เล่มที่ 10 บทที่ 285 ร้านเป่ยโหลว

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจ แต่หัวใจกลับอยากทำให้มันชัดเจน

อย่างน้อยนางก็ควรได้รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือใครมิใช่หรือ?

ฉะนั้นหลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนทุกข์ระทม หลินเมิ้งหยาที่เคยยุ่งกับงานใหญ่จึงตัดสินใจผันตัวเป็นคนขี้นินทา

วันถัดมา นางเรียกคนเข้ามาแต่งตัวให้แต่เช้า

สวมชุดสีแดงสดปักดิ้นทองลายดอกโบตั๋น

ศีรษะประดับรัดเกล้าสีทองอร่าม แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่ยังตกตะลึงกับความงดงาม

วันนี้หาใช่มีงานเลี้ยงหรือวันที่นายหญิงต้องเข้าวัง เหตุใดจึงแต่งตัวงดงามเช่นนี้…

หลินเมิ้งหยาส่องดูตัวเองในกระจก นางพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเพราะเหตุใดพวกนางจึงมองตนเองเช่นนี้

แต่อยู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจ ดึงปิ่นปักผมออกจากศีรษะ แต่ก่อนนางเคยเห็นฮูหยินท่าทางสง่างามในละครทีวี

แต่ตอนนี้พอเรื่องเกิดขึ้นกับตนเองจึงเข้าใจ หากหัวใจของฝ่ายชายมิได้อยู่กับตน ต่อให้นางแต่งตัวงดงามขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์

“ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? เหมือนคนกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอย่างไรอย่างนั้น”

ป๋ายจีรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

หลินเมิ้งหยาเหลือบมองนาง แต่ไม่พูดสิ่งใดออกมา

จะว่าอย่างไรดีนะ? นางควรจะบอกสาวใช้ของตนเรื่องที่หลงเทียนอวี้มีอนุ ดังนั้นนางที่ไม่อาจยอมรับได้จึงคิดจะให้ตามล่าหาอนุนางนั้นเพื่อระบายอารมณ์?

นั่นหาใช่ตัวตนที่แท้จริงของนางไม่

“ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีจึงอยากออกไปเดินเล่น พวกเจ้าไม่ต้องตามข้าไป ได้ยินหรือไม่?”

หากเป็นแต่ก่อน ไม่ว่านางไปที่ใดก็มักจะมีคนห้อมล้อมอยู่เสมอ

เหตุเพราะวันนี้รู้สึกว้าวุ่นใจ นางจึงอยากออกไปเพียงคนเดียว

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะนายหญิง? ด้านนอกอากาศหนาว ร่างกายของท่านบอบบาง หากถูกลมหนาวจนเจ็บป่วยจะทำเช่นไร?”

คนแรกที่ไม่ยินยอมคือป๋ายจี แต่หลินเมิ้งหยายังคงดึงดัน ดังนั้นจึงไม่มีใครหยุดนางได้และต้องจำใจปล่อยนางไปเพียงคนเดียว

ถอดชุดหรูหราออก สวมเพียงชุดสีแดงธรรมดาๆ แม้แต่ทรงผมก็มิได้ตกแต่งแต่อย่างใด

ปักเพียงปิ่นหยกสีขาว ท่าทางของนางมิต่างจากคุณหนูผู้ดีคนหนึ่ง

เดินออกจากจวนมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ ถนนสายนี้ค่อนข้างครึกครื้น หลินเมิ้งหยาเดินไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมายปลายทาง

ไม่ว่าจวนอวี้หรือกลุ่มสามสหาย สิ่งเหล่านี้เป็นเส้นทางชีวิตที่นางต้องเลือกในโลกใบนี้ก็เท่านั้น

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้นางจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน

เดินผ่านถนนใหญ่มาที่มุมถนนแห่งหนึ่ง อยู่ๆ สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นต้นเหมยแดง ดอกเหมยบานสะพรั่งสวยงาม สีแดงของมันชวนมองยิ่งนัก

หลินเมิ้งหยาขยับเข้าไปใกล้ มือสีขาวงดงามดั่งหยกเอื้อมไปสัมผัสดอกเหมย หยาดน้ำค้างหยดลงบนจมูกของนาง

“พระชายาชอบดอกเหมยอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ด้านหลัง เสียงใสเสียงหนึ่งดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหมุนตัวกลับไปมองพลางตั้งท่าป้องกัน แต่นางกลับได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม

คนผู้นี้อายุราวยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมใส่ชุดสีขาวราวหิมะ

ทว่านางรู้สึกคุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบเขาที่ใดมาก่อน

“ดูเหมือนพระชายาจะลืมกระหม่อมไปแล้ว ข้าน้อยชิวอวี้ พวกเราเคยพบกันที่ค่ายทหารของกองทัพสกุลหลินพ่ะย่ะค่ะ”

เขานั่นเอง!

หลินเมิ้งหยานึกออกในทันที ตอนที่พี่ชายกำลังจะกลับมายังเมืองหลวง มีคนได้รับบาดเจ็บในค่ายทหาร ตอนนั้นหมอหลวงคนนี้กับนางเป็นคนช่วยชีวิตคนคนนั้นเอาไว้

“ที่แท้ก็เป็นท่านหมอชิว ข้าเสียมารยาทกับท่านไปแล้ว”

เหตุเพราะเป็นคนรู้จัก ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงลดการป้องกันลง ชายคนนี้เป็นคนมีความสามารถ นับตั้งแต่วันที่เขาช่วยเหลือนางในวันนั้น นางก็มองออกทันที

ชิวอวี้แย้มยิ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาเปี่ยมไปด้วยความยินดี แต่ความยินดีเหล่านั้นมอบให้กับต้นเหมยเพียงเท่านั้น

“เมื่อก่อนตอนกระหม่อมอยู่ที่บ้านเกิด กระหม่อมไม่เคยพบต้นเหมยแดงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ได้ยินมาว่าสวนแห่งนี้มีดินดีที่สามารถปลูกดอกเหมยให้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามได้ แต่ไม่รู้ว่าตกลงแล้วใครเป็นเจ้าของสวนแห่งนี้กันแน่”

หลินเมิ้งหยาหันไปมอง ดอกเหมยที่พวกเขากำลังมองโผล่ออกจากรูที่ถูกสร้างขึ้นบนกำแพง

แม้กำแพงจะไม่สูง แต่กลับเป็นฐานให้ต้นเหมยได้หยัดยืน หลินเมิ้งหยาประหลาดใจเล็กน้อย ต้นเหมยดูเหมือนจะถูกดูแลอย่างดี แต่เมื่อมองลอดผ่านกำแพงเข้าไปกลับเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน

ราวกับว่าต้องการปลูกเพื่อให้ผู้คนชื่นชมแต่เพียงเท่านั้น

“ดูเหมือนคนปลูกจะมิใช่คนโลภ เช่นนั้นพวกเราลองไปดูดีหรือไม่ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ปลูกต้นเหมยเหล่านี้”

ชิวอวี้พยักหน้าเล็กน้อย

ทั้งสองเดินอ้อมกำแพงหนึ่งรอบ แต่กลับไม่เห็นสิ่งที่คล้ายกับประตู

จนกระทั่งเดินอ้อมมาทางด้านหน้าสุด พวกเขาจึงพบว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสวนด้านหลัง

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาจึงได้เห็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่

ร้านแห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่นัดรวมตัวกันของเหล่ากวี ภายในมีทั้งน้ำชาและเหล้า รวมถึงบริกรหญิงหน้าตางดงาม

แต่หญิงสาวเหล่านี้แตกต่างจากร้านชิงโหลว

พวกนางล้วนเป็นนักกวีและมีพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมิอาจใช้เงินซื้อพวกนางได้

ฉะนั้นเถ้าแก่ร้านนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเถ้าแก่ร้านชิงโหลวก็เป็นได้

“ที่แท้ก็เป็นร้านเป่ยโหลวนี่เอง แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ทั้งที่เป็นต้นเหมยแดงต้นใหญ่ขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับมิอาจเข้าไปชื่นชมใกล้ๆ”

ชิวอวี้รำพึงอย่างเสียดาย โดยไม่รู้ว่าเขาเสียดายเพราะต้นเหมยจริงหรือไม่

เป่ยโหลว หลินเมิ้งหยาจับจ้องป้ายร้านอันแสนงดงามแปลกตา อยู่ๆ หัวใจพลันปรากฏภาพหนึ่ง

นางจำได้แล้ว บนเกี้ยวหลังนั้นมีตราประทับดอกเหมยติดอยู่

ใช่แล้ว ผ้าม่านกั้นประตูของเกี้ยวหลังนั้นประทับตราดอกเหมยสีแดง

แม้จะอยู่ในมุมอับ แต่นางจำได้ไม่ลืม

“พระชายา? พระชายา?”

ชิวอวี้มองหลินเมิ้งหยาที่กำลังเหม่อลอย เขาจึงใช้มือโบกตรงหน้านางด้วยความหวังดี

ครั้งแรกที่เจอกัน เขารู้สึกว่าพระชายาเป็นคนกล้าหาญนัก แม้แต่เขายังอดที่จะเลื่อมใสไม่ได้ เหตุใดวันนี้นางจึงมีท่าทางเลื่อนลอยเช่นนี้เล่า?

“ไป พวกเราไปดูกัน”

นางไม่สนใจว่าชิวอวี้จะตอบตกลงหรือไม่ หลินเมิ้งหยาสาวเท้าเข้าไปภายใน

“เอ๋? พวกเรากลับกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่เป็น…”

ทันทีที่สิ้นเสียงของชิวอวี้ เท้าของหลินเมิ้งหยาก้าวมาถึงร้านเป่ยโหลวแล้ว

ไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ ตอนแรกนางคิดว่าที่นี่จะมีที่นั่งอยู่เต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องมีหญิงสาวออกมาต้อนรับ

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเดินผ่านประตูเข้ามา นางจะได้พบกับฉากกั้นสีขาว

ด้านบนมีผลงานที่วาดด้วยน้ำหมึกมากมาย แต่เมื่อลองมองให้ละเอียดแล้วกลับมีผลงานชิ้นเอกเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

ส่วนผลงานชิ้นอื่นๆ เพียงแค่พอไปวัดไปวาได้

“ช้าก่อนคุณผู้หญิง ร้านเป่ยโหลวของเรามีกฎระเบียบเขียนไว้อย่างชัดเจน ลูกค้าใหม่จะต้องเขียนผลงานอันยอดเยี่ยมออกมาก่อน หากเถ้าแก่ร้านพึงพอใจจึงจะเข้าไปภายในได้”

ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งร้องทัก เขายื่นกระดาษและหมึกให้แก่นาง

หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง ก่อนจะพบว่าฉากกั้นอันนี้มีทั้งตัวหนังสือและภาพวาด

คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องทำการทดสอบก่อนจึงจะเข้าไปในร้านเป่ยโหลวได้

“ได้ แม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องกาพย์กลอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอจะวาดภาพได้อยู่ เจ้าเตรียมหมึกหลากสีให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะวาดภาพให้เจ้าดูเอง”

ความคิดพิเรนทร์พลันปรากฏขึ้นในใจ

สมัยอยู่มหาวิทยาลัย นางได้เรียนวิชาการวาดภาพราวสองปี หลังจากได้เห็นดอกเหมยที่อยู่ในสวน นางคิดว่าเจ้าของร้านเป่ยโหลวจะต้องเป็นพวกภายนอกเงียบขรึม แต่ภายในบ้าคลั่งอย่างแน่นอน

มิเช่นนั้นเขาคงสร้างกำแพงขึ้นสูงเพื่อมิให้ใครมองเห็นต้นไม้ของเขาแล้ว

แต่ผู้คนทั่วไปสามารถเห็นดอกเหมยเหล่านั้นได้ ทว่ากลับมิอาจแตะต้อง ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดาย

ไม่นานสิ่งของที่นางต้องการก็ถูกยกออกมา

หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม หยิบพู่กันขึ้นมาวาดเขียน

ไม่นานนางก็วาดเสร็จ

ทว่าไม่ว่าพนักงานต้อนรับหรือชิวอวี้ต่างก็มองไม่ออกว่ามันคืออะไร

ภายในภาพวาดคือกำแพงเตี้ยๆ หนึ่งแถว ด้านหลังกำแพงคือต้นซิ่งฮวา ดอกซิ่งฮวาบานสะพรั่งงดงามมีชีวิตชีวา แต่กลับมีดอกหนึ่งที่ยื่นออกมานอกกำแพง

ด้านนอกกำแพงคือหญิงสาวสวมใส่ชุดสีเหลืองที่กำลังเอียงศีรษะมองดูดอกซิ่งฮวาซึ่งกำลังยื่นออกมาด้วยความประหลาดใจ ทว่าด้านล่างต้นซิ่งฮวามีชายหนุ่มสวมชุดแดงยืนยิ้มอยู่ภายใน

หญิงสาวน่ารักไร้เดียงสา ดวงตากลมโตจ้องมองดอกซิ่งฮวาด้วยความชื่นชม ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างกอดอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูเป็นคนเจ้าเล่ห์

หลังจากลงสีเสร็จ หลินเมิ้งหยามองขึ้นๆ ลงๆ เพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกรอบ ก่อนจะวางพู่กัน

“ไปสิ เอาไปให้เจ้านายของเจ้า ลองดูเถิดว่าเขาจะพึงพอใจหรือไม่”

พนักงานต้อนรับแสดงสีหน้าลำบากใจ

หากอ้างอิงจากในสมัยปัจจุบัน หญิงสาวใบหน้ากลมกลึงดวงตากลมโตกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนหนุ่มสาวสมัยนั้นไปแล้ว

แต่น่าเสียดายที่ในสมัยปัจจุบันกลับเป็นเพียงคนสติไม่สมประกอบ

“คือว่า…ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่ว่าคุณหนูวาดภาพอันใดหรือ?”

หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง

“ข้าคิดว่าเจ้านายของเจ้าจะต้องมองภาพนี้ออกอย่างแน่นอน หากเขาไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าไม่เข้าไปในเป่ยโหลวก็ได้”

พนักงานต้อนรับมีสีหน้างุนงง ชิวอวี้กลับยกยิ้มพลางตบบ่าของพนักงานคนนั้น

“ไปเถิด ตามตัวคุณชายจู๋ออกมา เขาจะต้องเข้าใจความหมายของภาพวาดอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าเขาจะต้องชอบมัน”

ไม่มีทางเลือก เพียงได้เห็นเสื้อผ้าที่คนทั้งสองสวมใส่ก็รู้ได้ว่ามิใช่คนธรรมดา พนักงานต้อนรับจึงรีบหมุนตัววิ่งเข้าไปในร้าน

“เจ้านี่ช่างซุกซนจริงเชียว แต่ว่า…เจ้าเคยได้ยินเรื่องคุณชายจู๋แห่งร้านเป่ยโหลวอย่างนั้นหรือ?”

ชิวอวี้มองภาพวาด แม้ภาพวาดจะแตกต่างจากภาพวาดทั่วไป แต่คนในภาพวาดกลับดูสดใสและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก