“นายท่านทั้งสอง นายท่านทั้งสอง อย่าทำเช่นนั้นขอรับ”
สายตาพลันเหลือบเห็นชายหนุ่มทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันนัวเนีย หลินขุยตกใจจนต้องรีบเข้าไปสงบศึก
หลงเทียนอวี้เอี้ยวตัวหลบไปทางด้านขวาเพื่อมิให้ลู่หนิงแตะต้องตัวเขาได้
ทว่าลู่หนิงกลับคำรามด้วยแรงอารมณ์ เขาประกาศกร้าวว่าจะถอดเสื้อผ้าของหลงเทียนอวี้ให้ได้
ขณะนี้ห้องอ่านหนังสืออันแสนกว้างขวางถูกชายหนุ่มทั้งสองวิ่งหนีไล่ต้อนกันพัลวัน
“เจ้าเหรินเยาโรคจิต ! รีบหยุดมือเดี๋ยวนี้ ! ตำหนักฉินหวู่ของข้าหาใช่บ้านของเจ้า”
หลงเทียนอวี้กล่าวเสียงแข็งกระด้างด้วยความโกรธเกรี้ยว เห็นได้ชัดว่าลู่หนิงเพิ่งจะเข้ามาโจมตีเขาด้วยแขนข้างหนึ่ง
“ข้าเป็นหมอ หากเจ้าไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ เช่นนั้นก็สมควรถูกลงโทษ หากวันนี้ข้าไม่หักกระดูกเจ้าแล้วล่ะก็ อย่าเรียกข้าว่าลู่หนิง !”
ข้าวของที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น
ความโกรธเกรี้ยวของทั้งคู่ราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกโชน เสียงขู่คำรามดังฮึ่มฮั่ม ใบหน้าของหลินขุยเริ่มบึ้งตึง
แต่เจ้านายทั้งสองกลับยังไม่ยอมหยุดมือ
ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง หลินขุยถอนตัวออกมา ดูเหมือนเขาคงต้องปรึกษากับเหล่าเติ้งดูหน่อยแล้วว่าจะจัดการซ่อมแซมสิ่งของภายในห้องนี้หลังจากทั้งคู่ทำลายเสร็จแล้วเช่นไร
ขณะที่ทั้งสองกำลังต่อสู้กันพัลวัน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าด้านนอกห้องอ่านหนังสือปรากฏร่างของหญิงสาวหน้าตางดงามด้านหน้าประตู
หลินเมิ้งหยาสั่งให้ป๋ายจีต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายให้หลงเทียนอวี้ จากนั้นนางคิดจะมาสอบถามการตัดสินใจของเขา
ทว่าเพียงเดินผ่านประตูเข้ามา นางก็ได้เห็นเกี้ยวเล็กวางอยู่หน้าห้องอ่านหนังสือ
ชำเลืองมองอยู่หลายครั้ง แม้จะไม่ใช่เกี้ยวราคาแพง แต่กลับมีลวดลายงดงาม
ดูเหมือนจะเป็นเกี้ยวของผู้หญิงไม่ผิดแน่
ความสงสัยพลันปรากฏขึ้นในใจ หรือจะมีแขกพิเศษมา?
ตอนที่หลินเมิ้งหยาคิดจะเดินเข้าไป เสียงจากภายในพลันลอดออกมา นางเหลือบมอง ก่อนจะได้เห็นเงาของคนคู่หนึ่งในห้องอ่านหนังสือ
แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเงาที่ปรากฏ แต่นอกจากหลงเทียนอวี้แล้ว จะยังมีใครกล้าก่อความวุ่นวายในห้องอ่านหนังสือแห่งนี้อีกหรือ
แม้จะไม่รู้ว่าหญิงสาวฝ่ายตรงข้ามคือใคร แต่ดูเหมือนนางจะเป็นหญิงสาวร้อนแรง เหตุเพราะนางเป็นฝ่ายจู่โจมเข้าหาหลงเทียนอวี้ก่อน !
อีกทั้ง…ยังช่วยหลงเทียนอวี้ถอดเสื้อผ้า
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนกำลังร้อนผ่าว ทั้งตกใจ โกรธเกรี้ยว ซ้ำยังผิดหวัง
หยาดน้ำตาเกือบจะรินไหลออกมา ทว่าหลินเมิ้งหยาพยายามกล้ำกลืนฝืนทน
“ไป ! พวกเรากลับ ! ต่อจากนี้ไปห้ามมิให้ใครมาเหยียบตำหนักฉินหวู่เป็นอันขาด”
หลงเทียนอวี้ตัวดี ! หลินเมิ้งหยาสบถด่าเขาในใจ นางอุตส่าห์วางแผนแทนเขา ช่วยคิดทุกอย่างแทนเขา ต้มน้ำแกงบำรุงร่างกายให้เขาดื่ม แต่ใครจะรู้….ใครจะรู้ว่าเขาจะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้หญิงในห้องอ่านหนังสือ !
ทั้งที่มักแสดงท่าทางเย็นชา แต่ใครจะคิดเล่าว่าเขาชอบผู้หญิงร้อนแรงเช่นนั้น !
“สั่งโรงครัวนำองคชาติวัว องคชาติเสือ องคชาติแพะมาตุ๋นเป็นน้ำแกงให้ท่านอ๋องกินทุกวัน ใส่หัวหอมใส่กระเทียมเข้าไปเยอะๆ ท่านอ๋องทำงานหนัก พวกเราจะต้องบำรุงร่างกายพระองค์ให้ดี !”
หลินเมิ้งหยาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่นด่าชายหลายใจคนนี้ในใจ
นอกจากป๋ายจีที่ติดตามนางเข้าไปในตำหนักฉินหวู่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ป๋ายจียังคงก้มหน้าลง ใบหน้าแดงระเรื่อ
เหตุใดพระชายาจึงมีท่าทางเหมือนอยากจับใครกินอย่างนั้น?
เมื่อเทียบกับหลินเมิ้งหยาที่กำลังหึงหวง สถานการณ์ทางหลงเทียนอวี้สงบลงมาก
ผลลัพธ์หลังจากต่อสู้กับลู่หนิงพักใหญ่คือการได้รับบาดเจ็บทั้งคู่
บาดแผลที่เพิ่งจะดีขึ้นของเขาฉีกขาดอีกครั้ง สุดท้ายลู่หนิงอาศัยจังหวะที่เขากำลังอ่อนแอผลักเขาล้มลงบนเก้าอี้แล้วทำการรักษา
“ในเมื่อรู้ตัวว่าได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ควรฟังหมอถึงจะถูก มิเช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสียสิ จะได้ไม่เปลืองยา”
สภาพของลู่หนิงเองก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน บาดแผลของหลงเทียนอวี้ฉีกขาด ส่วนใบหน้าของเขาก็บวมเป่ง
เส้นผมที่ลั่วปิงอุตส่าห์ตกแต่งให้เขาเมื่อตอนเช้ามืดยุ่งเหยิงเหมือนคนเสียสติ สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด เครื่องประดับมากมายที่เขาใส่ล้วนเป็นของชิ้นโปรดของลั่วปิงทั้งสิ้น
หลังจากรักษาเจ้าบ้านี่เสร็จ หากลั่วปิงไม่กินเขานั่นสิแปลก
ไอ้ตัวซวย ทุกอย่างเป็นเพราะผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้ หลังจากพันผ้าพันแผลเสร็จแล้ว ฝ่ามือพลันตบลงบนบ่าของหลงเทียนอวี้
“ซี๊ด…”
หลงเทียนอวี้สูดลมหายใจเย็นยะเยือกลงคอ สีหน้าขาวซีด แต่สุดท้ายเขาก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ด่าผู้หญิง
“คุณชายลู่ได้โปรดเบามือหน่อยเถิดขอรับ ท่านอ๋องของข้าได้รับบาดเจ็บอยู่นะขอรับ”
หลินขุยแสดงสีหน้าเจ็บปวด ลู่หนิงเหลือบมองเขาก่อนจะเอ่ย
“ยาชนิดนี้จำเป็นต้องใช้กำลังภายในดูดซับเข้าไป หากออกแรงไม่มากพอ เกรงว่าเจ้านายของเจ้าจะพิการเอาได้ ทั้งที่รู้ว่าบนดาบอาบยาพิษ แต่กลับพุ่งตัวเข้าไป เวลาเพียงไม่กี่ปีที่ไม่ได้เจอกัน สมองของเจ้าถูกหมากินหมดแล้วหรือ?”
เส้นเลือดบริเวณลำคอของหลงเทียนอวี้ปูดโปนอย่างเห็นได้ชัด ความเจ็บปวดจากบาดแผลส่งออกมาท้าทายความอดทนของเขา
คิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดถากถางของลู่หนิงจะทำให้เขามิอาจทนได้อีกต่อไป
“แม้ข้าจะไม่มีสมอง แต่ข้าก็ไม่เคยทรยศหักหลังพวกพ้อง เจ้ามันคนทรยศ เมื่อเวลาครบห้าปี ข้าจะเด็ดหัวเจ้า !”
ประกายในดวงตาของลู่หนิงมืดลงเล็กน้อย
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นปกติ
“คนทั้งโลกล้วนรู้ว่าข้าหาใช่คนขายความลับของพี่สอง มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่เชื่อ หากตอนนั้นข้าเป็นคนทำจริง เช่นนั้นลั่วปิงกับหลินหลางจะร้องขอชีวิตแทนข้าหรือ ? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าขอเวลาห้าปี หากภายในห้าปีนี้ข้ายังมิอาจหาความจริงได้ ข้ายอมตายต่อหน้าหลุมศพของพี่สองโดยที่เจ้าไม่ต้องลงมือ”
น้ำเสียงของลู่หนิงเจือไว้ซึ่งการเยาะหยัน
หลังจากหลงเทียนอวี้เหลือบมองเขาครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
ตอนนั้นเขา ลู่หนิง หนานกงจิ่นและเย่ต่างเป็นมิตรสหายที่เติบโตและถูกฝึกมาจากท่านอาจารย์คนเดียวกัน แม้อุปนิสัยใจคอจะแตกต่าง แต่ความสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง เมื่อสามปีก่อนเพราะลู่หนิงทรยศหักหลังจึงทำให้หนานกงจิ่นต้องตาย แม้เขาจะโชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ แต่ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขาและลู่หนิงต้องพังทลายลง
หลักฐานทั้งหมดล้วนบ่งชี้ว่าลู่หนิงเป็นคนทรยศ
แต่เขากลับไม่ยอมรับ ซ้ำยังขอให้ลั่วปิงและหลินหลางร้องขอชีวิตให้แก่เขา
เวลาห้าปีอะไรกัน มันก็แค่ข้ออ้างในการเอาตัวรอดเท่านั้น
หากมิใช่เพราะวันนี้เขาแต่งกายเป็นหญิงมาที่นี่และใช้เกี้ยวของลั่วปิงแล้วล่ะก็ ต่อให้เขาตาย เขาก็ไม่มีวันยินยอมให้คนผู้นี้ได้เหยียบย่ำเข้ามาในจวน
“เจ้าอย่าได้เสแสร้งอีกต่อไปเลย ข้าจะเป็นผู้ล้างแค้นให้จิ่นเอง หากเจ้ายังมีความเป็นคน เช่นนั้นก็จงสำนึกผิดเสียเถิด เวลายังเหลืออีกสองปี เมื่อวันนั้นมาถึงข้าจะเด็ดหัวเจ้าเองกับมือ”
หลงเทียนอวี้มิหันหน้ากลับไป ซ้ำยังไม่คิดให้อภัยลู่หนิง
ลู่หนิงถอนหายใจยาว เขาจะยอมให้อภัยตนเองง่ายๆ ได้เช่นไร พี่สองต้องมาตายแทนเขา การที่พี่ใหญ่ไม่อภัยให้ย่อมสมเหตุสมผล
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามหาเบาะแส แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนมันจะไร้ประโยชน์
“เชื่อหรือไม่นั่นก็แล้วแต่เจ้า ข้าได้ยินมาว่าเจ้าแต่งงานกับลูกสาวของหลินมู่จือ ลั่วปิงบอกข้าว่าเรื่องราวในคราวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลหลิน หากเจ้าอยากรู้ความจริง เช่นนั้นเจ้าไม่ลองเอ่ยถามชายาของเจ้าดูเล่า”
ลู่หนิงพูดจบ เขาหมุนก็ตัวกลับแล้วเดินจากไป
หลงเทียนอวี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง
ตอนนั้นเขาเพียงแค่สงสัย ดังนั้นจึงยินยอมแต่งงานกับลูกสาวของหลินมู่จือ เหตุผลหนึ่งก็เพราะต้องการสอดแนมเรื่องของพวกเขา
หากเรื่องในตอนนั้นเกี่ยวข้องกับสกุลหลิน เช่นนั้นเขา…
มือหนากำแน่น สีหน้าลำบากใจ เขาไม่อยากทำให้หลินเมิ้งหยาต้องเสียใจ
หวังว่าหลินมู่จือจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
เดินกลับมายังตำหนักของตนเองด้วยความโกรธเกรี้ยว หลินเมิ้งหยาไล่ทุกคนออกจากห้องของตนเอง
เวลาเพียงไม่นาน ทั้งหมึก กระดาษ รวมถึงเก้าอี้ของหลงเทียนอวี้ถูกโยนออกมาด้านนอกจนหมดสิ้น
หากมิใช่เพราะโต๊ะตัวนั้นหนักเกินไปแล้วล่ะก็ นางคงจะโยนออกไปเช่นเดียวกัน
หลังจากทบทวนเรื่องเมื่อครู่ ในที่สุดหยดน้ำตาก็ไหลรินลงมา
ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หลินเมิ้งหยาพยายามบังคับตัวเองมิให้ร้องไห้
นางคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเทียนอวี้จะกลายเป็นคนเช่นนั้น
เพราะเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนความคิด ซ้ำยังบอกว่านางโวยวายไร้สาระ อีกทั้งยังไปตามหาหมอเทวดาที่กลุ่มสามสหาย ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อจะรับอนุภรรยาอย่างนั้นหรือ ?
มีหญิงสาวแสนดีอยู่ข้างกายแต่กลับไม่รู้จักพอ เขาถึงกับพาผู้หญิงเข้ามาเริงรักฉ่ำสวาทถึงในจวนอย่างไม่อายฟ้าดิน
หลินเมิ้งหยากำหมัดแน่น ก่อนจะฟาดลงบนโต๊ะ สบถบริภาษก่นด่าหลงเทียนอวี้ในใจ
หัวใจเจ็บปวดเหลือเกิน ตอนนี้นางเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของคนหัวใจแหลกสลายเพราะความรัก
หัวใจเสมือนถูกบีบเค้น เจ็บปวด เจ็บปวดจนแทบจะกรีดร้องออกมา
จู่ๆ เรดาร์ที่เคยเงียบสงบพลันส่งเสียงร้องเตือนขึ้นมา หลินเมิ้งหยารู้สึกปวดศีรษะเป็นอย่างมาก
“อารมณ์ของคุณแปรปรวนมากเกินไป ขอแนะนำให้คุณปรับสมดุลของลมหายใจเพื่อป้องกันมิให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ”
เสียงเย็นชาของเครื่องจักรร้องเตือนในสมองหลินเมิ้งหยา
หลังจากตื่นตกใจและนิ่งไปอยู่สักพัก หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ว่าเรดาร์สามารถวิเคราะห์ร่างกายของนางได้
หลับตาลง รวบรวมสมาธิ พยายามนึกภาพเรดาร์ในสมองให้กลายเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์
“ติ๊ง” เสียงดังขึ้น ราวกับว่าหลินเมิ้งหยากำลังเปิดเครื่อง จู่ๆ ดวงตาเปล่งประกาย ราวกับได้เปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เรียบร้อยแล้ว
“สวัสดี ยินดีต้อนรับเข้าสู่ระบบค้นหาอัตโนมัติ ได้โปรดใส่รหัสผ่านเพื่อทำการปลดล็อคเครื่องมือ”
โอ้ มาย ก็อด หลินเมิ้งหยาเกือบส่งเสียงอุทานออกมา นี่มันอะไรกันเนี่ย ? มีใครสามารถบอกนางได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น