เล่มที่ 10 บทที่ 286 ดอกเหมยทิ่มตา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า คุณชายจู๋คุณชายเหมยอะไรกัน? ทุกวันนางมีงานให้ทำมากมายจนไม่มีเวลาสนใจสิ่งอื่นใด แน่นอนว่านางย่อมไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้

เมื่อเห็นสายตาว่างเปล่าของนาง ชิวอวี้ยิ้มแหย

ตอนแรกเขาคิดว่าชายาอวี้ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว คิดไม่ถึงเลยจริงๆ

“คุณชายจู๋คือเจ้าของเป่ยโหลวแห่งนี้ ภาพวาดของท่านจะต้องเข้าตาเขาอย่างแน่นอน”

หลินเมิ้งหยารับรู้ได้ถึงความนัยบางอย่างในคำพูดของชิวอวี้

ทว่าขณะที่คิดจะเอ่ยถาม นางเห็นว่ามีคนเดินมาจากด้านหลังฉากกั้น

“ข้าได้ยินมาว่าลูกค้าที่มาใหม่ท่านนี้มีความสามารถมากเหลือเกิน มิทราบว่าท่านเป็นคุณหนูจากสกุลใดกระนั้นหรือ?”

หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วสูง คุณชายจู๋? เขาควรจะเป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ?

แต่เหตุใดคนที่ปรากฏต่อหน้านางจึงเป็นผู้หญิงเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้หญิงที่ใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอีกด้วย

ผ้าคลุมสีแดงฉานเสมือนกองเพลิง

ผ้าคลุมหน้ามิอาจปิดบังดวงตาคู่สวยที่สามารถมองทะลุใจคนได้ แต่กลับไร้ซึ่งท่าทางหยิ่งผยองและข่มเหงผู้อื่น

หลินเมิ้งหยาสบตากับนาง ก่อนจะรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง

ดังนั้นนางจึงจุดยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ถึงกระนั้นก็มิได้เอ่ยแนะนำตนเอง

“นางเป็นน้องสาวของข้าน้อยเอง ได้ยินมาว่าที่เป่ยโหลวแห่งนี้มีแต่คนมากความสามารถ ซ้ำยังมีดอกเหมยที่สวยงาม ดังนั้นจึงอยากมาชื่นชมดูสักครั้ง คุณชายจู๋อย่าได้เข้าใจผิดไปเลย”

ราวกับชิวอวี้สนิทสนมกับหญิงสาวตรงหน้าดี เขายกยิ้มอย่างมีมารยาท

เพียงได้ยินว่าเป็นน้องสาวของชิวอวี้ สายตาของคุณชายจู๋พลันอ่อนโยนลง

“จริงๆ เลย ในเมื่อเป็นน้องสาวของคุณชายชิว เช่นนั้นพาเข้ามาเลยก็ได้นี่นา ต้องโทษคนของข้าที่ต้อนรับไม่ดีจนพวกท่านต้องเห็นเรื่องน่าอับอายเข้าเสียแล้ว”

หลินเมิ้งหยามิได้เอ่ยอันใด คุณชายจู๋เสมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว คำพูดสวยหรู แต่มิได้มีความหมายอื่นใดเป็นพิเศษ

นางทำเพียงผงกศีรษะลง

“ข้าได้ยินท่านลุงหลี่เล่าว่าคุณหนูคนนี้วาดภาพออกมาได้น่าสนใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นใดอย่างนั้นหรือ?”

น้ำเสียงของคุณชายจู๋ไร้ซึ่งการดูถูก ราวกับนางต้องการมาชื่นชมภาพวาดจริงๆ

ชิวอวี้เม้มปากหัวเราะ ก่อนจะชี้นิ้วไปทาง “ผลงานชิ้นเอก” ของหลินเมิ้งหยา

หลังจากที่คุณชายจู๋ได้เห็นภาพวาดภาพนั้นแล้ว นางตกตะลึงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น นางจ้องมองอยู่นาน

“จริงๆ ด้วย …ช่างเป็นภาพวาดที่มีจิตวิญญาณยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นข้าก็มิรู้จักภาพนี้เท่าที่ควร แต่ดูเหมือนคุณหนูท่านนี้จะเข้าใจผิดแล้ว ดอกเหมยที่สวนด้านหลังเป็นต้นไม้ที่คนในเมืองหลวงต่างชื่นชมและอยากให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม หาใช่ความประสงค์ของข้าเพียงคนเดียวไม่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้คุณหนูเข้าใจผิด”

คุณชายจู๋อธิบายด้วยท่าทางหนักใจ

อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม? ดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างเสียมากกว่า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าคงเข้าใจคุณชายจู๋ผิดไปแล้ว ขออภัย”

ทั้งสองยอมถอยคนละหนึ่งก้าว ชิวอวี้เองก็เข้าใจถึงเหตุผลเหล่านั้นดี มีเพียงลุงหลี่เท่านั้นที่ยังคงงุนงง

ตกลงภาพนี้หมายถึงอะไรกันแน่?

“คุณชายชิว ข้าขออนุญาตเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของคุณหนูได้หรือไม่?”

หลินเมิ้งหยาที่คิดจะตอบว่าตนเองสกุลหลินเปลี่ยนใจในตอนท้าย

“ข้าสกุลโจว ชื่อมีเพียงพยางค์เดียวคือฮุ่ย ยินดีที่ได้พบกับคุณชายจู๋”

ดวงตาของชิวอวี้เปล่งประกาย แต่ถึงกระนั้นก็ทำเพียงยิ้มและมิได้เผยความลับของนาง

“ยินดีที่ได้พบคุณหนูโจว เชิญทั้งสองท่านด้านในเถิด”

คุณชายจู๋แสดงความใจกว้างเชื้อเชิญทั้งสอง

หลินเมิ้งหยาเหลือบมองภาพวาดของตนเอง ก่อนจะเดินตามเข้าไป

มีเพียงลุงหลี่ที่ยังคงแสดงสีหน้างุนงงขณะมองภาพวาด เขามองเห็นเพียงแค่หญิงสาวใส่ชุดสีเหลืองและชายหนุ่มสวมชุดแดงเท่านั้น

“ช้าก่อนคุณชายชิว ข้าน้อยยังไม่เข้าใจ ภาพวาดนี้…หมายถึงสิ่งใดหรือ?”

ชิวอวี้หันไปมองลุงหลี่ ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้า ชายาอวี้ช่างมีนิสัยขี้เล่นยิ่งนัก

“นี่น่ะหรือ…จิ้งจอกหยอกไก่อย่างไรเล่า”

พูดจบ เขารีบเดินตามหลินเมิ้งหยาไป ทิ้งไว้เพียงลุงหลี่ที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าไก่และจิ้งจอกอยู่ตรงไหน

เดินตามหลังคุณชายจู๋ หลินเมิ้งหยาเพิ่งรู้ว่าที่นี่ไม่เหมือนโรงน้ำชาแห่งอื่น

เมื่อเปรียบเทียบการตกแต่ง ที่นี่มิต่างอันใดจากร้านหรูอี้โหลว แต่ร้านเป่ยโหลวมีบรรยากาศเป็นธรรมชาติกว่ามาก

ด้านหลังฉากกั้น เหล่าผู้คนมิได้ส่งเสียงเอะอะโวยวาย แต่กลับนั่งคุยกันด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม

ด้านในสุดหาใช่เวทีร่ายรำ แต่กลับเป็นต้นเหมยขนาดใหญ่ บริเวณรอบๆ มีต้นไม้ขนาดใหญ่อีกสองสามต้น

ทว่านอกจากต้นเหมยที่กำลังบานสะพรั่ง อีกสามต้นที่เหลือกลับเหี่ยวเฉาและกำลังยืนต้นตาย

ดูเหมือนคุณชายจู๋คนนี้จะมีจิตใจงดงามยิ่งนัก

“การมาเยือนของคุณชายชิวและคุณหนูโจวช่างบังเอิญยิ่งนัก วันนี้ดอกเหมยบานสะพรั่งงดงามพอดี ลูกค้าส่วนใหญ่นั่งชมดอกเหมยอยู่ที่สวนด้านหลัง ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสองอยากไปเยี่ยมชมหรือไม่?”

คุณชายจู๋เป็นคนเอาใจใส่ ทว่าหลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะปฏิเสธด้วยท่าทางสุภาพ

เหตุเพราะนางค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง และนางก็ไม่อยากออกหน้าทำให้ใครรู้จักหรือจดจำนางได้

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะ เช่นนั้นคุณชายจู๋สามารถช่วยข้าหาสถานที่ซึ่งสามารถรับชมดอกเหมยด้วยได้หรือไม่ ส่วนพี่ชายท่านนี้ของข้า…”

หลินเมิ้งหยาหันไปทางชิวอวี้ เตรียมจะขอความคิดเห็นจากเขา

“ข้าเหรอ? ข้าต้องไปกับน้องสาวอยู่แล้ว มิเช่นนั้นท่านน้าคงกลืนข้าทั้งเป็นอย่างแน่นอน”

เมื่อได้เห็นหน้าตาไร้ซึ่งพิษภัยของชิวอวี้ หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มอ่อนหวาน

คุณชายจู๋เป็นคนฉลาด รีบออกคำสั่งกับลูกน้อง ก่อนจะพาทั้งสองขึ้นไปบนชั้นสองของร้าน

เปิดประตูห้องส่วนตัวกว้างขวางห้องหนึ่ง ข้างในตกแต่งอย่างเรียบง่าย ไม่ว่าโต๊ะหรือเก้าอี้ล้วนทำขึ้นจากไม้

แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ หลินเมิ้งหยาต้องรู้สึกประหลาดใจ เหตุเพราะทั้งโต๊ะและเก้าอี้ล้วนดูเก่าแก่โบราณ ไม่เหมือนของที่เพิ่งสั่งทำมาไม่นาน

“ท่านทั้งสองพึงพอใจหรือไม่? แม้ที่นี่จะเงียบไปสักหน่อย แต่ก็สามารถรับชมความงดงามของดอกเหมยได้ เฉียนเหอ ป๋ายฮุ่ย พวกเจ้าจงรับใช้แขกทั้งสองให้ดี เชิญพวกท่านทั้งสองตามสบาย ข้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการจึงต้องขอตัวก่อน”

คุณชายจู๋โค้งคำนับก่อนจะจากไป

จากนั้นหญิงสาวสวมใส่ผ้าปิดหน้าจึงเข้ามาโค้งคำนับและปิดประตู ราวกับว่าพวกนางมีหน้าที่ป้องกันประตูอย่างไรอย่างนั้น

“แปลกจริง เหตุใดผู้หญิงที่นี่จึงต้องปิดบังใบหน้าด้วยเล่า?”

หลินเมิ้งหยานั่งชิดโต๊ะขณะเอ่ยถาม

ชิวอวี้หยักยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ

“ร้านแห่งนี้หาใช่สถานที่ขายความรื่นรมย์ บางทีสาเหตุที่พวกนางสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าก็เพราะมิอยากให้เป็นที่สนใจก็เป็นได้”

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะแขกหรือนักปราชญ์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายทั้งสิ้น ขอเพียงเป็นชาย พวกเขามักมีอุปนิสัยล่อแหลมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ก็เหมือนกับคนหลายใจหลงเทียนอวี้นั่นแหละ

แต่เมื่อนึกถึงหลงเทียนอวี้ขึ้นมา หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แม้คุณชายซูจะสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่การที่นางสามารถดูแลกิจการของร้านเป่ยโหลวให้เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้ แสดงว่านางต้องมิใช่คนธรรมดา

หรือคนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือคืนนั้นจะเป็นนาง?

“พี่ชิว ท่านรู้หรือไม่ว่าในเมืองหลวงมีที่ใดใช้สัญลักษณ์ดอกเหมยบ้าง?”

ส่งเสียงเรียกชิวอวี้ว่าพี่ชายอย่างไม่กระดากปาก ชิวอวี้รู้สึกดีกับหลินเมิ้งหยามากขึ้น แม้นางจะมีฐานะสูงส่ง แต่กลับมิถือตัวเลยแม้แต่น้อย

เขาครุ่นคิดก่อนจะตอบ

“สัญลักษณ์รูปดอกเหมย? เกรงว่าจะมีแค่ที่นี่ที่เดียว ที่นี่นอกจากจะมีคุณชายจู๋แล้ว ก็ยังมีคุณชายเหมยอีกด้วย แต่นางมิปรากฏตัวออกมาง่ายๆ ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาเห็นจะมีเพียงคุณชายซูเพียงคนเดียวที่คอยจัดการดูแลร้าน เป็นอะไรไป? เจ้ายังไม่พึงพอใจกับดอกเหมยที่นี่กระนั้นหรือ? เกรงว่าในเมืองหลวงจะไม่มีที่ใดงดงามเท่าที่นี่แล้ว”

คำพูดของชิวอวี้มิได้เข้าหูหลินเมิ้งหยาเลยแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่าสัญลักษณ์ดอกเหมยเป็นของร้านเป่ยโหลว

นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ดอกเหมยแดงบานสะพรั่งงดงาม เพราะเหตุนี้แม้แต่หลงเทียนอวี้จึงมิอาจทานทนต่อกลิ่นหอมเย็นชื่นใจของมันอย่างนั้นสินะ

คนที่จะเปิดร้านเป่ยโหลวได้จะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ถอนหายใจยาว ทั้งที่รู้เหตุผลแล้ว แต่นางกลับยังรู้สึกไม่สบายใจ

แม้จะรู้ว่านางเป็นหนึ่งในเจ้าของร้านเป่ยโหลวแล้วอย่างไรเล่า? ไร้เหตุผลเหลือเกิน มิต่างอันใดจากเมียหลวงจอมราวี

นางไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองเป็นเช่นนั้น

ดอกเหมยสีแดงสดดั่งโลหิตกลายเป็นหนามยอกอก หลินเมิ้งหยาหมุนตัว ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินออกไป

“เจ้าจะไปไหน?”

ชิวอวี้รีบเดินตามพร้อมร้องถาม

เขาได้เห็นเพียงท่าทางร้อนใจของชายาอวี้ที่กำลังเดินลับหายไปจากบันไดร้านเป่ยโหลว คิ้วพลันขมวดเข้าหากันแน่น

ได้ยินสำนักหมอหลวงเล่าว่าช่วงนี้พวกขุนนางร่วมมือกันเสนอชื่อหมอเพื่อเข้ามารักษาพระอาการประชวรของฮ่องเต้

คนที่ได้รับเสียงเห็นด้วยมากที่สุดคือชายาอวี้คนนี้

ทว่าเท่าที่เขาดู ชายาอวี้เป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ แต่วังหลวงไม่เหมือนที่อื่น เกรงว่าชายาอวี้จะยังไม่รู้จักวังหลวงดีพอ

ในเมื่อนางเรียกเขาว่าพี่แล้ว เช่นนั้นเขาควรจะเตือนนาง

หลังจากตัดสินใจแล้ว เขาจึงเดินออกจากร้านเป่ยโหลวเช่นเดียวกัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางจวนอวี้

ระหว่างทาง หลินเมิ้งหยาราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก หัวใจของนางกำลังว้าวุ่น