บทที่ 236-1 สถานที่เกิดเหตุ
‘นี่มันอะไรกัน ระหว่างชายหญิง ถึงแม้ช่องว่างไม่เป็นลบ แต่ก็ไม่นับว่าใกล้……’ ขณะที่สวี่ชีอันพึมพำในใจ หน้าก็เสียเล็กน้อย
ระหว่างชายหญิงไม่ว่าจะมีแนวโน้มในการสร้างความยุ่งยากขึ้นหรือไม่ก็ตาม ความจริงแล้วทั้งสองฝ่ายย่อมรู้อยู่แก่ใจ แม้แต่คนที่เชื่องช้าแค่ไหน ก็จะค่อยๆ เข้าใจเอง
ในด้านความรัก ยายตัวร้ายออกจะเชื่องช้าเล็กน้อย ประการแรกเป็นเพราะประสบการณ์น้อย อีกประการนั้นเป็นเพราะปฏิเสธหัวใจตัวเองตามสัญชาตญาณ
ดังนั้นพระองค์อาจไม่รู้ตัวว่าพระองค์เองนั้นมีใจให้ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนนี้
แต่สวี่ชีอันหรือจะไม่รู้?
เป็นไปไม่ได้!
ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันในชาติก่อนหรือในชาตินี้ ต่างเป็นผู้ชายที่มีประสบการณ์ในด้านความรักสูง สาวน้อยที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นยายตัวร้าย ความไว้ใจ ความสนิทสนมที่มักจะแสดงออกบ่อยๆ ล้วนเป็นการสื่อสารให้เขารับรู้ว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ชอบข้า’
องค์รัชทายาทก็ทรงเป็นผู้ชายเช่นกัน ดังนั้นการที่สวี่ชีอันปฏิเสธต่อหน้าพระพักตร์พระองค์จึงไม่มีความหมาย
“องค์รัชทายาททรงคิดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันถามกลับ
“ได้ยินมาว่าเดิมทีพระราชบิดาทรงตั้งพระทัยจะแต่งตั้งเจ้าให้ดำรงตำแหน่งจื่อแห่งอำเภอฉางเล่อ แต่หลังจากที่ทรงรู้ว่าเจ้าฟื้นคืนชีพแล้ว ก็ทรงยกเลิกไป?” องค์รัชทายาททรงตรัส
“ฝ่าบาททรงรับปากกระหม่อม ขอเพียงกระหม่อมตั้งใจสืบคดีของพระสนมฝู กระหม่อมจะได้รับการแต่งตั้งในไม่ช้า” สวี่ชีอันตอบ
องค์รัชทายาททรงพึมพำเบาๆ “ตำแหน่งจื่อนั้นถึงอย่างไรก็ต่ำไปหน่อย หากเจ้าสามารถคืนความบริสุทธิ์ให้ข้าได้ ข้าสามารถช่วยเจ้าเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นได้อีก เจ้าต้องรู้ไว้ว่าบางเรื่อง ตำแหน่งจื่อนั้นไม่เพียงพอ”
สวี่ชีอันยิ้มเยาะแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระราชทานรางวัลทองคำพันตำลึงแก่กระหม่อมเสียเลยจะดีกว่า คงแน่นอนกว่าคำสัญญาลมๆ แล้งๆ”
องค์รัชทายาทเลิกพระขนง “เจ้าไม่เชื่อข้า?”
“ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่สิ่งที่องค์รัชทายาทสามารถพระราชทานให้กระหม่อมได้ เว่ยกงก็สามารถมอบให้กระหม่อมได้เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ หรือแม้แต่สิ่งที่องค์รัชทายาทไม่สามารถพระราชทานให้กระหม่อมได้ เว่ยกงก็ยังคงสามารถมอบให้กระหม่อมได้”
“สวี่ชีอัน เว่ยเยวียนเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว ตามหนังสือประวัติศาสตร์ ขุนนางผู้โดดเดี่ยวคนไหนมีจุดจบที่ดีบ้าง“ องค์รัชทายาททรงตรัสอย่างเคร่งขรึม
สวี่ชีอันโค้งตัวถวายความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องไป
…
จวนสกุลสวี่
“พี่หย่ายล่ะ ทำไมพี่หย่ายหายไปอีกแล้ว” ในปากสวี่หลิงอินมีซาลาเปาไส้เค็มอุดอยู่ นางกวาดสายตามองไปรอบๆ
“พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อยู่” อาสะใภ้ตอบ พลางคล้องถุงผ้าเล็กๆ ไว้ที่คอให้เด็กน้อย
“พี่หย่ายไม่อยู่ ข้าก็ไม่ไป ข้าอยากเจอพี่หย่าย” สวี่หลิงอินพูดอย่างโกรธเคือง
“อย่าทำแบบนี้กับข้า เจ้าแค่ต้องการหาข้ออ้างที่จะไม่ไปโรงเรียนเท่านั้น” อาสะใภ้ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเสี่ยวโต้วติง
เสี่ยวโต้วติงตกใจ วิธีที่นางคิดอยู่นานกว่าจะคิดออก แต่ท่านแม่กลับดูออกอย่างรวดเร็ว
ท่านแม่ฉลาดมาก ทำไมจึงถูกพี่ใหญ่ทำให้โกรธจนร้องเอะอะอยู่บ่อยๆ
“ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นข้าเรียนหนังสือกับพี่รองอยู่ที่บ้านได้หรือไม่” สวี่หลิงอินพูดออดอ้อน
“หน้าตาน่าเกลียดที่สุด แต่คิดได้สวยงามที่สุด” อาสะใภ้ดุ “พี่รองของเจ้าจะสอบชุนเหวยแล้ว จะมีเวลาดูแลเด็กโง่อย่างเจ้าได้อย่างไร”
“ชุนเหวยคืออะไร”
“ก็คือเคอจวี่”
“เคอจวี่คืออะไร”
“คือการสอบ”
“การสอบคืออะไร?”
“สวี่หลิงอิน เจ้าจะทำให้ข้าโกรธจนตายหรือ” อาสะใภ้โกรธจนร้องเอะอะ
ในเวลานี้ สวี่เอ้อร์หลางหิ้วถุงส้มเขียวเข้ามาในจวน เมื่อเห็นว่าท่านแม่กำลังสั่งสอนน้องสาวอยู่ จึงไม่ได้สนใจ ยื่นถุงส้มให้นาง
“หลิงอิน ให้เจ้าเอาไปกินที่โรงเรียน”
สวี่หลิงอินรับไว้ด้วยความดีใจ พอเห็นเป็นส้มเขียวหวานก็หน้านิ่วคิ้วขมวด “พี่รอง ส้มนี้ไม่อร่อย”
สวี่เอ้อร์หลางตกตะลึง “เจ้าเคยกินรึ?”
อาสะใภ้อธิบายว่า “ครั้งก่อนพ่อของเจ้าเคยซื้อส้มเขียวหวานชนิดนี้มา”
สวี่ซินเหนียนมองอาสะใภ้แล้วพูดว่า “ท่านแม่…”
อาสะใภ้มองเขาอย่างข้องใจ “มีอะไรก็พูดมา อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” สวี่เอ้อร์หลางหลุดปากออกมาว่า “เมื่อวานข้าเห็นพี่ใหญ่ให้เงินท่านพ่อห้าสิบตำลึง ท่านรีบเก็บเอาไว้ เขาจะได้ไม่ออกไปสำมะเลเทเมา”
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินดังนั้นจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดบ้าง “สวี่หนิงเยี่ยนคนนี้ น่าชังยิ่งนัก”
ความจริงแล้วสวี่เอ้อร์หลางโกหกอาสะใภ้ สาเหตุที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านแม่รีดไถเงินส่วนตัวของพ่อบุญธรรมนั่นเอง เพื่อปลอบใจท่านแม่ แม้กัดฟันก็จำเป็นต้องมอบเงินส่วนตัวให้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถออกไปสำมะเลเทเมาได้อีก
จากนั้น พี่ใหญ่ผู้น่ารำคาญก็จะถูกท่านแม่ผูกพยาบาทไปอีกนาน
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เยี่ยม!
สวี่เอ้อร์หลางกลับไปอ่านตำราต่อในห้องหนังสือด้วยความพึงพอใจ
…
พระราชวัง
ในมือของสวี่ชีอันถือแผ่นป้ายไว้ ทำให้เข้าไปในวังโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ วันนี้เขามาถึงสวนเส้าอินเพื่อรับยายตัวร้ายไปคลี่คลายคดีด้วยกัน
วันนี้องค์หญิงหลินอันสวมชุดกระโปรงลำลองสีแดงเพลิง สีเหมือนเมื่อวาน แต่แบบไม่เหมือนกัน พระองค์ทรงกระโดดมาหาอย่างมีความสุข พระพักตร์รูปไข่ปรากฏรอยยิ้มหวาน ดวงพระเนตรกลมโตเต็มไปด้วยประกายแห่งรัก
หลังจากรู้จักกับหลินอัน สวี่ชีอันจึงรู้ว่า ผู้หญิงที่ยั่วยวนมีเสน่ห์ไม่ได้มีแค่ผู้หญิงที่มีใบหน้ารูปหัวใจเท่านั้น แต่ผู้หญิงที่มีใบหน้ารูปไข่ก็มีเสน่ห์และยั่วยวนมากเช่นกัน
น่าเสียดายที่ยุคสมัยได้จำกัดการแสดงออกของหลินอัน ไม่เช่นนั้นหากทรงดัดผมลอนใหญ่ สวมกางเกงยีนขาสั้นและเสื้อสายเดี่ยว ก็เท่ากับเทพธิดางามเพริศพริ้งชัดๆ
เป็นผู้หญิงซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในไนต์คลับเป็นอย่างยิ่ง
ยายตัวร้ายกระโดดเข้ามาหา แล้วหมุนตัวอย่างร่าเริงจนกระโปรงพลิ้วไหว นี่เป็นการพยายามแสดงความงามต่อหน้าสวี่ชีอัน ซึ่งบางทีพระองค์เองอาจจะไม่รู้พระองค์
สวี่ชีอันพูดด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดทรงสวมกระโปรงสีแดงบ่อยครั้งนักเล่าพ่ะย่ะค่ะ….”
ทันทีที่พูดจบ พระพักตร์ของยายตัวร้ายก็เปลี่ยนสีทันที
“หึ สุนัขรับใช้ เจ้าเป็นคนบอกว่าข้าใส่กระโปรงสวยมากมิใช่หรือ”
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ปิดตา แล้วก็ร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
ยายตัวร้ายทรงถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป”
“พระองค์ทรงพระสิริโฉมงดงาม เปล่งประกายเจิดจ้า จนตากระหม่อมเกือบบอด” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง
ยายตัวร้ายทรงได้ยินดังนั้น ก็เปลี่ยนจากความพิโรธเป็นชอบพระทัย สวี่หนิงเยี่ยนพูดจาน่าฟัง ทั้งยังน่าขบขัน
“องค์หญิง วันนี้กระหม่อมจะไปสำรวจตำหนักชิงฟงดูสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าว
หลินอันพยักพระพักตร์ แล้วทรงตรัสด้วยน้ำเสียงฉอเลาะว่า “ข้าต้องรอคนคนหนึ่งก่อน”
พระพักตร์ของพระองค์ดูภาคภูมิใจ ทรงเชิดพระหนุ เผยให้เห็นพระศอที่เรียวยาวขาวราวหิมะ
สวี่ชีอันรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที ในใจคิดว่า ‘ไม่ใช่มั้ง ไม่ใช่มั้ง คงไม่เป็นอย่างที่ข้าคิดนะ’
และในเวลาสิบห้านาที ฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดกระโปรงลำลองสีขาว พระพักตร์งดงามเย็นชาก็ทรงพระดำเนินมาด้วยท่าทางงดงามเกินคำบรรยาย
สวี่ชีอัน ‘…’
องค์หญิงหลินอันทรงท้าวพระกฤษฎี ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ ท่าทางกระปรี้ประเปร่าเหมือนแม่ไก่ “ฮว๋ายชิ่งอยากจะไปเพิ่มพูนความรู้กับนายและบ่าวอย่างพวกเราให้ได้ ข้าจึงตัดสินใจที่จะตอบสนองความต้องการของนาง เจ้าสุนัข…สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าคิดอย่างไร”
พระองค์ทรงเจตนาเน้นย้ำคำว่า ‘นายและบ่าว’ ราวกับกำลังประกาศความเป็นเจ้าของของใครบางคน
สวี่ชีอันคำรามในใจด้วยความโกรธว่า ‘บ้าชะมัด!’
‘ข้าเป็นคนรับใช้ของพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…’ ถึงกระนั้นเขากลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กระหม่อมอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงพระเนตรที่สดใสขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งกวาดสายตามอง แล้วทรงตรัสเบาๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอรับไมตรีของใต้เท้าสวี่ไว้แล้วกัน”
‘องค์หญิงใหญ่ มันไม่ใช่อย่างที่พระองค์คิด กระหม่อมกับหลินอันต่างบริสุทธิ์ใจ กระหม่อมยังคงเป็นทาสรับใช้ของพระองค์เช่นเดิม’ มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก
เขาคาดไม่ถึงว่าฮว๋ายชิ่งจะเข้าร่วมคดีพระสนมฝูด้วย แต่เมื่อคิดอีกที ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อันดับแรก ฮว๋ายชิ่งมีความสนใจในการสืบสวนและคลี่คลายคดีเป็นอย่างมาก แต่ในฐานะองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ เมื่อก่อนพระองค์ไม่มีเหตุผลและไม่มีฐานะที่จะไปเกี่ยวข้อง
เมื่อครั้งคดีซังผอ ฮว๋ายชิ่งก็มักจะทรงเรียกสวี่ชีอันเข้าวังเพื่อสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของคดีอยู่บ่อยๆ แล้วยังเป็นเพื่อนเขาในการหมกมุ่นอยู่กับหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อค้นหาเบาะแส
เวลานี้ในวังเกิดคดีใหญ่ ฮว๋ายชิ่งจึงติดตามและให้ความสนใจอย่างมาก ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
…………………………………………………