บทที่ 294 ใต้หล้า (2)
คนของสำนักมารกำเนิดหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว คนที่เหลือพากันสลายตัว รีบเก็บกวาดข้าวของ โดยวางแผนหนีไปจากที่นี่
พวกซั่งหยางจิ่วหลี่รั้งอยู่ที่เดิม วางแผนจัดการเส้นทางต่อจากนี้ จากนั้นค่อยมุ่งหน้าไปยังทางออกภายใต้การนำของจิ่วหลี่
ตอนที่ทุกคนตัดทะลุที่ว่างผืนใหญ่ เลี้ยวตรงหัวโค้งแล้วกลับถึงลานกว้าง ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็ได้ยินเสียงร้องเข่นฆ่าของมารดังมาจากด้านหน้าอย่างเลือนราง
“ทัพมารเข่นฆ่าเข้ามาแล้ว! ทุกคนเตรียมตัว!” นางสีหน้าเปลี่ยนแปลง ยกมือขึ้น
ทุกคนเริ่มระวังตัว
“แย่แล้ว กลุ่มที่ผู้อาวุโสควบคุมยังอยู่ด้านหลัง” คนคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตกใจ
ใบหน้าของซั่งหยางจิ่วหลี่อึมครึมลง นางทำหน้าที่นำพาหัวกะทิที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลซั่งหยางฝ่าการปิดล้อม ส่วนคนส่วนใหญ่ที่อ่อนแอกว่าเล็กน้อยทำหน้าที่คุ้มครองผู้รอดชีวิตที่ช่วยออกมาจากในเมืองอยู่ด้านหลัง คอยเคลื่อนไหวด้วยกัน ถ้าหากว่าถูกทัพมารเจอ สภาพต้องเลวร้ายแน่
ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว น้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ พวกเขาได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว
“เร็วเข้าๆ!” นางตวาด
ทุกคนเร่งความเร็วพุ่งเข้าไปในอุโมงค์กว้างใหญ่ที่ใช้เข้าออกสำนักมารกำเนิด
กระนั้นไม่ว่าจะเร่งความเร็วอย่างไร สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ เสียงและการเคลื่อนไหวของทัพมารยังคงอยู่ด้านหน้า หากไม่เห็นเงาของพวกมัน
บนพื้นปรากฏศพมารกองระเนระนาดตลอดเวลา เลือดสีดำกับจุดเลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่วบริเวณ ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ มารทุกตนล้วนเหลือแค่ศพ นอกจากส่วนน้อยที่หัวหลุดจากร่างแล้ว มารส่วนใหญ่ล้วนตายอย่างเงียบกริบ ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายเริ่มกลายเป็นผงสีดำอย่างเชื่องช้า ก็ให้ความรู้สึกเหมือนยังมีชีวิตอยู่
ซั่งหยางจิ่วหลี่ค้นพบความผิดปกติเป็นคนแรก นางผ่อนฝีเท้าลง แล้วเริ่มตรวจสอบกระดูกของทัพมารชนิดต่างๆ ที่อยู่รอบๆ อย่างละเอียด
“มารหนาม นี่คือมารหนามหรือ!?” อยู่ๆ ร่างนางก็สั่นสะท้าน เห็นศพมารที่หัวหลุดจากตัวตนหนึ่ง
นี่เป็นมนุษย์ผิวดำที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมเหมือนกับเม่น พวกมันมีดวงตาคู่หนึ่งที่ใหญ่มาก แทบยึดครองใบหน้าไปมากกว่าครึ่ง ถือลูกตุ้มใหญ่อันหนึ่ง สวมเกราะมารสีดำสนิท มีแต่หนามแหลมน่ากลัวเต็มไปหมด
ทว่าในเวลานี้มารหนามซึ่งอย่างน้อยก็เป็นระดับฉลักษณ์กลับตายลงที่นี่อย่างไร้สุ้มเสียง
“มารสีชาด! ดาวมารสีชาด!?” มียอดฝีมือพบความผิดปกติที่อีกด้านหนึ่ง
ดาวมารสีชาดที่ฆ่ายากที่สุดในทัพมารตายลงที่นี่อย่างเงียบเชียบเป็นจำนวนหลายตน
ซั่งหยางจิ่วหลี่รีบเข้าไปดู แล้วสะดุ้งตกใจเช่นกัน
ด้านในหลุมที่อยู่ด้านข้างหินก้อนใหญ่ในอุโมงค์ มีศพทัพมารนับไม่ถ้วนกองระเกะระกะ กะดูมีประมาณสามสิบกว่าศพ เกราะมารสีแดงบนตัวดาวมารสีชาดสี่ตนสะดุดตาถึงขีดสุด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่! นี่มันอะไรกัน?!” จิตใจของซั่งหยางจิ่วหลี่ดั่งคลื่นซัดโหม แต่สีหน้ากลับยังคงสงบนิ่ง
“มุ่งหน้าต่อไป! ระวังตัวกันด้วย”
“ขอรับ!” ทุกคนผ่อนความเร็วลง พลางมุ่งหน้าต่อไป
เดินทางต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ตอนใกล้จะถึงปากถ้ำ ในที่สุดซั่งหยางจิ่วหลี่ก็เห็นภาพการต่อสู้ด้านหน้า
ลู่เซิ่งที่เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์สีดำ เดินผ่านทัพมารกลุ่มหนึ่งไปจากด้านหน้าอย่างราบรื่นผ่อนคลาย ทัพมารทั้งหมดหยุดนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นและลมหายใจราวกับไร้วิญญาณ
พวกเหอเซียงจื่อยืนอยู่ด้านหลัง แต่ละคนแสดงสีหน้าประหลาดใจ ตั้งแต่ลู่เซิ่งพาพวกเขาออกมาเจอทัพมาร ในระหว่างทางก็เกิดการตายที่ลี้ลับแบบนี้มาโดยตลอด
ต่อให้เป็นทัพมารที่เป็นศัตรู ทุกคนก็ยังรู้สึกเย็นเยียบขณะมองดู ไม่ทราบว่าลู่เซิ่งทำได้อย่างไร แค่เดินผ่านไปก็ฆ่ามารมากมายขนาดนี้ได้แล้ว ถ้าหากเป้าหมายเปลี่ยนเป็นพวกเขา ผลลัพธ์คงจะเหมือนกัน
ถึงแม้เหอเซียงจื่อจะได้ยินอาจารย์พูดถึงความน่ากลัวในพรสวรรค์ของลู่เซิ่งอยู่เสมอ ทว่าที่แล้วมาไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ กระนั้นในชั่วขณะเวลานี้ นางค่อยสัมผัสได้อย่างแท้จริงว่า สิ่งใดคือความน่ากลัวของพรสวรรค์
โดยเฉพาะในตอนที่มารหลายตนในทัพมาร ที่เมื่อครู่นางสัมผัสได้ว่ามีอันตรายถึงขีดสุด สู้ลู่เซิ่งไม่ได้แม้แต่น้อย นางจึงค่อยทราบถึงความแตกต่างระหว่างตนกับลู่เซิ่ง
ดีที่ลู่เซิ่งเป็นยอดฝีมือตั้งแต่ก่อนเข้าสำนักแล้ว จึงไม่ได้น่าตกใจมากนัก
“ดูเหมือนกับ…วิชาลับที่อาจารย์เคยแสดงให้ดู ช่วงชิงสรรพเสียง…” เหอเซียงจื่อพลันนึกถึงกระบวนท่าที่ลู่เซิ่งใช้ฆ่าทัพมาร “แต่ว่าจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อสำเร็จเคล็ดวิชาหน้ามารแล้วไม่ใช่หรือ”
ไร้มูลเหตุ หน้ามาร เชื่อมอนธการ หทัยมาร นี่เป็นคัมภีร์ลับในแต่ละขั้นของสายสดับสงัด สุดท้ายเชื่อมโยงถึงการสำเร็จวิถีหทัยมาร และการผนึกรวมร่างมารสดับสงัด แต่ลู่เซิ่งฝึกฝนมานานขนาดไหนกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จเคล็ดวิชาหน้ามาร
กร๊อบ!
มารที่มีใบหน้าเป็นม้าและสวมเกราะมารสีแดงตนสุดท้าย ถูกลู่เซิ่งบีบคอตายไปอย่างเงียบกริบ แล้วก็โดนโยนทิ้งไปด้านข้าง
ในที่สุดเหอเซียงจื่อก็อดเดินเข้าไปตะโกนถามไม่ได้
“ศิษย์น้องลู่! หรือว่าเจ้า…หรือว่าเจ้าจะสำเร็จเคล็ดวิชาหน้ามารแล้ว” นางเสียงสั่นเล็กน้อยขณะถามคำถามนี้
ปัจจุบันนางเพิ่งสำเร็จวิชาไร้มูลเหตุ ยิ่งอย่าว่าแต่สำเร็จเคล็ดวิชาหน้ามาร คิดจะไปถึงขั้นสำเร็จเคล็ดวิชาหน้ามาร อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบปีขึ้นไป
หากศิษย์ทั่วไปอยากจะฝึกฝนเคล็ดวิชาหน้ามารให้สำเร็จ อย่างน้อยต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามสิบปี ถ้าหากมีคุณสมบัติเหนือใคร อาจใช้เวลาสักยี่สิบปี ทว่าลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสำนักได้ปีกว่าเอง…
พอถามคำถามนี้ ไม่เพียงแค่เหอเซียงจื่อเท่านั้น พวกสตรีกางร่มอิงอิง จ่านข่งหนิง และจ่านหงเซิงต่างก็หูผึ่ง
โดยเฉพาะจ่านข่งหนิง เดิมทีเขาคิดจะร่วมมือกับลู่เซิ่งในการฝ่าวงล้อม กลับนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะดุดันขนาดนี้ เข่นฆ่าออกไปโดยไม่เหลือเชลยไว้สักตน โหดเหี้ยมถึงขีดสุด
ตอนแรกเขานึกว่าตนเองสูสีกับลู่เซิ่ง ต่อให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า ก็คงแกร่งกว่าไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูแล้ว…
จ่านหงเซิงรู้จักพลังของลู่เซิ่งดีที่สุด นางจึงลากพี่ชายให้หนีมาหลบที่สำนักมารกำเนิดสุดชีวิต ในสายตาของนาง ลู่เซิ่งที่สามารถสังหารปีศาจงูได้ถึงแม้จะซุกซ่อนพลังไว้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดที่หาได้ใกล้ๆ นี้โดยไม่มีใครอื่นอีก ดังนั้นตอนนี้นางจึงใจเย็นที่สุด
“เคล็ดวิชาหน้ามารอันใด” ลู่เซิ่งอ้าปากดูดแก่นมารหลังจากที่สกัดให้บริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าไป แก่นมารมีสภาพล่องหนทำให้คนอื่นๆ สัมผัสไม่ได้ “ไร้มูลเหตุ หน้ามาร เชื่อมอนธการ หทัยมาร ข้าสำเร็จหทัยมาร ผนึกรวมร่างมาร และได้ร่างมารสูงสุดไปแล้วเมื่อสามวันก่อน!”
ตูม!
ปราณมารสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งกระจายออกมาจากร่างของเขาโดยอัตโนมัติ
ปราณมารรวมตัวกันกลายเป็นเส้นสายสีดำกลุ่มหนึ่ง แล้วกระจายไปรอบๆ จุดที่พวกมันไปถึง ศพของทัพมารทุกศพพากันสลายกลายเป็นผงสีดำ แก่นมารหลายสายถูกเขาอ้าปากดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ซู้ด…
ถึงแม้จะเตรียมใจไว้ในระดับหนึ่ง ทว่าพริบตาที่ได้ยินถึงร่างมารสูงสุด และเห็นความทรงพลังของอีกฝ่าย เหอเซียงจื่อก็จิตใจสั่นสะท้าน สูดลมหายใจเย็นเยือกเฮือกหนึ่ง
“สำเร็จ…ร่างมารแล้วหรือ…!?”
ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่า ลู่เซิ่งจะทำลายข้อจำกัดมากมาย จนสำเร็จร่างมารสดับสงัดได้ในครั้งเดียว
แม้นางจะไม่รู้รายละเอียดของร่างมารสดับสงัด ทว่าก็พอจะทราบถึงลักษณะพิเศษคร่าวๆ
อาจารย์ลิ่วซานจื่อเคยแสดงถึงความน่ากลัวของร่างมารสดับสงัดต่อหน้านางมาแล้วหลายครั้ง เพียงแต่อย่างไรนางก็คาดคิดไม่ถึง ลู่เซิ่งเพิ่งเข้าสำนักมารกำเนิดมาไม่นานเท่าไหร่ กระนั้นกลับเลื่อนระดับหลายรอบติดต่อกันจนไปถึงจุดสูงสุดของสายสดับสงัด และสำเร็จร่างมาร!
นี่มันช่าง…
แม้พวกสตรีกางร่มอิงอิงจะรู้มานานแล้วว่า ประมุขพรรคของตนแปลกประหลาดถึงขีดสุด กลับนึกไม่ถึงว่าจะพิสดารขนาดนี้ พวกเขาที่ฝึกฝนวิชาลับของสำนักมารกำเนิดมาด้วยกัน ทราบถึงความยากในการผนึกรวมร่างมารดี แค่เรื่องเวลาก็ต้องฝึกฝนหนักถึงสามสิบปีกถึงจะแตะขอบเขตร่างมารได้
นั่นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานของสำนักมารกำเนิดซึ่งอยู่ในระดับอสรพิษ
พวกจ่านข่งหนิงทราบเรื่องแค่ครึ่งเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในสำนักเดียวกัน จึงไม่รู้ถึงความยาก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าร่างมารคืออะไรเช่นกัน
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของคนอื่นๆ ก็รู้ว่าร่างมารสูงสุดนี้จะต้องแข็งแกร่งมาก
โฮก!
สิงโตตัวใหญ่ที่แผงคอมีเปลวไฟสีดำลุกไหม้ตัวหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังลู่เซิ่ง มันส่งเสียงคำรามพลางจ้องมองพวกเหอเซียงจื่อด้วยสายตาดุร้าย
เสียงคำรามทำให้ก้อนหินที่อยู่รอบๆ สั่นไหว ทุกคนร่างชาและอดถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้
“มาร…มารหยินใช่หรือไม่!?” เหอเซียงจื่อร้องเสียงหลง
ซ่งจื่ออันนึกถึงภาพที่ลู่เซิ่งกระโจนออกมาฆ่าราชาเมฆดำเมื่อก่อนหน้า จึงรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
เหตุใดมนุษย์ถึงได้ทำลายข้อจำกัดมากมายได้ในระยะเวลาสั้นๆ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเดิมทีลู่เซิ่งผู้นี้เป็นมารโบราณที่จำแลงกายมา
“เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่คิดซ่อนพลังอีกต่อไป เมื่อมาถึงระดับของเขา ก็ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนอะไรอีก การบดขยี้อย่างตรงไปตรงมาจึงเป็นครรลองที่ถูกต้อง
“ลู่เซิ่ง!” ซั่งหยางจิ่วหลี่ส่งเสียงเรียกอยู่ด้านหลังไกลๆ
“ข้าไปช่วยคนก่อน ไว้กลับมาจะไปหาเจ้า!” ลู่เซิ่งไม่หันกลับไป พาทุกคนเดินขึ้นบันไดหิน ก่อนจะหายไปบนพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ซั่งหยางจิ่วหลี่หยีตา ยืนมองซากศพของทัพมารที่กลายเป็นผงสีดำทั่วบริเวณอย่างเงียบๆ อยู่ที่ปากถ้ำ
“พวกเขาไปเรือนสุดประจิม ใต้เท้าจิ่วหลี่ พวกเรา…”
“ทางด้านเรือนสุดประจิม ถ้าหากเจ้าสำนักทุกคนทำลายค่ายกลปิดล้อมออกมาได้ อย่างนั้นที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าพวกเขาทำลายไม่ได้…” จิ่วหลี่กล่าวเสียงขรึม “ให้คนที่อยู่ด้านหลังเร่งมือหน่อย พวกเราจะไปยังตำหนักแดงเดือดต่อ!”
“ขอรับ!”
เหล่าหัวกะทิพลิกตัวขึ้นหลังม้า พากันมุ่งหน้าไปยังตำหนักแดงเดือด
…
สำนักมารกำเนิด
ซ่งจื่ออันปลีกตัวออกจากกลุ่ม กลับมายังด้านหน้าซากตำหนักไม้อย่างเงียบเชียบ มายืนอยู่ตรงหน้าหินก้อนใหญ่สีดำก้อนนั้น
“ผู้อาวุโสหลิง…” เขายื่นมือไปลูบผิวหินสีดำเบาๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อน
“คนผู้นั้น…ข้าได้กลิ่นอายของเหล่าบูรพาจารย์แรกเริ่มแห่งสำนักมารกำเนิดจากตัวของเขา…” มีเสียงตอบที่ทุ้มต่ำของราชามารดังมาจากด้านในหินสีดำ
“แต่เทียบกับบูรพาจารย์เหล่านั้น…เขาแข็งแกร่งเหลือเกิน…” เขาสะท้อนใจด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“เขา เป็นมนุษย์จริงๆ หรือ” ซ่งจื่ออันถามอย่างประหลาดใจ
“ใช่…ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เหมือน แต่กลิ่นที่ข้าสัมผัสได้เป็นมนุษย์จริงๆ” หลิงตอบกลับอย่างแน่ใจ
“อย่างนั้น ยักษ์สีฟ้าที่ออกมาเมื่อก่อนหน้านี้คือใคร…” ซ่งจื่ออันรู้สึกมึนงงอยู่บ้างแล้ว
“นั่นคือราชาเมฆดำ” หลิงถอนใจ “อดีตหนึ่งในจ้าวแห่งมารของเผ่ามารจันทรา เป็นตัวตนระดับราชามาร เทียบเท่ากับผู้ถืออาวุธของมนุษย์…”
“ผู้ถืออาวุธ…” ซ่งจื่ออันม่านตาหด ในที่สุดก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าลู่เซิ่งอยู่ในระดับไหน
“ใช่แล้ว…ผู้ถืออาวุธ…ราชามาร…” หลิงเงียบงันลงอย่างไม่รู้ตัว ความจริงยังมีอีกประโยคที่เขาไม่ได้พูด
ตอนที่หลิงใช้เนตรแห่งโฉมเดิมมองดูลู่เซิ่ง ทำให้เขามองเห็นสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของสิ่งมีชีวิตได้ อีกฝ่ายไม่ได้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่โตแบบนั้น
แต่เป็นเงาร่างสูงชะลูดที่สง่างาม ดุร้าย และน่ากลัว สิ่งที่กระจายออกมาด้านหลังเงาร่างนั้นคือนภาดาวสีเงินที่ไร้ขอบเขต
……………………………………….