บทที่ 236-2 สถานที่เกิดเหตุ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 236-2 สถานที่เกิดเหตุ

ก่อนหน้านี้หน่วยงานที่รับผิดชอบคือตุลาการสามฝ่าย ฮว๋ายชิ่งเข้าแทรกไม่ได้ แต่เวลานี้หัวหน้าผู้ตัดสินคดีเปลี่ยนเป็นสวี่ชีอันแล้ว ฮว๋ายชิ่งย่อมต้องเข้าร่วมเป็นธรรมดา แน่นอนสวี่ชีอันสงสัยว่าในนั้นยังมีส่วนที่ยายตัวร้ายคอยสร้างความยุ่งยากอยู่ด้วย

ตัวอย่างเช่นทรงวิ่งไปหาฮว๋ายชิ่งแล้วพูดว่า ‘สุนัขรับใช้ของข้ากลับมาแล้ว และสุนัขรับใช้เชื่อฟังคำพูดของข้าที่สุด…’ เป็นต้น เป็นการโอ้อวดนั่นเอง

คนไม่ซื่อสัตย์เช่นสวี่ชีอันรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดังนั้นระหว่างทางไปยังตำหนักชิงฟง เขาจึงตามหลังองค์หญิงทั้งสองอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเลย ลดความรู้สึกมีตัวตนของตัวเองลง

บ้าจริง ยายตัวร้ายทำแบบนี้บ่อยๆ สักวันหนึ่งข้าคงจะต้องขาฉีกเพราะเหยียบเรือสองแคมเป็นแน่ พูดจาเหลวไหลนัก…

ระหว่างทาง เขาได้ให้ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่เวรไปตามขันทีน้อยคนเมื่อวานมา

ท่าทีของขันทีน้อยเปลี่ยนไปอย่างมาก หลังจากถวายความเคารพฮว๋ายชิ่งและหลินอันแล้ว เขาก็หันมาคารวะสวี่ชีอัน “ใต้เท้าสวี่ เมื่อวานข้าน้อยได้ล่วงเกิน ใต้เท้าโปรดอย่าได้ถือสา เจตนาดีของใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยจะจดจำไว้ในใจ”

สวี่ชีอันตกตะลึง ในใจคิดว่า ‘ข้ามีเจตนาดีที่ไหนกัน เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า’

แต่เขาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ไม่กระโตกกระตาก เพียงส่งเสียง “อืม”

คนทั้งขบวนเดินไปที่ตำหนักชิงฟง องค์หญิงทั้งสองพระองค์ทรงพระดำเนินอยู่ด้านหน้าสุด ชุดสีขาวและสีแดงคู่กัน ต่างทรงพระสิริโฉมอย่างยิ่ง พระสิริโฉมของทั้งสองพระองค์ไม่ใช่เพียงแค่รูปโฉมและบุคลิกลักษณะเท่านั้น แต่รูปร่างก็ยังอยู่บนพื้นฐานที่หญิงงามพึงมี

พระโสณีของหลินอันไม่ใหญ่เท่าฮว๋ายชิ่ง…

พระเพลาก็ไม่เรียวยาวเท่าฮว๋ายชิ่ง และฮว๋ายชิ่งยังสูงกว่าหลินอันครึ่งพระเศียร…

เอ๊ะ ยายตัวร้าย ทำไมพระองค์สู้พระเชษฐภคินีไม่ได้สักอย่างเลย ใช้ไม่ได้เลย

สมกับที่ฮว๋ายชิ่งเป็นเทพธิดาผู้งดงามและเย็นชาในใจข้า ทำให้คนอยากพิชิต และอยากทำให้พระองค์ทรงกันแสง…

นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชีอันได้ชื่นชมพี่น้องสองสาวที่ทรงพระสิริโฉมอย่างเงียบๆ ชื่นชมไปมา ก็พบว่าหากพูดถึงความอวบอิ่มของพระโสณี ดูเหมือนว่าองค์หญิงฮว๋ายชิ่งจะอวบอิ่มกว่า

แต่ยามพระดำเนิน พระกฤษฎีพลิ้วไหว ชายกระโปรงแกว่งไปมา หลินอันกลับทำได้เกินจริงกว่า นี่แสดงให้เห็นว่ายายตัวร้ายบิดพระโสณีได้เก่งกว่าฮว๋ายชิ่ง

ฮว๋ายชิ่งกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ภายใต้ชุดลำลองตัวหลวม น่าจะมีพระกฤษฎีที่คอด และกล้ามท้องที่เซ็กซี่ แต่พระกฤษฎีที่บอบบางของยายตัวร้ายนั้นพลิ้วไหวไปมา ราวกับไม่มีกระดูก

พระองค์เป็นผู้หญิงที่งามจากภายใน ไม่ได้พยายามทำท่าทางยั่วยวน แต่บางครั้งกิริยาท่าทางที่ไม่ได้ระมัดระวังตัวของพระองค์ ความชดช้อยของร่างกายบางส่วน กลับดึงดูดใจคนได้มากกว่ากว่าผู้หญิงที่เชี่ยวชาญในการยั่วยวนหลายเท่านัก

ตัวอย่างเช่น ดวงพระเนตรกลมโตคู่งามที่ฉายประกายแห่งรัก เวลาทอดพระเนตรคนอื่นมักคลุมเครือยากจะคาดเดา อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือพระกฤษฎีที่บอบบางราวกับไม่มีกระดูกของพระองค์ พระโสณีที่พลิ้วไหวไปมา

เมื่อสวี่ชีอันเห็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าพระองค์ทรงตรงกับภาพลักษณ์ของราชินีน้อยแห่งไนต์คลับอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่การตัดสินตามความคิดเห็นส่วนตัว แต่เป็นการตัดสินจากประสบการณ์ตรง จากประสบการณ์โชกโชนที่สะสมมาเป็นเวลานาน

ในไม่ช้า คนทั้งขบวนก็มาถึงตำหนักชิงฟง

ตำหนักชิงฟงได้ถูกทหารรักษาพระองค์ในวังปิดล้อมไว้แล้ว ส่วนนางกำนัลและขันทีก็ถูกกักตัวไว้ในบริเวณลานตำหนัก

เพียงพระพักตร์ขององค์หญิงหลินอันและฮว๋ายชิ่งทั้งสองพระองค์ใช้ไม่ได้ผล สวี่ชีอันต้องแสดงป้ายทองคำ และแจ้งฐานะของตัวเอง ทหารรักษาพระองค์จึงปล่อยให้ผ่านไป โดยนำพวกเขาเข้าไปด้วยความนอบน้อม

ตำหนักชิงฟงนั้น ความจริงแล้วเป็นพระราชอุทยานแบบสองส่วน ลานด้านหน้าเป็นที่อยู่ของนางกำนัลขันทีระดับต่ำ ลานด้านหลังเป็นที่อาศัยของคนสนิทพระสนมฝู

ตำหนักหลักเป็นอาคารสูงสองชั้นที่มีชายคาโค้งขึ้น กว้างใหญ่และโอ่อ่ามาก

บนชั้นสองของหอสังเกตการณ์ ราวกั้นหักไปท่อนหนึ่ง คิดว่าพระสนมฝูจะต้องตกลงไปจากตรงนี้จนสิ้นพระชนม์

สวี่ชีอันวัดความสูงด้วยสายตา น่าจะประมาณหกถึงเจ็ดเมตร หากตกลงมาจากความสูงระดับนี้ คงต้องดูว่ายมบาลจะยอมรับตัวเจ้าไว้หรือไม่

สำหรับพระสนมฝูที่พระเวณิกระแทกพื้น สามารถอธิบายได้ว่ายมบาลชื่นชมพระสิริโฉมของพระองค์ จึงเรียกพระองค์ลงไปอยู่เป็นเพื่อน ใครก็ช่วยไม่ได้

ตำหนักหลักก็ถูกปิดเช่นกัน มีทหารรักษาพระองค์สี่คนเฝ้าอยู่ที่ประตูเพื่อรักษาสถานที่เกิดเหตุ

“เวลานั้นพระสนมฝูทรงสิ้นพระชนม์ตรงไหน” สวี่ชีอันถามหัวหน้าทหารรักษาพระองค์

หัวหน้าชี้ไปยังจุดที่หลินอันทรงยืนอยู่ แล้วกล่าวว่า “พระสนมฝูทรงตกลงมาที่ตำแหน่งนั้น”

ยายตัวร้ายทรงเหมือนกระต่ายว่องไวที่ตกใจ กระโดด ‘ดึ๋ง’ ออกไปทันที

สวี่ชีอันยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่พระศพของพระสนมฝูตกลงมา แหงนหน้าขึ้นมองไปบนอาคาร เพ่งมองแล้วพูดว่า “ไม่มีใครเคยเข้าไปในอาคาร?”

“คนของตุลาการสามฝ่ายเคยเข้าไป”

“ได้เอาอะไรออกไป หรือทำลายอะไรหรือไม่?”

“ไม่ ข้าน้อยคอยดูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ราวกั้นที่หักยังถูกเก็บรักษาไว้ในห้องเก็บของ ไม่ได้ถูกคนของตุลาการสามฝ่ายนำออกไปด้วย”

มีคนคอยสอดส่องอยู่ข้างๆ…พยานวัตถุในที่เกิดเหตุไม่อนุญาตให้นำออกไป…สมกับที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเป็นสุดยอดแห่งนักวางแผน ทรงสกัดกั้นความเป็นไปได้ที่ฝ่ายองค์รัชทายาทจะช่วยองค์รัชทายาทในการ ‘จัดการปัญหาหลังเกิดเหตุ’

สวี่ชีอันกล่าวว่า “เปิดประตู ข้าจะขึ้นไป”

หลังจากเข้าไปในอาคารแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง

สายตาของสวี่ชีอันและองค์หญิงฮว๋ายชิ่งแหลมคม กวาดตามองสถานที่เกิดเหตุทุกซอกทุกมุม ยายตัวร้ายเหลือบมองทั้งสองคน แล้วก็แสร้งทำท่าทาง ‘ค้นหาอย่างจริงจัง’

สิ่งแรกที่พวกเขาสังเกตเห็นก็คือ เก้าอี้ทรงกลมที่พลิกคว่ำอยู่ข้างโต๊ะ ถ้วยชาที่เย็นชืดมาเป็นเวลานานบนโต๊ะ เตียงที่ยุ่งเหยิง ม่านเตียงที่ถูกฉีกขาดมุมหนึ่ง ภาพตัวอักษรที่ตกลงมาจากผนังด้านตะวันออก…

สวี่ชีอันย่นจมูก สูดดมไปรอบ ๆ

“เจ้ากำลังดมอะไร” ยายตัวร้ายเสแสร้งต่อไปไม่ได้แล้ว

“อย่าเสียงดัง กระหม่อมได้กลิ่นดีเอ็นเอ”

“ดีอะไรเอ” ยายตัวร้ายมึนงง

สวี่ชีอันไม่ได้สนใจ อันที่จริงเขาแค่ดมกลิ่นว่ามีกลิ่นบางอย่างหลงเหลืออยู่ในอากาศหรือไม่ ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นดีเอ็นเอ เพราะผ่านมาหลายวันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่กลิ่นนั้นจะยังคงอยู่

แต่การจำแนกแยกแยะที่ควรทำก็ยังคงต้องทำ

“ดีเอ็นเอคืออะไร” ฮว๋ายชิ่งทรงตรัสถามเอง

มาจากสัญชาตญาณความอยากรู้ของนักปราชญ์หญิง

คือลูกหลานของเราอย่างไรล่ะ…สวี่ชีอันชี้ไปที่เตียงในห้องนอน แล้วถามหัวหน้าว่า “เตียงยุ่งเหยิงขนาดนี้เลยหรือ”

“ถูกคนของตุลาการสามฝ่ายรื้อค้นมาก่อน แต่ว่าตอนที่พวกเขามาครั้งแรก เตียงก็ยุ่งเหยิงอยู่แล้ว” หัวหน้าตอบ

น่าเสียดายที่ไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอได้ มิเช่นนั้นก็จะสามารถคลี่คลายคดีได้ทันที…ถึงอย่างไรเทคโนโลยีในชาติก่อนก็ย่อมแม่นยำกว่า…’ เขาพึมพำ ขณะเดียวกันก็มาถึงหอสังเกตการณ์

หลังจากตรวจสอบรอยหักของราวกั้น สวี่ชีอันก็นั่งขัดสมาธิในหอสังเกตการณ์ หลับตา พลังจิตอันแรงกล้าทำให้ความสามารถในการอนุมานของเขาของเขาทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากการป้อนกลับของรายละเอียดในสถานที่เกิดเหตุปัจจุบัน เขาวาดภาพความเคลื่อนไหวขึ้นในสมอง

องค์รัชทายาทเดินขึ้นอาคารมาด้วยความเมามาย พระสนมฝูทรงรินชาร้อนอยู่ที่โต๊ะเพื่อช่วยให้พระองค์สร่างเมา แต่องค์รัชทายาทไม่ได้แตะถ้วยชา กลับแตะพระหัตถ์ของพระสนมฝู หรือตำแหน่งอื่นๆ ทำให้พระสนมฝูตกใจพระพักตร์ถอดสี กระทั่งชนเก้าอี้ล้มคว่ำ

จากนั้นองค์รัชทายาทก็ทรงใช้กำลัง ลากพระสนมฝูไปที่เตียง ขณะที่เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เตียงก็ยุ่งเหยิง พร้อมกับม่านเตียงมุมหนึ่งที่ถูกฉีกขาด พระสนมฝูไม่รู้ว่าตนจะดิ้นหลุดจากการควบคุมขององค์รัชทายาทอย่างไร จึงวิ่งไปร้องขอความช่วยเหลือที่หอสังเกตการณ์ ระหว่างทางก็ชนภาพตัวอักษรที่แขวนอยู่ตกลงมา…

ทันทีที่องค์รัชทายาททรงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีก็ทรงพิโรธอย่างยิ่ง จึงทรงผลักพระสนมฝูตกลงมาจากหอสังเกตการณ์ จากนั้นพระองค์ก็ออกไปทำเป็นฟุบหลับอยู่ด้านนอกห้อง และทรงแสร้งทำเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรเลย

สวี่ชีอันลืมตา ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ฮว๋ายชิ่งและหลินอันที่เฝ้าดูเขาอยู่ตลอดเวลา รีบตรัสทันทีว่า “พบอะไรบ้าง”

“ความจริงคดีก็ไม่ยาก เพียงแต่มีบางจุดที่กระหม่อมต้องพิสูจน์ให้แน่ใจเสียก่อน” สวี่ชีอันกล่าว

…………………………………………