บทที่ 259 เลี่ยงภาษี

“พี่เขย พี่จะตามใจถวนถวนแบบนี้ไม่ได้นะ! พี่ตามใจลูกมากเกินไปแล้ว!”

หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยตำหนิพี่เขยของเธอ

ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่พี่เขยของเธอกลับมา ถวนถวนก็เริ่มดื้อกับเธอราวกับว่าเด็กน้อยมีคนให้ท้ายซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย!

ในท้ายที่สุด ทุกคนก็ตกลงกันได้ว่า ถวนถวนจะต้องไปเรียนเปียโนในวันจันทร์ที่จะถึงนี้หรือก็คืออีกสามวันข้างหน้า

หลังจากนั้นในทุก ๆ วันที่ผ่านไป อวี้ฮ่าวหรานพาถวนถวนไปเล่นที่สวนสนุกของบริษัททุกวัน ซึ่งเด็กน้อยรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมาก

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

ในที่สุดก็ถึงเช้าวันจันทร์ อวี้ฮ่าวหรานพาลูกสาวของตัวเองไปที่โรงเรียนสอนดนตรีที่อยู่ใกล้บ้าน

ในทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานก้าวเข้าไปด้านในตึก ครูผู้สอนก็ออกมาต้อนรับพวกเขาทันที

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อต้องการพาลูกสาวมาลงทะเบียนเรียนคลาสเปียโนใช่ไหมคะ?”

ครูสาวเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ

อวี้ฮ่าวหราน มองไปที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ครูสาวคนนี้น่าจะมีอายุราวยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอน่าจะเพิ่งเรียนจบมาหมาด ๆ เธอทำทรงผมหางม้า ใส่เสื้อสีเขียวอ่อนและกระโปรงสีฟ้าซึ่งมันยิ่งทำให้เธอดูสดใส

หลังจากสำรวจครูสาวคนนี้อยู่ครู่หนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานจึงบอกความประสงค์ทันที

“ใช่ ผมมาตามที่น้องภรรยาของผม หลี่หรง นัดกับที่นี่เอาไว้”

“อืม…ถ้าอย่างนั้นน่าจะมีการลงทะเบียนเอาไว้แล้ว ดิฉันขอไปตรวจสอบก่อนสักครู่นะคะ คุณพ่อกับลูกสาวรบกวนนั่งรอที่เก้าอี้ก่อนสักครู่ค่ะ”

หลังจากนั้นครูสาวเดินไปที่โต๊ะซึ่งตั้งอยู่มุมห้องและหลังจากค้นเอกสารดูอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดินกลับมาหาอวี้ฮ่าวหราน

“เจอแล้วค่ะ คุณผู้หญิงชื่อหลี่หรงลงทะเบียนเอาไว้ให้แล้ว คุณคือคุณพ่อที่ชื่ออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหมคะ?”

จากนั้นเมื่อเธอยืนยันตัวตนของอวี้ฮ่าวหรานได้แล้ว เธอจึงแนะนำตัวเอง

“ดิฉันชื่อ หลิวว่านฉิง เป็นครูสอนเปียโนของน้องถวนถวนในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ฉันขอฝากตัวด้วยก็แล้วกันนะคะ!”

“อืม”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบกลับเล็กน้อย

“หลังจากนี้อีก 10 นาทีชั้นเรียนเปียโนจะเริ่ม นี่คือหนังสือเรียนเปียโนพื้นฐานของหนูถวนถวนนะจ้ะ ถ้าหนูพร้อมแล้ว หนูเข้าไปรอในห้องเรียนพร้อมกับครูตอนนี้เลยก็ได้”

หลังจากแนะนำตัวกับอวี้ฮ่าวหรานเสร็จ หลิวว่านฉิงหันไปยื่นหนังสือให้กับถวนถวนก่อนที่จะลูบหัวของเด็กน้อยด้วยสีหน้าเอ็นดู

“หนู…”

ถวนถวนแสดงสีหน้าลังเล เด็กน้อยไม่อยากอยู่ที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ด้วยความเป็นมิตรของหลิวว่านฉิง เด็กน้อยจึงปฏิเสธไม่ออก

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นความอ่อนโยนของหลิวว่านฉิง เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ถ้างั้นนับจากนี้ผมขอฝากลูกสาวของผมเอาไว้กับคุณด้วยก็แล้วกัน ผมจะมารับลูกสาวอีกทีตอนเย็นช่วงเวลาเลิกเรียน”

“พ่อจ๋า หนูไม่อยากอยู่ที่นี่…”

เมื่อเห็นว่าพ่อของเธอจะจากไป ถวนถวนวิ่งตามไปดึงชายเสื้อทันที เธอไม่อยากอยู่ในสถานที่ ๆ ไม่คุ้นเคยคนเดียว

“ถวนถวน ไม่เป็นไรหรอกลูก คุณครูหลิวจะดูแลลูกอย่างดี พ่อมั่นใจ”

เมื่อเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของลูกสาว อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาปลอบ ไม่ว่ายังไงการเรียนเปียโนมันก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของถวนถวน แถมหลี่หรงก็คะยั้นคะยออีกต่างหาก

แต่แล้วในขณะเดียวกันนี้ เด็กชายคนหนึ่งก็โผล่หัวออกมาจากห้องเรียน

“เอ๊ะ? ถวนถวน! ฉันว่าแล้วว่านี่ต้องเป็นเสียงของเธอ!”

เด็กชายแสดงสีหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นหน้าของถวนถวน

“ตงตง! นายก็อยู่ที่นี่ด้วยงั้นเหรอ!”

ถวนถวนหันขวับไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนทัก และเธอแสดงสีหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อเห็นว่าเพื่อนโรงเรียนเดียวกันก็อยู่ที่นี่ด้วย!

เด็กน้อยทั้งสองคนนี้สนิทกันมากตอนที่อยู่โรงเรียน ดังนั้นทั้งคู่จึงรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอกันที่นี่

อวี้ฮ่าวหรานลอบถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนี้ ในเมื่อถวนถวนเจอเพื่อนที่นี่ ดังนั้นลูกสาวของเขาก็คงน่าจะอยากเรียนที่นี่มากขึ้นและไม่งอแงตามเขาแล้วจริงไหม?

“พ่อจ๋า! หนูอยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว!”

เป็นไปตามที่คาด เด็กน้อยเปลี่ยนความคิดของเธออย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ก่อนหน้านี้เธอไม่อยากอยู่ที่นี่เพราะเธอไม่คุ้นชินกับสถานที่แห่งนี้เลย แต่ตอนนี้เมื่อเจอเพื่อนสนิทแล้ว เธอจึงไม่กลัวอะไรอีกต่อไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงพยักหน้าและร่ำลาลูกสาวตัวเองก่อนที่จะจากไป

หลังจากผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วโมง อวี้ฮ่าวหรานก็ขับรถไปถึงบริษัทของตัวเอง

แต่แล้วในขณะที่เขากำลังตรวจดูเอกสารต่าง ๆ ในออฟฟิศ ผู้จัดการหวังก็เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“ท่านประธาน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

ตามปกติแล้วผู้จัดการหวังจะเคาะห้องทุกครั้งก่อนที่จะเข้ามา แต่คราวนี้เขากลับเปิดประตูเข้ามาเลยโดยไม่ได้ขอซึ่งมันแสดงให้เห็นว่ามันมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริง ๆ

“เกิดอะไรขึ้น?” อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย

“มีคนกลุ่มหนึ่งจากหน่วยงานราชการเข้ามาในบริษัทของเรา พวกเขาบอกว่าจะปิดบริษัทของเราชั่วคราวเพื่อสอบสวนเรื่องเกี่ยวกับภาษี พวกเขาหาว่าเราพยายามหลีกเลี่ยงภาษี และอีกไม่นานพวกเขาจะเดินมาถึงห้องของท่านแล้วครับท่านประธาน!”

ผู้จัดการหวังรีบตอบกลับด้วยสีหน้าตื่นตระหนก นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยนึกฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่ภาษีจู่ ๆ ก็มาตรวจสอบบริษัทของพวกเขา!

“หืม? หลบเลี่ยงภาษี?”

อวี้ฮ่าวหรานสับสนเมื่อได้ยินคำนี้

นี่มันเป็นไปไม่ได้!

เขาไม่เคยมีความคิดจะหลบเลี่ยงภาษี เขาให้ฝ่ายบัญชีดูแลเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดตามมา โดยเฉพาะในขณะนี้ที่บริษัทของเขากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปแค่เพียงครู่เดียว คนกลุ่มหนึ่งที่ใส่เครื่องแบบซึ่งมีตราของกรมสรรพากรก็เดินเข้ามาในออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหราน

คนกลุ่มนี้ที่เดินเข้ามาล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าจริงจัง

“คุณอวี้ พวกเราขออภัยด้วยที่มารบกวนในช่วงเวลานี้ แต่พวกเราได้รับแจ้งว่าบริษัทของคุณมีพฤติกรรมการหลีกเลี่ยงภาษี และเราได้รับหลักฐานที่ชัดเจนมาด้วยดังนั้นเราจึงต้องขอปิดบริษัทของคุณเป็นการชั่วคราวเพื่อสอบสวนบริษัทของคุณอย่างละเอียด!”

คนที่ก้าวออกมาพูดเป็นชายวัยกลางคนซึ่งดูจากท่าทางการวางตัวแล้ว เขาไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งต่ำ ๆ แน่นอน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเป็นอย่างมาก

หลังจากพูดจบชายวัยกลางคนนำเอกสารหลายแผ่นออกจากกระเป๋าถือและวางเอกสารลงบนโต๊ะของอวี้ฮ่าวหราน เพื่อแสดงว่าเขามีมูลหลักฐานในการปรักปรำเครือฮ่าวหรานจริง

อวี้ฮ่าวหรานหยิบเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาดูอย่างรวดเร็วก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะดังเดิม เขาขมวดคิ้วแน่นเพราะถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามในเอกสารนี้จริง บริษัทของเขาเจอปัญหาใหญ่แน่นอน

“ผู้จัดการหวัง รีบไปเรียกหัวหน้าฝ่ายบัญชีมาเดี๋ยวนี้!”

อวี้ฮ่าวหรานตะโกนสั่งทันที นี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาโวยวาย เขาจำเป็นต้องให้พนักงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุดมาชี้แจง

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันดูไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้เขาให้แผนกบัญชีดูแลเรื่องภาษีเป็นอย่างดีมาตลอดซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่บริษัทของเขาจะเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีแบบนี้ เขาไม่เคยมีความคิดที่จะไม่จ่ายภาษีเลย!

ดังนั้นแล้วหลักฐานพวกนี้มาจากไหน?

แต่แล้วไม่นานหลังจากออกคำสั่งไป ผู้จัดการหวัง ก็รีบวิ่งกลับมาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่มากกว่าเดิม

“ท…ท่านประธาน หัวหน้าฝ่ายบัญชีของเราไม่เข้าบริษัทมาสองวันแล้ว ในประวัติบอกว่าเธอลาป่วย!”

“แล้วโทรหาหรือยัง?”

“ผมลองโทรหาแล้ว แต่โทรเบอร์ของเธอไม่ติดเลย!” ผู้จัดการหวังตอบกลับด้วยสีหน้าที่หดหู่

“เข้าใจแล้ว…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พอจะเข้าใจอะไรได้บางอย่าง

อันที่จริงปัญหานี้มันไม่ได้ใหญ่อะไรเลยสำหรับเขาเมื่อเทียบกับสถานการณ์เป็นตายที่เขาเคยผ่านมาเมื่อตอนที่อยู่ในดินแดนแห่งเทพ เรื่องแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการละเล่นของเด็ก

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้มันน่าจะถูกจัดฉากโดยใครบางคนที่ประสงค์ร้าย และใช้คนในของเขาเล่นงานเขาจากภายใน

ในขณะเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรก็เอ่ยขึ้น

“ถ้างั้น…คุณอวี้ ผมคงต้องขอให้คุณแจ้งพนักงานทุกคนให้กลับบ้านกันไปก่อนโดยเร็วที่สุด ตามกฎหมาย ผมมีสิทธิ์ที่จะปิดบริษัทของคุณชั่วคราวเพื่อทำการสอบสวน…”