ตอนที่ 272 พรสวรรค์ไวโอลินอันน่าสะพรึงกลัวของเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

อาจารย์ใหญ่เว่ยมาหาฉินหร่าน หลักๆ แล้วเพื่อมาคุยเรื่องที่จะให้ฉินหร่านเข้าร่วมสมาคม สำหรับเรื่องพิธีไหว้ครู… 

 

 

เรื่องนี้อาจารย์เว่ยไม่มีทางทำให้ฉินหร่านลำบากใจแน่นอน 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ อาจารย์เว่ยคิดว่าให้ฉินหร่านได้เข้าร่วมอย่างเงียบๆ  เรื่องนี้สำหรับฉินหร่านแล้วถือว่ายากอย่างมาก  

 

 

เธอคุยกับอาจารย์เว่ย ตอนนั้นเองเฉิงเจวี้ยนมองไปยังนายท่านเฉิง แล้วพูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวผมไปส่งท่านลงไปข้างล่าง” 

 

 

นายท่านเฉิงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาไม่ขยับ “เธอดูแลต้อนรับอาจารย์ใหญ่เว่ยก่อนแล้วกัน ฉันไม่รีบ” 

 

 

คำพูดของทั้งสองคนไม่มีอะไรปกปิด อาจารย์เว่ยที่กำลังคุยอยู่กับฉินหร่านได้ยินเข้า เขาก็รีบลุกขึ้นทันที “ไม่ต้องดูแลต้อนรับหรอก พวกเราล้วนแต่รู้จักกัน” 

 

 

นายท่านเฉิง “…” เขาได้แต่ลุกขึ้นจากโซฟา 

 

 

เฉิงเจวี้ยนกอดอก ยกคางไปยังพวกเขา ภายใต้แสงอาทิตย์ ใบหน้าเขาดูคมชัด “ไปกันเถอะครับ” 

 

 

เฉิงมู่เดินไปมาที่ชั้นบนอยู่สักครู่ “คุณหนูฉิน อาจารย์เว่ย เดี๋ยวผมลงไปเก็บของที่ชั้นล่างก่อนนะครับ” 

 

 

ฉินหร่านทำท่า OK ให้กับเขา 

 

 

คนที่อยู่ในห้องโถงก็ออกไปกันเสียก็หมดแล้ว อาจารย์ใหญ่เว่ยจึงได้ยกแก้วชาขึ้น รู้สึกโล่งอก เขาจิบชาหนึ่งอึก แล้วมองไปที่อาไห่ 

 

 

อาไห่รีบเอาแผนการฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่อยู่ข้างตัวยื่นให้กับฉินหร่าน 

 

 

“พรสวรรค์ของเธอด้านไวโอลินนับว่าไม่เลว ความแม่นยำในการจับโน้ตดีมาก ในด้านอุปกรณ์ต่างๆ ก็ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างมาก” อาจารย์เว่ยให้เธอเปิดแผนการออก “แต่การฝึกฝนอย่างเป็นระบบยังน้อยอยู่…ที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ เธอคงจะเรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เธอมีเซนส์แบบนี้ในด้านไวโอลินด้วย แต่การเล่นไวโอลินจำเป็นต้องมีปณิธานที่แน่วแน่และยืนหยัด” 

 

 

อาจารย์เว่ยในฐานะนักดนตรีระดับชั้นยอดในวงการ เข้าใจอย่างดีว่าการจะได้พบอัจฉริยะสักคนนั้นไม่ง่าย เรื่องเหล่านี้ได้เพียงแต่พานพบไม่อาจเสาะแสวง 

 

 

ถ้าเทียบกับการเรียนอย่างอื่นแล้ว พรสวรรค์มีผลอย่างมากต่อไวโอลิน  

 

 

อาจารย์เว่ยครั้งแรกที่ได้พบกับฉินหร่าน ก็สัมผัสได้ถึงพรสวรรค์อันน่าสะพรึงด้านไวโอลินของเธอ แต่ฉินหร่านมีบางอย่างที่ทำให้อาจารย์เว่ยยังรู้สึกยังไม่สนิทใจ นั่นก็คือเธอมีท่าทีเล่นๆ กับไวโอลิน 

 

 

ไวโอลินถือเป็นหนึ่งในสามเครื่องดนตรีที่เล่นยากที่สุด ไม่ได้ต้องการเพียงพรสวรรค์เท่านั้น  แต่ยังต้องการการยืนหยัดและปณิธานอันแน่วแน่  

 

 

นับแต่ฉินหร่านมีเรื่องขัดแย้งกับอาจารย์สวี่ที่ตำบลหนิงไห่ ฉินหร่านก็ไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนไวโอลินมาหลายปีแล้ว 

 

 

แต่เธอยังคงมีความรู้สึกแบบเดิมกลับมาได้ทันทีที่ได้สัมผัสไวโอลิน 

 

 

ครั้งก่อนฉินหร่านกลับมาเมืองหลวง อาจารย์เว่ยให้เธอลองเล่นไวโอลิน อารมณ์พรั่งพรูนั้น ต่างจากเสียงสังเคราะห์ที่ไร้ซึ่งอารมณ์อย่างสิ้นเชิง 

 

 

“ตั้งแต่ตอนนี้ไปจนกว่าเธอจะเปิดเทอม ฉันกำหนดเป้าหมายสองอย่างให้เธอแล้ว ภายในเวลาสองเดือนนี้ เธอต้องฝึกการเลื่อนเสียงกลางไปสูงรวมทั้งเทคนิคการดึงคันชักด้วยมือทั้งสองให้แม่นยำ…หลังจากนั้นฉันจะให้รายการเพลงที่ความยากอยู่ในระดับสูงให้กับเธอ” อาจารย์ใหญ่เว่ยชี้ไปบนหน้าหนังสือหน้าแรกที่เธอเปิด แล้วพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “เวลาสองเดือนสำหรับเธอแล้วคงไม่น่าจะยากอะไรมากมาย แต่สิ่งที่ฉันเรียกร้องจากเธอไม่ได้เป็นระดับเก้าที่เป็นระดับง่ายสำหรับเล่นเป็นงานอดิเรกแบบในประเทศหรอกนะ แต่เป็นระดับกลางของรัฐ M” 

 

 

สมาคมไวโอลินของเมืองหลวงมีมาตรฐานของตัวเอง 

 

 

ระดับสิบของภายนอกสมาคมไวโอลินเทียบไม่ได้แม้แต่ระดับสามภายในสมาคม 

 

 

“เธอไม่ได้จับไวโอลินมาครึ่งปีแล้ว ตอนนี้ความสามารถน่าจะไม่ต่างกับตอนที่เธอมาเล่นไวโอลินที่เมืองหลวงครั้งก่อน หรืออาจจะเทียบไม่ได้เลยก็ได้” อาจารย์เว่ยเอานิ้วจิ้มโต๊ะ “ทางด้านเทคนิคหลายอย่างยังตามไม่ทัน ในสมาคมน่าจะเทียบได้กับระดับห้า” 

 

 

ฉินหร่านดูตารางการฝึกฝนเสร็จแล้วก็รู้สึกแปลกใจ  

 

 

อาจารย์เว่ยมองความคิดของเธอออก เขายิ้ม “อย่าคิดว่าระดับห้ามันต่ำนะ เพราะว่านี่เป็นมาตรฐานในการทดสอบดนตรีระดับราชวังของรัฐ M เชียวนะ นักเรียนที่เพิ่งเข้ามาส่วนใหญ่ได้กันแค่ประมาณระดับสามเท่านั้น” 

 

 

“ฉินอวี่น้องสาวของเธอคนนั้น ครั้งแรกที่เข้ามาก็ได้ระดับสี่ หลังจากเรียนกับไต้หรานมาครึ่งปีกว่า ทุกวันฝึกฝนอย่างยากลำบาก ปลายปีที่แล้วถึงจะได้ระดับห้า ไม่นานมานี้ถึงจะขึ้นระดับหกได้ ระดับห้าหกเจ็ดยังถือว่าดี ถ้าถึงระดับแปดแล้ว ในสมาคมน้อยมากที่จะมีระดับแปดที่อายุน้อยกว่ายี่สิบห้าปี” 

 

 

“สิ่งที่ฉันเรียกร้องจากเธอคิดว่าไม่ได้ยากซับซ้อนอะไรมาก เวลาสองเดือนคงจะเรียนเทคนิคต่างๆ ได้ สองเดือนให้หลัง จะดีที่สุดหากเธอได้ระดับหก” อาจารย์เว่ยมองไปที่ฉินหร่านแวบหนึ่ง  

 

 

ภายนอกมีคนที่เรียนไวโอลินอยู่มากมายต่างต้องการที่จะเข้าร่วมสมาคมไวโอลินของเมืองหลวง  

 

 

เป็นเพราะสามารถเรียนเทคนิคที่ยากที่จะหาเรียนได้ภายนอก ในที่แห่งนี้จึงมีอาจารย์และวิธีการสอนระดับนานาชาติ ฉินหร่านนอกจากได้เรียนกับอาจารย์สวีที่ตำบลหนิงไห่อยู่ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว นอกนั้นล้วนแต่เรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการดูวิดีโอ 

 

 

สามารถได้ระดับห้าตามเกณฑ์ของสมาคม นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่อาจารย์เว่ยคิดว่าเธอคือผู้ที่ต้องได้พบพานไม่อาจแสวงหาได้ 

 

 

ฉินหร่านโน้มตัวไปข้างหน้า เอานิ้วลูบคาง “อันดับสูงสุดของภายในสมาคมคือเท่าไหร่คะ” 

 

 

“ระดับสิบ”  อาจารย์ใหญ่เว่ยหัวเราะ 

 

 

ฉินหร่านเลิกคิ้ว “ในสมาคมมีระดับสิบกี่คนคะ” 

 

 

“มีแค่ฉันคนเดียว” อาจารย์ใหญ่เว่ยยกแก้วชาขึ้นอีกครั้ง แล้วดื่มหนึ่งคำ เขายิ้ม 

 

 

ต่อให้เป็นไต้หราน ตอนนี้ก็เพิ่งจะถึงระดับเก้า  ระหว่างระดับเก้าและสิบเป็นช่องว่างที่กว้าง 

 

 

การทดสอบของรัฐ M เคร่งครัดเป็นพิเศษ 

 

 

สมาคมไวโอลินเมืองหลวงคนที่สามารถผ่านถึงระดับเก้า มีเพียงสองคนเท่านั้น  คนที่อยู่ระดับแปดขึ้นไปล้วนแต่เป็นบุคคลระดับอาจารย์ 

 

 

“มะรืนนี้เป็นการแข่งแสดงของสมาชิกใหม่ เธอเข้าร่วมก่อน ไว้หลังจากนั้น ฉันจะให้เหวินอินติดต่อเธอ เหวินอินเธอยังจำได้ไหม” อาจารย์เว่ยนึกถึงงานแสดงแข่งขันของสมาชิกใหม่ขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก 

 

 

เขาต้องรีบกลับไปจัดการกำหนดการพิธีไหว้ครูและตารางเวลา 

 

 

เมื่อทั้งสองคนคุยกันจบ ฟ้าก็เริ่มมืด เฉิงมู่ชวนอาจารย์เว่ยกินข้าว แต่ถูกอาจารย์เว่ยปฏิเสธ เขายังต้องกลับไปจัดการรายชื่อแขกอยู่ 

 

 

เฉิงมู่ส่งทั้งสองคนขึ้นรถไป 

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยและอาไห่ขึ้นรถแล้ว คนขับรถก็ค่อยๆ ออกรถไป 

 

 

“มะรืนนี้งานแสดงแข่งขันสมาชิกใหม่ของคุณหนูฉิน น่าจะได้ระดับห้า ใช่ไหมครับ” อาไห่ไม่เคยได้ยินไวโอลินของฉินหร่าน แต่ได้ฟังที่อาจารย์ใหญ่เว่ยบอกเล่า ก็รู้ว่าคุณหนูฉินน่ากลัวมากเพียงใด 

 

 

บางคนเข้ามาในสมาคมไวโอลินตั้งสองสามปีก็ยังค้างเติ่งอยู่ที่ระดับสี่… 

 

 

 เธอยังไม่ทันเข้ามาก็ถึงระดับห้าแล้ว… 

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยเอนกายกับพนักพิงของเบาะนั่ง เขาถอนใจ “หรานหร่านน่ะนะ เธออะไรก็ดีหมด มีก็แต่ทำอะไรไม่ค่อยจดจ่อ ฉันหวังว่าฉันจะสอนเธอสำเร็จ เรียนไวโอลินจำเป็นต้องทุ่มเท ต้องมีความมุ่งมั่น อัจฉริยะที่สามารถทำอะไรได้โดยง่ายอย่างเธอแบบนี้ง่ายมากที่จะล้มเลิก หวังว่าสองเดือนให้หลังเธอคงจะไปถึงมาตรฐานระดับหก” 

 

 

สำหรับงานแข่งแสดงของสมาชิกใหม่ในวันมะรืน เรื่องนี้สำหรับฉินหร่านก็แค่เข้าร่วมพอผ่านๆ ดังนั้นอาจารย์เว่ยจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย 

 

 

อาจารย์ใหญ่เว่ยกังวลเรื่องความจดจ่อของฉินหร่าน 

 

 

หากกู้ซีฉืออยู่ที่นี่ คงต้องได้เป็นคนบอกอาจารย์เว่ยว่า เขาอาจจะกังวลความจดจ่อของใครคนใดบนโลกก็ได้ แต่อยากได้ประเมินความอดทนของฉินหร่านต่ำไปเป็นอันขาด 

 

 

เธอเป็นถึงผู้หญิงที่สามารถเอาตัวเองเข้าไปอยู่บนเวทีมวยเดนตายได้เชียว 

 

 

หากเธอตัดสินใจที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะทำมันให้ถึงที่สุด 

 

 

ในห้องโถงใหญ่ ฉินหร่านค้นหาไวโอลินที่เจียงหุยมอบให้กับเธอในงานไหว้ครูครั้งก่อนจากกองสัมภาระตัวเอง แล้วเธอก็ใช้นิ้วปรับเสียง 

 

 

เฉิงเจวี้ยนถือแก้วน้ำหนึ่งใบ เอนตัวอีกฝั่งหนึ่งฟังเธอปรับเสียงอย่างใจเย็น รอจนเธอปรับเสียงแล้วถึงพูดขึ้นว่า “ชั้นบนมีห้องเก็บเสียง ไปสิ ฉันพาเธอไป” 

 

 

ฉินหร่านปรับเสียงเสร็จแล้ว ก็ถือไวโอลินเดินตามหลังเขาขึ้นไป 

 

 

ห้องที่อยู่ถัดจากห้องหนังสือถูกต่อเติมเป็นห้องดนตรี 

 

 

คอมพิวเตอร์ โต๊ะหนังสือ ที่มุมยังมีกระดาษเอสี่และปากกาหลากหลายสีวางกองอยู่ นอกนั้นจากนั้นเป็นเครื่องดนตรีประเภทต่างๆ เปียโน ไวโอลิน…คงได้รับกันต่อเติมเป็นพิเศษ ฝั่งตรงข้ามเป็นหน้าต่างยาวถึงพื้น บนพื้นยังปูด้วยพรมอีกชั้นหนึ่ง 

 

 

“เธอลองทดสอบเสียงดูก่อน” เฉิงเจวี้ยนถือแก้วไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหลวงไปในกระเป๋ากางเกง เดินตามหลังเธอ เขาพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ถ้ามีปัญหาอะไร ก็ลงมาแล้วกัน เฉิงจินอีกเดี๋ยวก็จะมา มีอะไรต้องการก็บอกเขา” 

 

 

เฉิงจินอยู่ที่เมืองหลวง สถานะเทียบเท่ากับเฉิงสุ่ยในรัฐ M 

 

 

คราวก่อนที่รัฐ M ฉินหร่านก็เคยพบเฉิงจิน ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้า 

 

 

และเฉิงจินที่อยู่ชั้นล่างยิ่งไม่รู้สึกว่าฉินหร่านเป็นคนแปลกหน้า หลายเดือนก่อนตอนที่ฉินหร่านอยู่ที่รัฐ M เหล่าสมาชิกเกือบจะโดนเฉิงหั่วจัดการ 

 

 

“พี่” เมื่อเห็นเฉิงจิน เฉิงมู่ก็ขึ้นมาจากชั้นล่าง มองไปที่เฉิงจิน แล้วก้มหน้าอย่างละอายใจ 

 

 

ตอนเพิ่งไปถึงรัฐ M เฉิงมู่ถึงพบว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์เสียเหลือเกิน  

 

 

เฉิงจินตอบว่า “อืม” ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เขาเองก็มองไปที่เฉิงมู่ด้วยสายตาประหลาดใจไม่น้อย “ฉันได้ยินเฉิงสุ่ยบอกว่า ดวงของนาย…ต่อไปนี้ก็ทำตัวดีๆ กับคุณหนูฉินแล้วกัน อย่าทำตัวงี่เง่า” 

 

 

ต่อให้เป็นน้องชายของตัวเอง เฉิงจินก็รู้สึกเซ็งอยู่บ้าง ดวงเฉิงมู่มันช่างซวยอะไรเช่นนี้ 

 

 

“ผมรู้แล้ว” เฉิงมู่ยิ่งก้มหน้ามากขึ้น 

 

 

เขายังไม่ลืม ว่าเขายังติดเงินฉินหร่านเกือบจะพันล้าน 

 

 

“แล้วคุณหนูโอวหยาง เฉิงสุ่ยได้พูดอะไรบ้างหรือเปล่า” เฉิงจินนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้  

 

 

เฉิงมู่ส่ายหน้า “ผมไม่ได้คุยเรื่องคุณชายเจวี้ยนกับเธอเลย” 

 

 

“พัฒนาขึ้นแล้วนี่” เฉิงจินพยักหน้า 

 

 

“พี่ครับ…” เฉิงมู่มองไปที่เฉิงจิน “พวกเฉิงสุ่ยและเฉิงหั่วอยู่ที่รัฐ M แล้วพี่มาอยู่ที่เมืองหลวงแทนคุณชายเจวี้ยนทำไมกัน” 

 

 

เฉิงจินนั่งลงบนโซฟา เขาหรี่ตา “เรื่องนี้นายคิดได้เองเหรอ” 

 

 

เฉิงมู่ “…ครับ เมื่อกี้พ่อบ้านเฉิงบอกว่าพี่มีเงินเยอะ มีเงินเยอะมากกว่าเขาอีก” 

 

 

“นี่ก็ถือว่ามีพัฒนาการขึ้นไม่น้อย” เฉิงจินผงกศีรษะ ไม่ได้ต้องปิดดบังเฉิงมู่ไปเสียทุกอย่างอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเล่าให้ฟังเล็กน้อยได้ “ฉันช่วยนายท่านเจวี้ยนจัดการธุรกิจน่ะ” 

 

 

เฉิงมู่เข้าไปพัวพันกับความสับสนที่ยากจะอธิบายอีกครั้งแล้ว 

 

 

…คุณชายเจวี้ยนมีธุรกิจอะไรที่เมืองหลวง 

 

 

…ธุรกิจทั้งหมดของเขาให้คุณหนูใหญ่หมดแล้วไม่ใช่หรือ 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านในเมื่อรับปากเรื่องไวโอลินกับอาจารย์ใหญ่เว่ยแล้ว ก็จะทำเป็นเล่นไม่ได้ มาถึงเมืองหลวงได้สองวัน เธอก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเก็บเสียง 

 

 

ทุกครั้งตอนที่เฉิงเจวี้ยนขึ้นไปส่งอาหาร ก็จะเห็นเธอใส่หูฟังไว้ที่หูอยู่ตลอด ดูการแสดงไวโอลินต่างๆ จากนั้นก็เปิดหนังสือหลายต่อหลายเล่ม 

 

 

สำหรับเวลาอื่นๆ… 

 

 

เฉิงเจวี้ยนเองก็เกรงว่าจะเข้าไปรบกวนเวลาตอนเธอซ้อมไวโอลิน จึงไม่ได้เข้าไป 

 

 

จนกระทั่งถึงวันที่สาม ถึงวันที่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันแสดงไวโอลินของสมาคม จึงได้เปิดประตูออกอย่างเป็นทางการ