ในท้องพระโรงที่มีสีดำและสีแดงเป็นสีหลักนั้นดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง
บนเสาขนาดสองคนโอบแกะสลักลายสัตว์ร้ายในตำนานที่ลึกลับและหยาบกระด้าง ขุนนางฝ่ายบุ๋นและแม่ทัพฝ่ายบู๊นั่งขนาบข้าง
ซ่งชูอีที่ไม่ได้เข้าประชุมราชสำนักร่วมหนึ่งปีเต็มดึงดูดสายตาเหล่าขุนนางทันทีที่ปรากฏตัว
แม้ว่ารัฐฉินไม่มีรูปแบบในการใช้คนที่ตายตัว เมื่อเห็นความสามารถแล้วก็ไม่ลังเลที่จะแต่งตั้งให้เป็นขุนนางระดับสูง ครั้งนี้อิ๋งซื่อมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง ไม่เพียงปฏิรูปยศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งยังแต่งตั้งซ่างชิงหลายคน ในบรรดาพวกเขา คนที่อายุน้อยที่สุดและสะดุดตาที่สุดก็คือซ่งชูอีอย่างไม่ต้องสงสัย
ลำดับศักดินาของจางอี๋มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคือต้าซ่างเจ้า ส่วนลำดับศักดินาของซ่งชูอีคือเซ่าซ่างเจ้า[1]ที่จัดอยู่ในลำดับถัดไป
กงซุนเหยี่ยนที่ยืนอยู่ตรงหน้าซ่งชูอีสำรวจนางสองสามรอบ แล้วจึงนึกขึ้นมาได้ทันใดว่าเคยเจอกับนางครั้งหนึ่งในค่ายทหารรัฐเจ้า
“ทุกคนแสดงความคิดเห็นได้” อิ๋งซื่อกล่าว
เนื้อหาที่สำคัญที่สุดในการประชุมราชสำนักในวันนี้ยังคงเป็นสิ่งที่ยังค้างคาตั้งแต่สองสามวันที่ผ่านมา เว่ยอ๋องส่งเทียบรัฐมาว่าต้องการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับฉินในขั้นต่อไป เดิมทีความสัมพันธ์ของเว่ยฉินดีอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไปไกลกว่านี้ แต่ว่ารัฐเว่ยกลับฉวยโอกาสตอนที่ฉินโจมตีสู่ยกกองทัพเข้ามา ความหมายในการแต่งงานเพื่อทางการทูตจึงไม่มีอยู่อีกต่อไป
ตามความเห็นของจางอี๋ควรส่งคนปรองดอง ความเห็นของกงซุนเหยี่ยนควรเปิดสงคราม
ทั้งสองฝ่ายความเห็นแตกแยกและเกิดการชะงักงัน ราชทูตเว่ยยังคงรออยู่ในห้องรับรอง รอเพียงว่าจะปรองดองหรือทำสงครามเพียงคำเดียวเท่านั้น
“รัฐเว่ยตระบัดสัตย์คืนคำ ต่อให้ทหารฉินสามารถตีนครต้าเหลียงได้ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครกล่าวโทษแม้แต่คำเดียว!” แต่ละคำพูดของกงซุนเหยี่ยนดุจเหล็กกล้า
จางอี๋หัวเราะเยาะอย่างไม่เห็นด้วย “เดิมทีฉินเว่ยเป็นศัตรู จะต่อสู้กับเมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้ นับประสาอะไรกับครั้งนี้เล่า? ต้าฉินเพิ่งจะเปิดดินแดนได้ เหตุการณ์ปาสู่เพิ่งจะสดๆ ร้อนๆ บัดนี้เปิดสงครามอีกเป็นการกระทำที่ชาญฉลาดเช่นนั้นหรือ?”
“เรามิอาจปรองดองกับเว่ยได้! ในเมื่อพวกเขาสามารถออกทัพโจมตีฉินได้หลังจากงานอภิเษกไม่ถึงครึ่งปี ก็สามารถพลิกลิ้นได้ทุกเมื่อหลังจากสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตในครั้งนี้ จะสานสัมพันธ์หรือไม่มีอะไรต่างกันเล่า?!” กงซุนเหยี่ยนคัดค้านอย่างไม่ลังเล จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “บัดนี้รัฐเว่ยเพิ่งจะปฏิรูปกองทัพ ไม่มีใครเข้าใจข้อเสียต่างๆ ได้ดีเท่าข้า ในเมื่อข้าสามารถตีกองทัพเว่ยได้ถึงสองครั้ง ก็สามารถนำทัพไปตีนครต้าเหลียงได้!”
“ข้าเชื่ออยู่แล้วว่าท่านแม่ทัพมีความสามารถนี้ อย่างไรก็ดีเรื่องใหญ่ของรัฐยังไม่ได้มาถึงทางเลือกสุดท้าย จะเอามันไปเดิมพันได้อย่างไร?” จางอี๋ตั้งคำถาม
กงซุนเหยี่ยนหัวเราะเย็นชา ไม่ประนีประนอมเลย “หากต้าฉินแสวงหาความมั่นคงสุ่มสี่สุ่มห้า จะมีความแข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?”
ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกัน ไม่มีคนใดในท้องพระโรงที่สามารถขัดจังหวะได้ อิ๋งซื่อกำลังมองดูจากด้านบน ครั้นเห็นว่าพูดจากันพอสมควรแล้ว ขืนโต้แย้งต่อไปก็คงจะได้เห็นการต่อสู้กันจริงๆ จึงอาศัยช่องว่างนี้พูดแทรกขึ้น “พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราวเถิด จัดการเรื่องภายในที่สำคัญก่อน”
ซ่งชูอีราวกับหายใจได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ถูกบีบอยู่ในลำคอ อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ แล้วพ่นออกมาช้าๆ
คนอื่นมีท่าทีเหมือนกับชินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
การประชุมราชสำนักเข้าสู่สภาวะปกติ การประชุมดำเนินการไปอย่างราบรื่นยิ่ง หลังจากประชุมแล้ว อิ๋งซื่อก็ขอให้จางอี๋ กงซุนเหยี่ยน ชูหลี่จี๋และซ่งชูอีอยู่ต่อ
หอพระอักษรด้านนอกไม่ใหญ่เท่าท้องพระโรง การตกแต่งเรียบง่ายและใช้งานได้จริง เตาอั้งโล่ภายในห้องถูกจุดแล้ว ทันทีที่เข้าห้องมาก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นฤดูใบไม้ผลิ หลังจากทุกคนต่างนั่งลง บ่าวไพร่ก็ยกน้ำชาเข้ามาทันที
“ซ่งจื่อจำข้าได้หรือไม่?” กงซุนเหยี่ยนถาม
ซ่งชูอีประสานมือคำนับ “จากกันสองปี ซีโส่วยังคงสง่างามเช่นเดิม จะจำไม่ได้ได้เยี่ยงไร? บัดนี้ข้าไม่กล้าที่จะทำความรู้จัก เพราะว่าข้าไร้ชื่อเสียง เกรงว่าซีโส่วจะจำไม่ได้มากกว่า!”
“นี่ซ่งจื่อกำลังเยาะเย้ยข้าหรือ?” คำพูดของกงซุยเหยี่ยนคมคายเล็กน้อย ทว่าบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มกว้าง ดูไม่เหมือนกำลังโมโหเลย
“หึหึ ข้าผิดไปแล้ว” ซ่งชูอีคำนับเขาแกมเย้าเล่น
ขณะนี้อย่าว่าแต่กงซุนเหยี่ยนจะคุยกับจางอี๋เลย แม้แต่มองยังไม่มองด้วยซ้ำ หากเปรียบเทียบกันแล้ว ความประทับใจของเขาที่มีต่อซ่งชูอีนั้นดีกว่ามาก ด้วยเหตุนี้จึงมีสีหน้าเป็นมิตร อีกทั้งยังเป็นห่วงอาการป่วยของนางด้วย
“ฝ่าบาทเสด็จ” บ่าวรายงานอยู่ที่หน้าประตู
ทุกคนต่างลุกขึ้นมา
แสงสว่างที่ประตูมืดลง อิ๋งซื่อก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ทุกคนคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถิด” อิ๋งซื่อนั่งลงระหว่างที่พูดแล้ว
หลังจากนั่งลง ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมอง ด้วยระยะที่ไม่ห่างกันมาก นางสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอิ๋งซื่อได้เปลี่ยนชุดลำลอง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเหมือนเคย เพียงแต่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย สีของริมฝีปากก็อ่อนลงไปมาก
นับตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์ สิ่งต่างๆ ได้รับการจัดการอย่างเรียบร้อย ดูเหมือนมีดคมที่ตัดความยุ่งเหยิง ทว่ามีดเล่มนี้ก็มิได้กวัดแกว่งส่งเดช คนธรรมดาจะเข้าใจความเพียรพยายามของเขาได้อย่างไร? ต้องขอบคุณที่ร่างกายของเขาแข็งแรง ไม่ฉะนั้นคงล้มไปนานแล้ว
เขายกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง เหลือบตาขึ้นแล้วกวาดมองรอบหนึ่ง “ยื้อเวลามาพอสมควรแล้ว ข้าตัดสินใจที่จะสร้างความปรองดองกับรัฐเว่ยอีกครั้ง”
กงซุนเหยี่ยนหลุบตาลง ซ่อนเร้นความไม่พอใจในแววตา
ซ่งชูอีเห็นว่าคนเหล่านั้นไม่มีท่าทีประหลาดใจ ก็เข้าใจว่าอิ๋งซื่อได้พูดคุยกับพวกเขาล่วงหน้าแล้ว ข้อพิพาทมีไว้แสดงให้รัฐเว่ยดูเท่านั้น
เงียบงันครู่หนึ่ง กงซุนเหยี่ยนคำนับทันใด “กระหม่อมตัดสินใจจะลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ!”
อิ๋งซื่อผู้ไม่เคยตกใจกับสิ่งใดกลับแสดงอาการประหลาดใจเป็นครั้งแรก แต่ว่าก็เพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เขาดึงสติกลับมาแล้วถอนหายใจจากปากแผ่วเบา “ชื่อเสียงของซีโส่วนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ!”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้ากงซุนเหยี่ยน สะบัดแขนเสื้อแล้วค้อมคำนับยาวนาน “รัฐฉินต้องการคนมีความสามารถเยี่ยงท่าน อิ๋งซื่อขอให้ท่านอยู่ต่อด้วยความจริงใจ!”
กงซุนเหยี่ยนไม่กล้าที่จะมอบความไว้วางใจ รีบลุกขึ้นคำนับกลับ อย่างไรก็ดี หลังจากช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ได้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่งอย่างชัดเจน ทิศทางทั่วไปของเขาต่างจากอิ๋งซื่อ อิ๋งซื่อผู้นี้สามารถก้มหัวให้อย่างเต็มใจเพื่อขอร้องผู้ที่มีความสามารถ แต่ความเย่อหยิ่งในกระดูกของเขานั้นไม่สามารถลบออกไปได้ อิ๋งซื่อได้กำหนดหนทางแห่งอนาคตของฉินไว้ในใจแล้วและจะไม่ยอมผู้ใดเด็ดขาด! อิ๋งซื่อชอบในความสามารถทางทหารของตน ดังนั้นการร้องขอด้วยท่าทางที่ต่ำต้อยกว่าเช่นนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เขากลายเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์ที่เขาต้องการใช้และรัฐฉินจำเป็นต้องมีก็เท่านั้น!
เพียงแต่ว่ากงซุนเหยี่ยนเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยความสุดโต่ง คนอื่นจะไม่ยอมรับความคิดของเขาก็ได้ แต่อย่าได้คิดที่จะเปลี่ยนแปลงเขา!
“กระหม่อมได้ตัดสินใจแล้ว ได้โปรดฝ่าบาททำให้มันสมบูรณ์ด้วย!” ในขณะที่อิ๋งซื่อจะใช้กลยุทธ์ของจางอี๋ เขาก็ได้ตัดสินใจแล้ว วันนี้ได้เห็นสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดไว้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป
อิ๋งซื่อครุ่นคิด “ท่านแม่ทัพให้เวลาข้าพิจารณาเถิด”
“กระหม่อมจะรอข่าวจากฝ่าบาท” เขาพูดจบก็โค้งคำนับ หมุนตัวจากไปอย่างอิสระ
อิ๋งซื่อเป็นคนเด็ดขาดเสมอมา และรู้ดีว่ากงซุนเหยี่ยนเข้ากับตนไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์หรือนิสัย แต่ว่าในด้านการทหาร เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง! หากรัฐฉินสูญเสียคนเช่นนี้ไปก็นับเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงอย่างแท้จริง
“พวกเจ้ามีวิธีรั้งเขาไว้หรือไม่?” อิ๋งซื่อหันมาถามพวกซ่งชูอี
ต่อให้มีวิธี จางอี๋ก็จะไม่เปิดปากอย่างแน่นอน นับประสาอะไรกับไม่มีเล่า?
ชูหลี่จี๋คิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายมากเกินไป “กระหม่อมไม่มีวิธี”
แววตาล้ำลึกของอิ๋งซื่อหยุดอยู่ที่ซ่งชูอี
ในความจริงแล้ว นางแค่มาดูความครึกครื้นเท่านั้น นี่มันเรื่องอะไรกัน?
[1] เซ่าซ่างเจ้า เป็นตำแหน่งที่รองจากต้าซ่างเจ้าขุนนางชั้นสูงสุดแห่งรัฐฉินในช่วงจั้นกั๋ว มีอำนาจทางการทหารและการเมือง