หลินเมิ้งหยายังคงรู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย แม้ปากจะบอกว่าไม่สนใจ แต่หัวใจกลับอยากทำให้มันชัดเจน
อย่างน้อยนางก็ควรได้รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นคือใครมิใช่หรือ?
ฉะนั้นหลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนทุกข์ระทม หลินเมิ้งหยาที่เคยยุ่งกับงานใหญ่จึงตัดสินใจผันตัวเป็นคนขี้นินทา
วันถัดมา นางเรียกคนเข้ามาแต่งตัวให้แต่เช้า
สวมชุดสีแดงสดปักดิ้นทองลายดอกโบตั๋น
ศีรษะประดับรัดเกล้าสีทองอร่าม แม้แต่สาวใช้ทั้งสี่ยังตกตะลึงกับความงดงาม
วันนี้หาใช่มีงานเลี้ยงหรือวันที่นายหญิงต้องเข้าวัง เหตุใดจึงแต่งตัวงดงามเช่นนี้…
หลินเมิ้งหยาส่องดูตัวเองในกระจก นางพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเพราะเหตุใดพวกนางจึงมองตนเองเช่นนี้
แต่อยู่ๆ นางก็เปลี่ยนใจ ดึงปิ่นปักผมออกจากศีรษะ แต่ก่อนนางเคยเห็นฮูหยินท่าทางสง่างามในละครทีวี
แต่ตอนนี้พอเรื่องเกิดขึ้นกับตนเองจึงเข้าใจ หากหัวใจของฝ่ายชายมิได้อยู่กับตน ต่อให้นางแต่งตัวงดงามขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์
“ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ? เหมือนคนกำลังมีเรื่องกลุ้มใจอย่างไรอย่างนั้น”
ป๋ายจีรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หลินเมิ้งหยา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองนาง แต่ไม่พูดสิ่งใดออกมา
จะว่าอย่างไรดีนะ? นางควรจะบอกสาวใช้ของตนเรื่องที่หลงเทียนอวี้มีอนุ ดังนั้นนางที่ไม่อาจยอมรับได้จึงคิดจะให้ตามล่าหาอนุนางนั้นเพื่อระบายอารมณ์?
นั่นหาใช่ตัวตนที่แท้จริงของนางไม่
“ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ดีจึงอยากออกไปเดินเล่น พวกเจ้าไม่ต้องตามข้าไป ได้ยินหรือไม่?”
หากเป็นแต่ก่อน ไม่ว่านางไปที่ใดก็มักจะมีคนห้อมล้อมอยู่เสมอ
เหตุเพราะวันนี้รู้สึกว้าวุ่นใจ นางจึงอยากออกไปเพียงคนเดียว
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะนายหญิง? ด้านนอกอากาศหนาว ร่างกายของท่านบอบบาง หากถูกลมหนาวจนเจ็บป่วยจะทำเช่นไร?”
คนแรกที่ไม่ยินยอมคือป๋ายจี แต่หลินเมิ้งหยายังคงดึงดัน ดังนั้นจึงไม่มีใครหยุดนางได้และต้องจำใจปล่อยนางไปเพียงคนเดียว
ถอดชุดหรูหราออก สวมเพียงชุดสีแดงธรรมดาๆ แม้แต่ทรงผมก็มิได้ตกแต่งแต่อย่างใด
ปักเพียงปิ่นหยกสีขาว ท่าทางของนางมิต่างจากคุณหนูผู้ดีคนหนึ่ง
เดินออกจากจวนมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ ถนนสายนี้ค่อนข้างครึกครื้น หลินเมิ้งหยาเดินไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมายปลายทาง
ไม่ว่าจวนอวี้หรือกลุ่มสามสหาย สิ่งเหล่านี้เป็นเส้นทางชีวิตที่นางต้องเลือกในโลกใบนี้ก็เท่านั้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดวันนี้นางจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
เดินผ่านถนนใหญ่มาที่มุมถนนแห่งหนึ่ง อยู่ๆ สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นต้นเหมยแดง ดอกเหมยบานสะพรั่งสวยงาม สีแดงของมันชวนมองยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาขยับเข้าไปใกล้ มือสีขาวงดงามดั่งหยกเอื้อมไปสัมผัสดอกเหมย หยาดน้ำค้างหยดลงบนจมูกของนาง
“พระชายาชอบดอกเหมยอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ด้านหลัง เสียงใสเสียงหนึ่งดังขึ้น หลินเมิ้งหยาหมุนตัวกลับไปมองพลางตั้งท่าป้องกัน แต่นางกลับได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม
คนผู้นี้อายุราวยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เขาสวมใส่ชุดสีขาวราวหิมะ
ทว่านางรู้สึกคุ้นหูคุ้นตาเหลือเกิน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบเขาที่ใดมาก่อน
“ดูเหมือนพระชายาจะลืมกระหม่อมไปแล้ว ข้าน้อยชิวอวี้ พวกเราเคยพบกันที่ค่ายทหารของกองทัพสกุลหลินพ่ะย่ะค่ะ”
เขานั่นเอง!
หลินเมิ้งหยานึกออกในทันที ตอนที่พี่ชายกำลังจะกลับมายังเมืองหลวง มีคนได้รับบาดเจ็บในค่ายทหาร ตอนนั้นหมอหลวงคนนี้กับนางเป็นคนช่วยชีวิตคนคนนั้นเอาไว้
“ที่แท้ก็เป็นท่านหมอชิว ข้าเสียมารยาทกับท่านไปแล้ว”
เหตุเพราะเป็นคนรู้จัก ดังนั้นหลินเมิ้งหยาจึงลดการป้องกันลง ชายคนนี้เป็นคนมีความสามารถ นับตั้งแต่วันที่เขาช่วยเหลือนางในวันนั้น นางก็มองออกทันที
ชิวอวี้แย้มยิ้ม ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาเปี่ยมไปด้วยความยินดี แต่ความยินดีเหล่านั้นมอบให้กับต้นเหมยเพียงเท่านั้น
“เมื่อก่อนตอนกระหม่อมอยู่ที่บ้านเกิด กระหม่อมไม่เคยพบต้นเหมยแดงที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ได้ยินมาว่าสวนแห่งนี้มีดินดีที่สามารถปลูกดอกเหมยให้เติบโตขึ้นมาอย่างงดงามได้ แต่ไม่รู้ว่าตกลงแล้วใครเป็นเจ้าของสวนแห่งนี้กันแน่”
หลินเมิ้งหยาหันไปมอง ดอกเหมยที่พวกเขากำลังมองโผล่ออกจากรูที่ถูกสร้างขึ้นบนกำแพง
แม้กำแพงจะไม่สูง แต่กลับเป็นฐานให้ต้นเหมยได้หยัดยืน หลินเมิ้งหยาประหลาดใจเล็กน้อย ต้นเหมยดูเหมือนจะถูกดูแลอย่างดี แต่เมื่อมองลอดผ่านกำแพงเข้าไปกลับเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจน
ราวกับว่าต้องการปลูกเพื่อให้ผู้คนชื่นชมแต่เพียงเท่านั้น
“ดูเหมือนคนปลูกจะมิใช่คนโลภ เช่นนั้นพวกเราลองไปดูดีหรือไม่ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ปลูกต้นเหมยเหล่านี้”
ชิวอวี้พยักหน้าเล็กน้อย
ทั้งสองเดินอ้อมกำแพงหนึ่งรอบ แต่กลับไม่เห็นสิ่งที่คล้ายกับประตู
จนกระทั่งเดินอ้อมมาทางด้านหน้าสุด พวกเขาจึงพบว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นสวนด้านหลัง
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาจึงได้เห็นร้านที่เพิ่งเปิดใหม่
ร้านแห่งนี้เป็นเหมือนสถานที่นัดรวมตัวกันของเหล่ากวี ภายในมีทั้งน้ำชาและเหล้า รวมถึงบริกรหญิงหน้าตางดงาม
แต่หญิงสาวเหล่านี้แตกต่างจากร้านชิงโหลว
พวกนางล้วนเป็นนักกวีและมีพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นยังมิอาจใช้เงินซื้อพวกนางได้
ฉะนั้นเถ้าแก่ร้านนี้อาจจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเถ้าแก่ร้านชิงโหลวก็เป็นได้
“ที่แท้ก็เป็นร้านเป่ยโหลวนี่เอง แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ทั้งที่เป็นต้นเหมยแดงต้นใหญ่ขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับมิอาจเข้าไปชื่นชมใกล้ๆ”
ชิวอวี้รำพึงอย่างเสียดาย โดยไม่รู้ว่าเขาเสียดายเพราะต้นเหมยจริงหรือไม่
เป่ยโหลว หลินเมิ้งหยาจับจ้องป้ายร้านอันแสนงดงามแปลกตา อยู่ๆ หัวใจพลันปรากฏภาพหนึ่ง
นางจำได้แล้ว บนเกี้ยวหลังนั้นมีตราประทับดอกเหมยติดอยู่
ใช่แล้ว ผ้าม่านกั้นประตูของเกี้ยวหลังนั้นประทับตราดอกเหมยสีแดง
แม้จะอยู่ในมุมอับ แต่นางจำได้ไม่ลืม
“พระชายา? พระชายา?”
ชิวอวี้มองหลินเมิ้งหยาที่กำลังเหม่อลอย เขาจึงใช้มือโบกตรงหน้านางด้วยความหวังดี
ครั้งแรกที่เจอกัน เขารู้สึกว่าพระชายาเป็นคนกล้าหาญนัก แม้แต่เขายังอดที่จะเลื่อมใสไม่ได้ เหตุใดวันนี้นางจึงมีท่าทางเลื่อนลอยเช่นนี้เล่า?
“ไป พวกเราไปดูกัน”
นางไม่สนใจว่าชิวอวี้จะตอบตกลงหรือไม่ หลินเมิ้งหยาสาวเท้าเข้าไปภายใน
“เอ๋? พวกเรากลับกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่เป็น…”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชิวอวี้ เท้าของหลินเมิ้งหยาก้าวมาถึงร้านเป่ยโหลวแล้ว
ไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ ตอนแรกนางคิดว่าที่นี่จะมีที่นั่งอยู่เต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องมีหญิงสาวออกมาต้อนรับ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเดินผ่านประตูเข้ามา นางจะได้พบกับฉากกั้นสีขาว
ด้านบนมีผลงานที่วาดด้วยน้ำหมึกมากมาย แต่เมื่อลองมองให้ละเอียดแล้วกลับมีผลงานชิ้นเอกเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
ส่วนผลงานชิ้นอื่นๆ เพียงแค่พอไปวัดไปวาได้
“ช้าก่อนคุณผู้หญิง ร้านเป่ยโหลวของเรามีกฎระเบียบเขียนไว้อย่างชัดเจน ลูกค้าใหม่จะต้องเขียนผลงานอันยอดเยี่ยมออกมาก่อน หากเถ้าแก่ร้านพึงพอใจจึงจะเข้าไปภายในได้”
ชายวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งร้องทัก เขายื่นกระดาษและหมึกให้แก่นาง
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมอง ก่อนจะพบว่าฉากกั้นอันนี้มีทั้งตัวหนังสือและภาพวาด
คิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องทำการทดสอบก่อนจึงจะเข้าไปในร้านเป่ยโหลวได้
“ได้ แม้ข้าจะไม่ถนัดเรื่องกาพย์กลอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพอจะวาดภาพได้อยู่ เจ้าเตรียมหมึกหลากสีให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะวาดภาพให้เจ้าดูเอง”
ความคิดพิเรนทร์พลันปรากฏขึ้นในใจ
สมัยอยู่มหาวิทยาลัย นางได้เรียนวิชาการวาดภาพราวสองปี หลังจากได้เห็นดอกเหมยที่อยู่ในสวน นางคิดว่าเจ้าของร้านเป่ยโหลวจะต้องเป็นพวกภายนอกเงียบขรึม แต่ภายในบ้าคลั่งอย่างแน่นอน
มิเช่นนั้นเขาคงสร้างกำแพงขึ้นสูงเพื่อมิให้ใครมองเห็นต้นไม้ของเขาแล้ว
แต่ผู้คนทั่วไปสามารถเห็นดอกเหมยเหล่านั้นได้ ทว่ากลับมิอาจแตะต้อง ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดาย
ไม่นานสิ่งของที่นางต้องการก็ถูกยกออกมา
หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม หยิบพู่กันขึ้นมาวาดเขียน
ไม่นานนางก็วาดเสร็จ
ทว่าไม่ว่าพนักงานต้อนรับหรือชิวอวี้ต่างก็มองไม่ออกว่ามันคืออะไร
ภายในภาพวาดคือกำแพงเตี้ยๆ หนึ่งแถว ด้านหลังกำแพงคือต้นซิ่งฮวา ดอกซิ่งฮวาบานสะพรั่งงดงามมีชีวิตชีวา แต่กลับมีดอกหนึ่งที่ยื่นออกมานอกกำแพง
ด้านนอกกำแพงคือหญิงสาวสวมใส่ชุดสีเหลืองที่กำลังเอียงศีรษะมองดูดอกซิ่งฮวาซึ่งกำลังยื่นออกมาด้วยความประหลาดใจ ทว่าด้านล่างต้นซิ่งฮวามีชายหนุ่มสวมชุดแดงยืนยิ้มอยู่ภายใน
หญิงสาวน่ารักไร้เดียงสา ดวงตากลมโตจ้องมองดอกซิ่งฮวาด้วยความชื่นชม ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างกอดอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็ดูเป็นคนเจ้าเล่ห์
หลังจากลงสีเสร็จ หลินเมิ้งหยามองขึ้นๆ ลงๆ เพื่อสำรวจความเรียบร้อยอีกรอบ ก่อนจะวางพู่กัน
“ไปสิ เอาไปให้เจ้านายของเจ้า ลองดูเถิดว่าเขาจะพึงพอใจหรือไม่”
พนักงานต้อนรับแสดงสีหน้าลำบากใจ
หากอ้างอิงจากในสมัยปัจจุบัน หญิงสาวใบหน้ากลมกลึงดวงตากลมโตกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของคนหนุ่มสาวสมัยนั้นไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ในสมัยปัจจุบันกลับเป็นเพียงคนสติไม่สมประกอบ
“คือว่า…ข้าน้อยขอถามได้หรือไม่ว่าคุณหนูวาดภาพอันใดหรือ?”
หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง
“ข้าคิดว่าเจ้านายของเจ้าจะต้องมองภาพนี้ออกอย่างแน่นอน หากเขาไม่เข้าใจ เช่นนั้นข้าไม่เข้าไปในเป่ยโหลวก็ได้”
พนักงานต้อนรับมีสีหน้างุนงง ชิวอวี้กลับยกยิ้มพลางตบบ่าของพนักงานคนนั้น
“ไปเถิด ตามตัวคุณชายจู๋ออกมา เขาจะต้องเข้าใจความหมายของภาพวาดอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าเขาจะต้องชอบมัน”
ไม่มีทางเลือก เพียงได้เห็นเสื้อผ้าที่คนทั้งสองสวมใส่ก็รู้ได้ว่ามิใช่คนธรรมดา พนักงานต้อนรับจึงรีบหมุนตัววิ่งเข้าไปในร้าน
“เจ้านี่ช่างซุกซนจริงเชียว แต่ว่า…เจ้าเคยได้ยินเรื่องคุณชายจู๋แห่งร้านเป่ยโหลวอย่างนั้นหรือ?”
ชิวอวี้มองภาพวาด แม้ภาพวาดจะแตกต่างจากภาพวาดทั่วไป แต่คนในภาพวาดกลับดูสดใสและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก