จะไม่ให้เขาโมโหได้เยี่ยงไร? อย่างไรก็ดีเขาไม่รู้ว่าจะไประบายโทสะนี้ที่ใด หากไประบายกับฉินกง เขาก็มิได้ทำอะไรผิด ระบบของรัฐฉินมีปัญหาตั้งแต่แรกแล้ว การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งก็ได้แต่งตั้งตำแหน่งสูงสุดของผู้บัญชาการทหารให้แก่เขาแล้ว ยังจะมีอะไรน่าตำหนิกัน! ถ้าจะกล่าวว่ากั๋วเว่ยมาแบ่งอำนาจแบ่งไป ทว่ามหาเสนาบดีก็ยังมีฝั่งซ้ายขวาที่ระดับเดียวกันด้วยนี่นา!

อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกันแล้ว มหาเสนาบดีต่างหากที่เป็นผู้นำทางการเมืองและทิศทางของรัฐ กงซุนเหยี่ยนเต็มใจที่จะผู้นำทางมากกว่าผู้นำสงครามเสียอีก!

วนไปเวียนมา กงซุนเหยี่ยนก็นำเอาโทสะนี้มาลงกับจางอี๋

ซ่งชูอีได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสองจิกกัดอย่างมีสีสันยิ่งในราชสำนักทุกวัน คนหนึ่งวาจาเฉียบคม อีกคนหนึ่งก็มีลิ้นที่คมคาย ไม่มีผู้ใดด้อยไปกว่ากันเลย! มันน่าฉงนจนทำให้ซ่งชูอีที่กำลังพักฟื้นต้องไปสังเกตการณ์ที่ราชสำนักในวันรุ่งขึ้นแล้ว

[1] เชี่ย คำสรรพนามที่นางบำเรอใช้เรียกแทนตัวเอง

[2] กั๋วเว่ย ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของผู้ดูแลกิจการทางทหารของรัฐฉินในสมัยจั้นกั๋ว