บทที่ 295 ใต้หล้า (3)
เรือนสุดประจิม
ควันสีดำทั่วฟ้าปกคลุมเรือนสุดประจิมเอาไว้โดยสมบูรณ์ในลักษณะหลังคาโค้ง
เห็นแสงสีรุ้งหลายสายกระเพื่อมและแผ่กระจายอย่างเลือนรางได้บนหลังคาควันดำ อักขระหลากหลายชนิดกะพริบระเบิดตลอดเวลา
ลิ่วซานจื่อยื่นมือขวาออกไปชี้ที่ค่ายกล ก่อนจะวาดมือซ้ายอย่างฉับพลัน
อักขระสีดำที่เป็นสัญลักษณ์ของร่างมารสดับสงัดพลันโผล่ขึ้นมาด้านหน้า อักขระเปลี่ยนสภาพไปสองสามครั้งกลางอากาศ แต่ยังคงไม่มีผลใดๆ จนกระทั่งสีดำจางหายไป
ลิ่วซานจื่อถอยหายใจ ละทิ้งความพยายามจะส่งกระแสเสียงออกจากค่ายกล พร้อมกับเลียริมฝีปากที่แห้งแตก
ค่ายกลดึงอากาศของที่นี่ออกไปอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงอากาศเท่านั้น ยังมีน้ำ และพลังชีวิตพิเศษบางชนิดในตัวสิ่งมีชีวิตด้วย
ในเจ้าสำนักสิบเก้าคนมีสามคนทนไม่ไหว ล้มกองลงกับพื้น
สามคนนี้เป็นคนที่ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อทะลวงค่ายกลเมื่อก่อนหน้านี้ เนื่องจากว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังของตนเองไปมหาศาล ทั้งยังไม่มีการชดเชยแม้แต่น้อย
ทุกคนที่อยู่รอบๆ เริ่มต้านไม่ไหวบ้างแล้ว อย่าว่าแต่เจ้าสำนักสามคนที่ถูกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ผลาญพลังไป
“นึกไม่ถึงว่า…ข้าจะตายที่นี่…” ลิ่วซานจื่อเงยหน้ามองเกราะทรงโค้งที่มีแสงสีดำไหลเวียนอยู่เหนือศีรษะ อักขระสีเลือดแต่ละเส้นสายในนั้นกะพริบอย่างต่อเนื่อง
“ใช่แล้ว…นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะไม่ตายในสมรภูมิแห่งภัยพิบัติมาร กลับตายเพราะแผนการที่คาดไม่ถึง” แม่เฒ่าชิงคงเจ้าสำนักสวนปลอดโปร่งยืนอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา แม้ฉายาของนางจะมีคำว่าแม่เฒ่า แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางแต่งตั้งตัวเอง รูปร่างหน้าตาของนางดูแล้วอย่างมากสุดก็ไม่เกินสามสิบปี มีเสน่ห์งามสง่าเป็นผู้ใหญ่ ต่อให้จะมีอายุแปดสิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีคนตามเกี้ยวพาไม่น้อย
“ท่านยังจำประโยคที่ท่านไม่อาจพูดจากปาก เมื่อครั้งจากไปในตอนนั้นได้หรือไม่ ตอนนี้…ข้าอยากฟัง…” แม่เฒ่าชิงคงยิ้ม พลางเบือนหน้ามามองลิ่วซานจื่อ
“ข้า…” เหตุใดลิ่วซานจื่อจะไม่ทราบถึงความรู้สึกของนาง เพียงแต่…เขาไม่ใช่ผู้นำหล่อเหลาองอาจเหมือนอย่างในอดีตอีกแล้ว ปัจจุบัน เทียบกับคนมากมายที่มาติดพันชิงคง เขาไม่คู่ควรกับอีกฝ่าย
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ” แม่เฒ่าชิงคงยื่นมือไปจับแขนของลิ่วซานจื่อ ไม่รังเกียจผิวแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเขาแม้แต่น้อย
“ชิงคง…” ลิ่วซานจื่อถอนใจ พลิกฝ่ามือจับมือของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
เขารู้ว่าทำไมชิงคงจึงเรียกตัวเองว่าแม่เฒ่าชิงคง ความจริงนางแค่อยากให้คำเรียกของตัวเองดูแก่สักเล็กน้อย แม้จะเป็นส่วนเล็กๆ แต่ก็พอจะเหมาะสมกับเขาเป็นบางส่วน
“ในสายตาข้า ท่านคือศิษย์พี่ใหญ่ที่ปกป้องข้าด้วยชีวิตตลอดกาล!” ดวงตาของชิงคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น
แกร่ก…
ม่านแสงค่ายกลเหนือศีรษะพลันสั่นไหว รอยแตกมากมายแผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่อง ค่ายกลไม่ได้กำลังจะแตกออก แต่ว่าการโจมตีของค่ายกลกำลังจะทำงานสุดกำลัง
ลิ่วซานจื่อทำใจแล้ว กอดเอวกิ่วของชิงคงพลางเงยหน้ามองรอยแตกที่เหมือนกับสายฟ้าสีดำ แม้ว่ากลิ่นอายอันตรายที่เขาไม่อาจต้านทานได้ จะแผ่กระจายอยู่ในรอยแตก แต่เขาก็ไม่เกรงกลัว
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีดำฟาดลงมาจากกลางอากาศอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
…
“อะไรนะ!? ถูกขังอยู่ในเรือนสุดประจิม ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย!?” ด้านในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กๆ ใกล้เรือนสุดประจิม
ลู่เซิ่งเบิกตาด้วยความโกรธ บรรยากาศในห้องนอนกลายเป็นกดดันในพริบตา ทำให้คนหายใจไม่ออกราวกับอยู่ในสุญญากาศ
หงฟางไป๋แค่นเสียง ฝืนทนเอาไว้ ศักดิ์ศรีของนางไม่อนุญาตให้นางต้านทานสายตาของลู่เซิ่งได้!
นางยันเข่าเอาไว้อย่างสุดกำลัง พยายามไม่ให้ตนเองถูกกดดันจนคุกเข่าล้มลงกับพื้น
ส่วนสวีชุยกับนิ่งซานคุกเข่าลงกับพื้นใกล้ๆ อย่างเชื่อฟังแต่แรกแล้ว จึงไม่ได้รับแรงกดดันมากเกินไป
ลู่เซิ่งที่เหมือนจะเห็นความลำบากของสตรีกางร่ม ค่อยพบว่าตนเองปล่อยสนามพลังและกลิ่นอายออกมาหนักเกินไป จนเกือบทำร้ายพวกเดียวกัน จึงค่อยๆ ทำให้กลิ่นอายสงบลง
“ทัพมาร…! ตระกูลขุนนางเล่า สำนักอื่นๆ เล่า!?” ลู่เซิ่งอารมณ์พลุ่งพล่าน ลิ่วซานจื่อเป็นหนึ่งในอาจารย์ไม่กี่คนที่เขายอมรับอย่างแท้จริง เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายตายไปเพราะแผนการที่คาดไม่ถึง
ถ้าหากว่าอาจารย์ตายไปในสมรภูมิอย่างสมความภาคภูมิ เขาคงไม่มีคำตัดพ้อใดๆ ทว่าถ้าตายเพราะแผนการของพวกเดียวกัน…
“ทัพของตระกูลซั่งหยางเรียกระดมกองกำลังทั้งหมดอย่างเร่งด่วนแล้ว แต่ยังคงถูกทัพมารทำลายแนวป้องกันได้…สำนักอื่นๆ เหมือนน้ำไกลไม่อาจดับไฟใกล้ เนื่องจากไส้ศึกปิดข่าวสารไว้ ถึงขั้นที่ตอนนี้มีสำนักส่วนหนึ่งเพิ่งได้รับข่าว จึงมาช่วยเหลือไม่ทัน!” นิ่งซานรีบรายงานข้อมูลที่ตนสืบทราบมา
“ปัจจุบันตระกูลขุนนางกลายเป็นทัพพันธมิตร ซั่งหยางไท่ซั่งออกกจากการกักตนและรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ทัพพันธมิตร กำลังคุมเชิงกับทัพมารบนที่ราบใกล้ๆ” สวีชุยรีบเล่าสถานการณ์ที่ตนเองสืบมาเช่นกัน “นอกจากนี้จากข่าวล่าสุดที่เพิ่งได้รับมา เรือนสุดประจิมกลายเป็นซากไปแล้ว เจ้าสำนักสิบเก้าคนรวมถึงศิษย์หัวกะทิของเรือนสุดประจิมส่วนใหญ่หายไปอย่างไร้ร่องรอย…บางทีอาจตายไปแล้ว…”
เพล้ง!
จอกในมือลู่เซิ่งพลันระเบิดกลายเป็นผงสีขาว
ในดวงตาที่มีม่านตาสามจุดของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหารอันเย็นเยียบ
“ทัพใหญ่…อยู่ที่ไหน”
“นายท่าน…นั่นมันภัยพิบัติมารเชียวนะขอรับ! เป็นทัพใหญ่ภัยพิบัติมารที่มีระดับผู้ถืออาวุธนะขอรับ! ท่าน…”
เปรี้ยง!
นิ่งซานถูกสนามพลังไร้รูปร่างกระแทกทรวงอก ก่อนจะปลิวกระเด็นออกไปติดกำแพงด้านหลัง
โครม
เขาหล่นลงมานอนคว่ำแน่นิ่งกับพื้น พร้อมกับหอบหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยสีหน้าซีดขาว
“…อยู่…อยู่ที่ที่ราบบนทุ่งร้างทางตะวันตกเฉียงใต้ห่างออกไป…สิบห้าลี้…” เขาตอบติดๆ ขัดๆ
เสียงเพิ่งจะขาดลง ห้องนอนก็สั่นไหว เงาดำวูบไหวในห้อง ลู่เซิ่งพุ่งออกจากหน้าต่างทะยานขึ้นท้องฟ้า ทั้งๆ ที่เป็นร่างคนธรรมดาสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ ทว่าตอนที่พุ่งออกไป ทั้งสามรู้สึกเหมือนสัตว์ยักษ์ร่างมโหฬารที่กินพื้นที่ห้องไปทั้งหมดตนหนึ่งผละไปด้วยความเร็วสูง
แรงกดดันอันน่ากลัวที่กดดันหัวใจตลอดเวลาอ่อนลงพร้อมกับการจากไปของลู่เซิ่ง
“ข้าไปด้วย!” ใบหน้าของหงฟางไป๋เดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวขาวซีด นางลอยตัวออกจากหน้าต่างอย่างฉับพลัน แล้วไล่ตามลู่เซิ่งไปติดๆ
สวีชุยกับนิ่งซานจนปัญญา ได้แต่ลุกขึ้นกระโดดออกจากหน้าต่างเพื่อตามไป
เหอเซียงจื่อที่เพิ่งผลักประตูเข้ามา กลับทันเห็นแค่เงาหลังของพวกเขา
นางรีบพุ่งออกจากประตูห้อง ร้องเรียกจ่านข่งหนิงกับจ่านหงเซิง ก่อนจะไล่ตามไปด้วยความมึนงง
ถึงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ดูจากปฏิกิริยาของพวกสวีชุย คงจะเกิดเรื่องที่กะทันหันและสำคัญถึงขีดสุดขึ้น ไม่ผิดพลาดแน่หากจะตามไป!
…
ที่ราบทุ่งร้าง
หลี่ซุ่นซียืนอยู่กลางทัพมารเงียบๆ ด้านข้างคือลัวซีหมู่ผู้บัญชาการใหญ่ทัพมาร
ทั้งสองอยู่ตรงกลางทัพใหญ่ ทอดตามองดูหอคอยแสงสีดำที่ค่อยๆ ลอยขึ้นแต่ไกลอย่างสงบ
“อนาคตและประวัติศาสตร์ที่เจ้ามองเห็นมีเงาของข้าหรือไม่” ลัวซีหมู่ไม่ได้ถามคำถามนี้เป็นครั้งแรก
ทุกๆ ครั้งที่ทำการตัดสินใจ เขาจะบอกหลี่ซุ่นซีตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อหวังจะได้เห็นผลกระทบในภายหลังของการตัดสินใจนี้
แต่ทุกครั้งเขาล้วนผิดหวัง
“ไม่มี” หลี่ซุ่นซีรู้ว่าทำไมลัวซีหมู่ถึงไม่ฆ่าตน แต่เขาก็ไม่ได้ตบตาอีกฝ่าย ชะตาของเมืองเก้าเมืองโดดเด่นเกินไป ต่อให้ไม่ใช้อายุขัย เขาก็สามารถเห็นความปะติดปะต่อได้อย่างง่ายดาย
“ยังไม่มีอีกหรือ…” ลัวซีหมู่ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วหันไปมองทิศทางของทัพพันธมิตร
ทอดตามองแต่ไกล ทัพพันธมิตรของตระกูลซั่งหยางกับสำนักอื่น ที่มีขนาดยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาเหมือนกับมหาสมุทรซึ่งเปล่งแสงสีรุ้งระยิบระยับ ซุกซ่อนภัยอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิตเอาไว้
นั่นเป็นพลังงานอันน่ากลัวที่ประกอบขึ้นจากค่ายกลอักขระน้อยใหญ่หลายชนิด
“เจ้ายังไม่ยอมบอกอีกหรือว่าวิญญาณมารดวงที่สามในประวัติศาสตร์เป็นใคร” ลัวซีหมู่ถอนใจ
หลี่ซุ่นซีเงียบงัน
ถ้าบอกออกไปว่าวิญญาณมารดวงที่สามเป็นใคร ทัพมารจะต้องประสานนอกในหาจุดอ่อนที่ดีที่สุดแน่ ตอนนั้นไม่เพียงเมืองเก้าเมืองจะล่มสลาย แม้แต่ทัพพันธมิตรก็คง…
“ความจริงไม่ว่าเจ้าจะบอกหรือไม่ วิญญาณมารดวงที่สามก็จะฟักตัวอยู่ดี พิธีเลือดเพียงพอแล้ว หากปรากฏตัวโดยสมบูรณ์ นั่นจะเป็นตอนที่การฟักตัวประสบความสำเร็จ บทสรุปสุดท้ายมีแต่ความย่อยยับ” ลัวซีหมู่กล่าวพลางถอนใจ
“ข้ารู้…” หลี่ซุ่นซีตอบเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่…”
“ก็แค่หวังลมแล้งๆ ใช่หรือไม่” ลัวซีหมู่ส่ายหน้าน้อยๆ
ตึกๆ
อยู่ๆ ในส่วนลึกของจิตใจก็เกิดการสั่นไหวน้อยๆ ก้นบึ้งจิตใจของทั้งสองสั่นสะเทือนพร้อมกัน
ลัวซีหมู่เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ
“เริ่มแล้ว…”
หลี่ซุ่นซีมองตามสายตาของเขา นั่นคือทิศทาง…ของทัพพันธมิตร
…
ซั่งหยางจวินมองหวงฟู่ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเงียบๆ
ศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นผู้นำแห่งเรือนสุดประจิมผู้นี้มีพรสวรรค์และคุณสมบัติที่น่าทึ่ง นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เขายอมพบอีกฝ่ายสักครั้ง
ด้านในกระโจมสีขาว หวงฟู่แตะหน้าผากจรดพื้น รอคอยคำตอบจากผู้กุมอำนาจแห่งตระกูลซั่งหยางอย่างเคารพ
“คำขอ…ของเจ้า ข้าตอบรับไม่ได้” ซั่งหยางจวินกล่าวอย่างสงบ
เขาใช้ชีวิตมาหลายร้อยปี ชืดชาต่อการจากลาทั้งเป็นทั้งตายมานานแล้ว ต่อให้หวงฟู่คิดจะพาคนไปสนับสนุนเมืองเพื่อคนในครอบครัว เขาก็ไม่อาจอนุญาตได้ ตอนนี้สองทัพตั้งประจันหน้า การแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งออกไป อาจก่อให้เกิดตัวแปรบนสมรภูมิ โดยเฉพาะยามเผชิญหน้ากับลัวซีหมู่คู่ปรับของเขา เขายิ่งแบ่งสมาธิไม่ได้
“ไม่ได้จริงๆ หรือ ข้ายินยอมให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ขอแค่ท่านส่งคนอ้อมไปจากด้านข้าง…” หวงฟู่ยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่ว่าซั่งหยางจวินโบกมือ พลันมีสนามพลังล่องหนคลุมตัวเขาไว้ แล้วผลักเขาออกไปด้านนอก
“เซินเหยียน” ซั่งหยางจวินกล่าวอย่างเฉยชา
“ขอรับ” ซั่งหยางเซินเหยียนเป็นตุลาการพู่กันเหล็กที่มุ่งหน้ามาสนับสนุนในครั้งนี้ และเป็นองครักษ์ประจำตัวของซั่งหยางจวิน เขาเดินเข้ามาจากด้านข้าง
“เชิญเถอะ” เขามองหวงฟู่ที่ยังคงคุกเข่า
หวงฟู่ยังคงคุกเข่า ร่างกายสั่นเทิ้มเหมือนกำลังร้องไห้
ซั่งหยางเซินเหยียนขมวดคิ้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก แต่ความจริงก็แค่ระดับอสรพิษขอบเขตสามขั้นล่าง หากเจอเขาก็ก่อปัญหาอะไรไม่ได้
“ขอบคุณ…บรรพชนจวิน…” หวงฟู่ค่อยเงยหน้าขึ้น
“หือ?” ซั่งหยางจวินพลันรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย รีบเงยหน้าขึ้นมองหวงฟู่
การมองนี้กลับทำให้ร่างกายสั่นไหว
หวงฟู่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น มีของเหลวสีขาวเทาปริมาณมากเหมือนกับนมวัวไหลออกมาจากดวงตาที่ไร้ลูกตา
ของเหลวขยายไปรอบๆ จากข้างใต้เท้าเขาด้วยความเร็วสูง
“แย่แล้ว!” ซั่งหยางจวินเห็นท่าไม่ดี จึงฟาดฝ่ามือใส่หวงฟู่อย่างดุดัน
สนามพลังอาวุธเทพ พลันสร้างสายโซ่อักขระสีขาวตัดเทาหลายกลุ่มบนมือของเขา
……………………………………….