เล่มที่ 10 บทที่ 282 สาวงามเข้าพบ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เขาจะคิด หากเขาหาตัวแทนข้าได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องเข้าวังหลวงมิใช่หรือ?”

หลินเมิ้งหยามิได้โกรธ แต่กลับเหยียดยิ้มกว้างราวกับว่ามิได้ใส่ใจแต่อย่างใด

“ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว พวกเรากลับกันเถิด หยุนจู๋ ข้าคงต้องฝากเจ้าดูแลที่นี่ หากต้องการให้ข้ามา เช่นนั้นจงสั่งให้คนงานคนนั้นไปตามข้าเถิด เจ้าทำงานได้ไม่เลว คนงานคนนั้นมีไหวพริบและฉลาดเฉลียวยิ่งนัก”

หยุนจู๋ก้มหน้าลงโค้งคำนับ นางเป็นผู้คัดสรรคนงานใหม่คนนั้นเองกับมือ

แม้พ่อของป๋ายจีจะมีความฉลาดเฉลียว แต่เขาไม่รู้เรื่องของเจียงหู หากประสบพบเจอเข้ากับคนพาล เช่นนั้นเขาจะเดือดร้อน

คนงานใหม่คนนั้นมีวิทยายุทธค่อนข้างสูง ซ้ำยังเป็นคนฉลาดเฉลียว เขาจะต้องมีประโยชน์มากในอนาคต

เดินออกจากสวนด้านหลัง หลินเมิ้งหยานั่งขดตัวภายในรถม้า หัวใจว้าวุ่น

ตกลงหลงเทียนอวี้คิดอะไรอยู่กันแน่? หรือเขาไม่เชื่อใจทักษะการรักษาของนางกัน?

หรือเรื่องที่จะส่งนางเข้าวังเป็นเพียงมุกตลกแต่เพียงเท่านั้น คนที่จะเข้าไปดูแลพระอาการประชวรของฮ่องเต้จริงๆ จะต้องเป็นหมอเทวดา ?

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด หัวใจของหลินเมิ้งหยาเผยร่องรอยความรู้สึกเหมือนถูกลดทอนความเชื่อใจ

ช่างเถิด หลงเทียนอวี้คงทำไปเพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาด

ยิ่งไปกว่านั้น แม้นางจะเชี่ยวชาญด้านยาพิษ แต่สำหรับโรคอื่นๆ ยังต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอาการ

ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังร้านสามสหายเพื่อไปรับสาวใช้ทั้งสี่ ในที่สุดทุกคนก็เดินทางกลับมาถึงยังสวนด้านหลังจวนอวี้

ราวกับเป็นหัวขโมย พวกเขารีบวิ่งกลับไปยังตำหนักหลิวซินและเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวอวี้ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเล็ก หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาจะต้องส่งเสี่ยวจินมาหาพวกนางอย่างแน่นอน

ทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โรงครัวก็ส่งสำรับอาหารมื้อเย็นมาให้ทันที

ข้าวโพดหวานผัดไก่ ขิงต้มน้ำแกงอุ่นๆ และผักสดอีกสองสามอย่าง

สาวใช้ทั้งสี่ที่มิรู้เรื่องรู้ราวใดๆ ล้วนกินขนมและอาหารว่างที่ท่านป้าป๋ายทำจนอิ่มหมดแล้ว เมื่อเห็นอาหารมากมายตรงหน้า พวกนางจึงแสดงสีหน้าท่าทางอยากอาเจียน

“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องคอยรับใช้อยู่ที่นี่หรอก ออกไปพักผ่อนที่ห้องเถิด หากมีเรื่องอะไร ข้าจะเรียกพวกเจ้าเอง”

สาวใช้ทั้งสี่รีบขอตัวออกไปด้วยความดีใจ โชคดีที่ชิงหูยังอยู่รับประทานอาหารกับนางที่นี่

หลินเมิ้งหยากินเข้าไปเพียงเล็กน้อยเพราะยังมีเรื่องให้คิดอีกมาก เพียงกินเข้าไปไม่กี่คำ นางก็วางตะเกียบลง

“เป็นอะไรไป? ยังกังวลเรื่องหลงเทียนอวี้หรือ?”

ชิงหูรู้ใจหลินเมิ้งหยาที่สุด นอกจากหลงเทียนอวี้แล้ว ยังจะมีใครทำให้เจ้าเด็กน้อยกินข้าวไม่ลงอีก?

“ไม่หรอก ข้าเพียงแค่ลดน้ำหนักน่ะ เจ้ากินเยอะๆ หน่อย ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน”

ดันถ้วยข้าวออกห่างจากตัว หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นและคิดจะกลับเข้าไปในห้องของตนเอง

จู่ๆ ประตูบานใหญ่ก็ถูกผลักออกจนหลินเมิ้งหยาและชิงหูตื่นตระหนก

ร่างสูงโปร่งปรากฏตรงหน้าของหลินเมิ้งหยา

ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวเพราะความโกรธ ในดวงตาราวกับมีเปลวไฟลุกโชน

ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเหมือนคนถูกขัดใจ

“เสี่ยวอวี้เป็นอะไรไป? ใครรังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เด็กหนุ่มระเบิดอารมณ์ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน คาดว่าจะต้องมีคนทำเรื่องไม่ดีกับเขาอย่างแน่นอน เขาจึงโกรธเกรี้ยวเช่นนี้

“พี่สาว ข้าไม่ไปแล้ว ! ช่างหัวเมืองเลี่ยหยุน ! ช่างหัวราชวงศ์ ! ข้าไม่ไปเด็ดขาด ข้าไม่เอาหรอก !”

เสียงก่นด่าดังออกจากปากของหลินจงอวี้

หลินเมิ้งหยาและชิงหูสบตากัน ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง

ตกลงหวานเหยียนเลี่ยเป็นคนเช่นไรกันแน่ ทั้งที่เขาอุตส่าห์มาขอร้องนางเพื่อให้ปล่อยเสี่ยวอวี้ไป แต่ตอนนี้กลับทำเสียเรื่องเองอย่างนั้นหรือ?

“เกิดอะไรขึ้น ? บอกข้ามาเถิด หวานเหยียนเลี่ยรังแกเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”

หลินเมิ้งหยาเอื้อมมือไปจับเสี่ยวอวี้ให้นั่งลงข้างตนเอง

ใบหน้าของเขายังคงแสดงความโกรธเกรี้ยว แก้มป่องขึ้นมาเล็กน้อยน่ารักน่าชัง

“หวานเหยียนเลี่ยอยากให้ข้าไปสู่ขอองค์หญิงแห่งต้าจิ้น เขาบอกว่าหากมีองค์หญิงแห่งต้าจิ้นกลับไปด้วย เช่นนั้นตำแหน่งของข้าจะมั่นคงยิ่งขึ้น แต่ข้าหาได้ชอบพอพวกองค์หญิงเหล่านั้น ข้าไม่ต้องการ”

หลังจากหลินเมิ้งหยาได้ฟัง นางถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก

ถึงอย่างไรเสี่ยวอวี้ยังคงมีนิสัยเหมือนเด็ก เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงจะยังเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป

หากอ้างอิงจากยุคปัจจุบัน เขายังไม่ถึงวัยมีความรัก เช่นนั้นจะให้เขาแต่งงานได้อย่างไร?

ดูเหมือนหวานเหยียนเลี่ยจะใจร้อนเกินไปแล้ว

“เจ้าจงฟังคำพูดพี่สาวดูก่อนเถิด เรื่องการแต่งงานควรจะวางแผนให้ดี พี่สาวเองก็อยากให้เจ้าเจอคู่ครองที่เหมาะสมเพื่อมีชีวิตที่ผาสุก เอาแบบนี้แล้วกัน เจ้าจงตามหวานเหยียนเลี่ยมาหาข้าเถิด ข้าจะโน้มน้าวเขาด้วยตัวเอง เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”

การเชื่อมความสัมพันธ์กับต้าจิ้นอาจเป็นไพ่ตายของเสี่ยวอวี้

เหตุเพราะซินหลียังคงจับตามองเขาอยู่ ชายคนนั้นจะต้องไม่ยอมรามือง่ายๆ อย่างแน่นอน บางทีเขาอาจจะกำลังวางแผนร้ายอยู่

การที่เสี่ยวอวี้กลับไปที่เมืองเลี่ยหยุนก็มิต่างอันใดจากการเข้าถ้ำเสือ

หลินเมิ้งหยาเข้าใจว่าหวานเหยียนเลี่ยไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่แต่ง”

หลินจงอวี้ยังคงตกอยู่ในอาการเดือดดาล หลินเมิ้งหยาทำเพียงหัวเราะแล้วลูบศีรษะของเขา

อารมณ์ของเด็กคนนี้รุนแรงมากขึ้นทุกที เขาในเวลานี้ดูเหมือนเด็กหนุ่มที่นางเพิ่งจะเก็บมาเลี้ยงไม่มีผิด

“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าอย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเลย พี่สาวตกใจจนกลัวหมดแล้ว จริงสิ เจ้าอยู่ที่จวนทั้งวัน วันนี้มีใครมาตามหาข้าหรือไม่ ?”

หลินเมิ้งหยารีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เสี่ยวอวี้ครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า

ตอนนี้ตำหนักหลิวซินหาใช่สถานที่ซึ่งใครจะสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ ขอเพียงผอจื่อเฝ้าประตูไม่อนุญาต ต่อให้เกิดไฟไหม้ก็ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้

“ไม่มีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายกับตำหนักเราหรอกขอรับ แต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน เกี้ยวเล็กหลังหนึ่งถูกยกเข้าไปในตำหนักฉินหวู่ ข้าลอบมองดู ไม่เหมือนเกี้ยวของจวนเรา”

หนึ่งชั่วโมงก่อน ? หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด นั่นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากกลับมาจากกลุ่มสามสหายนี่นา

แต่ว่า…ใครกันนะที่สามารถสั่งให้คนยกเกี้ยวเข้าไปในตำหนักฉินหวู่ได้?

ขนาดนางที่เป็นชายายังต้องลงจากเกี้ยวที่ประตูสองเลย

“ดูท่าจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นพอสมควรเลยนี่ แต่จะต้องไม่ใช่ผู้ชายอย่างแน่นอน เจ้าเคยเห็นผู้ชายคนไหนนั่งเกี้ยวเล็กๆ ของผู้หญิงด้วยหรือ ?”

ชิงหูส่งเสียงเย็นชาราวกับกลัวว่าโลกจะไม่ถล่มทลายลงมาอย่างไรอย่างนั้น

“แน่นหรือไม่แน่นก็ช่างมันเถิด เจ้ากินข้าวของเจ้าไปให้อิ่มก็พอ”

หลินเมิ้งหยาถลึงตาโตใส่เขา ทว่าหัวใจกลับครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา ใครมาเยี่ยมเยียนในเวลานี้กันนะ ?

ภายในห้องอ่านหนังสือ แสงเทียนสว่างไสว คนทั้งสองสบตากันนิ่ง

ฝ่ายชายมีใบหน้าหล่อเหลา สายตาเย็นชาเจือโทสะ ฝ่ายหญิงงดงามเย้ายวน ทว่ากลับมีท่าทางเย็นชาเสมือนถูกแช่แข็งนานนับหมื่นปี นางมิต่างอันใดจากเจ้าหญิงหิมะเลยแม้แต่น้อย

หลงเทียนอวี้มองขึ้นๆ ลงๆ เพื่อสำรวจหญิงสาวตรงหน้า สายตาเจือความรังเกียจ

ฝ่ายหญิงเองก็หาได้ปฏิบัติกับเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน สายตาคมกริบดั่งใบมีดจับจ้องหลงเทียนอวี้เขม็ง

“เจ้ากลายเป็นตัวอะไรไปแล้วนี่ ? ไม่ได้เจอหน้ากันเพียงสามปี แต่กลับตกต่ำถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?”

เอ่ยปากถามเสียงเย็นชาอย่างไม่ไว้หน้า ยกมือขึ้นกอดอก ราวกับว่าได้เห็นถังขยะอยู่ตรงหน้า

“ข้าเปลี่ยนไปเช่นไรหาใช่กงการอันใดของเจ้าไม่ หากมิใช่เพราะเจ้า ลั่วปิงคงไม่บังคับให้ข้าแต่งกายเช่นนี้ออกมา เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ตายอีกเล่า หากเจ้าตาย พวกเราจะได้เป็นอิสระเสียที”

‘สาวงาม’ ส่งเสียงเย็นชา แต่เสียงนั้นกลับเป็นเสียงของผู้ชาย ท่าทางการนั่งอ้าขากว้างของนางมิใช่อากัปกิริยาที่หญิงสาวควรกระทำเลยแม้แต่น้อย

ราวกับทั้งสองเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาอย่างเนิ่นนาน เพียงได้เจอกันก็เริ่มสงครามน้ำลายทันที

“หาใช่กงการอะไรของเจ้าไม่ คนที่ข้าตามตัวมาคือลั่วปิง มิใช่เจ้า”

สีหน้าของหลงเทียนอวี้ไม่น่ามอง หากเป็นเวลาปกติเขาคงเหวี่ยงดาบฟันคนตรงหน้าแล้ว

“ลั่วปิงติดธุระ ดังนั้นจึงมีเพียงข้าที่มารักษาอาการของเจ้าได้ เจ้าจะรักษาหรือไม่ ?”

ใบหน้าของสาวงามเองก็ไม่มองเช่นเดียวกัน แม้ใบหน้าจะตบแต่งไว้อย่างดี แต่ถึงกระนั้นก็มิอาจปิดบังความโกรธเกรี้ยวไปได้

“ไสหัวไป ข้ายอมตาย แต่ไม่มีวันยอมให้เหรินเยา [1] เช่นเจ้ามารักษา หลินขุยส่งแขก !”

อีกฝ่ายที่ถูกเรียกว่าเหรินเยาพ่นลมหายใจเย็นชาออกมา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล

“ดี ข้าจะไปเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง หากเจ้าตาย พวกข้าจะได้เฉลิมฉลองกัน”

หลินขุยแสดงสีหน้าขมขื่น คุณชายทั้งสองไม่มีใครยอมใครเลยแม้แต่น้อย

ขิงก็รา ข่าก็แรง ไม่มีใครยอมก้มหัวให้ใคร ดูเหมือนคนที่ต้องลำบากจะกลายเป็นเขาคนนี้

ตอนนี้ทำได้เพียงรั้งสาวงามตรงหน้าเอาไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“คุณชายลู่อย่าได้ขุ่นเคืองท่านอ๋องไปเลย ก่อนลั่วปิงจะไปได้กำชับกับท่านแล้วมิใช่หรือว่าจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บของท่านอ๋อง หากแม่นางกลับมาและรู้ว่าท่านกลับไปเช่นนี้ นางจะไม่โกรธเคืองท่านอย่างนั้นหรือ ?”

เพียงได้ยินชื่อลั่วปิง ฝีเท้าของลู่หนิงพลันหยุดลง

เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแน่น สุดท้ายเลือกที่จะหมุนตัวแล้วกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะถลึงตาใส่หลงเทียนอวี้

“อย่าคิดว่าข้าสนใจความเป็นความตายของเจ้า ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ลั่วปิงโกรธ”

ส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะยื่นมือหนาออกไปเตรียมถอดเสื้อของหลงเทียนอวี้เพื่อรักษาบาดแผล

“อย่าแตะต้องตัวข้า ! ข้ารังเกียจท่าทางของเจ้าในเวลานี้ยิ่งนัก หลินขุยโยนเขาออกไปเดี๋ยวนี้”

หลงเทียนอวี้เอี้ยวตัวหลบ ส่งเสียงไร้เยื่อใย

ลู่หนิงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก ที่เขาแต่งกายเช่นนี้ก็เพราะจะได้เดินทางมารักษาอาการของหลงเทียนอวี้อย่างสะดวกโยธินมิใช่หรือ ?

เกี้ยวบ้านั่นทั้งเตี้ยทั้งแคบ เขาต้องขดตัวปวดเมื่อยขนาดไหนรู้หรือไม่

“ข้าจะไม่เสียเวลาพูดมากอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้ารักษาหรือไม่ ข้าก็จะรักษา !”

พูดจบเขาก็กระโจนเข้าไปในทันที

———————————

หมายเหตุ

[1] เหรินเยา หมายถึงกระเทย