บทที่ 397 เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือเปล่า / บทที่ 398 มอบเกียรตินี้ให้กับนาย Ink Stone_Romance
บทที่ 397 เคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือเปล่า
ผู้ที่เดินนำมาสามคน คนตรงกลางมีหน้าตาค่อนไปทางเอเชียที่สูงเมตรเก้าสิบ สวมเสื้อกั๊กลายพราง หน้าตาดุดัน กล้ามเนื้อแขนปูดโปน จนเห็นเส้นเลือดชัดเจน สิ่งที่ทำให้ต้องชำเลืองมองคือรอยสักรูปไม้กางเขนที่แขนข้างซ้ายของเขา
คนด้านซ้ายใช้สีน้ำวาดจนกลายเป็นโจ๊กเกอร์ มีรอยยิ้มน่าขนลุก เขามีรูปร่างบางผอมและเตี้ย ทว่ากลับพาดอาวุธที่มีน้ำหนักมากไว้บนไหล่ กระสุนระเบิดเมื่อครู่เป็นเขาที่ยิงออกมานั่นเอง
ชายหนุ่มด้านขวามีผมสีทองดวงตาสีฟ้า ผิวเนียนขาว รูปร่างหน้าตาค่อนไปทางผู้หญิง ท่าทางเจ้าเล่ห์ สวมชุดสูทสีขาวทั้งตัว กำลังมองมาทางหลิวอิ่งด้วยท่าทางเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
หลังจากมองเห็นคนทั้งสามชัดเจน ร่างกายของหลิวอิ่งพลันตึงเครียดราวกับคันศรที่ถูกดึงจนสุด ทั่วทั้งร่างกำลังเข้าสู่โหมดระวังภัย
คนตรงกลางที่มีรอยสักไม้กางเขนบนแขนคนนั้นเป็นหัวหน้าของพันธมิตรเลือด มีฉายาว่า K ไม่มีใครรู้ถึงชื่อจริงและประวัติความเป็นมาของเขา
คนทางด้านซ้ายและขวาของ K เป็นผู้ช่วยของเขาชื่อว่าโจ๊กเกอร์เจสัน
หนุ่มจิ้งจอกผมสีทองตาสีฟ้าที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือเลยมีชื่อว่ายูจีน คนที่ดูเหมือนจะมีพละกำลังน้อยที่สุด อันที่จริงแล้วกลับโหดเหี้ยมน่ากลัวที่สุด
ที่เขาไม่ชอบใช้อาวุธ ก็เพราะว่าสิ่งที่เขาชอบที่สุดคือการที่ได้แหกอกแหวกท้องคนด้วยมือตัวเอง ยอดฝีมือที่จบชีวิตใต้น้ำมือของเขานั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน
ยูจีนและเจสันเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ของประเทศ M ชื่อเสียงเหม็นโฉ่กระฉ่อนไปทั่ว
“เป็นพันธมิตรเลือดจริงๆ ด้วย…” หลังจากที่เห็นผู้นำทั้งสาม ความหวังสุดท้ายในใจของสวี่อี้ก็ดับสิ้นแล้ว
แม้ว่าจะเป็นองค์กรที่เกือบจะเป็นตำนานมีคนเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงน้อยมาก แต่แค่มองดูลักษณะเด่นของพวกเขาก็เพียงพอที่จะเดาตัวตนของพวกเขาได้แล้ว
“น่าตายนัก!” หลิวอิ่งสบถ
ทุกคนรีบลงจากรถ เผชิญหน้ากับกลุ่มคนตรงหน้าราวเจอศัตรูตัวฉกาจ
หนุ่มจิ้งจอกยูจีนลูบนิ้วมือที่ยาวกว่าคนทั่วไปเท่าหนึ่ง มองหลิวอิ่งที่ถูกไฟไหม้ผมไปครึ่งหนึ่งจนหน้าดำปื้น ยิ้มจนใบหน้าดูน่าขนลุก “ฮึ นายคือหลิวอิ่ง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของซือเยี่ยหานงั้นเหรอ?”
สายตาดูถูกที่เหมือนกับมองมดกับขยะของฝ่ายตรงข้ามได้จุดความเพลิงโกรธของหลิวอิ่งให้ลุกโชนขึ้นทันที
หลิวอิ่งกำลังจะขยับ สวี่อี้กลับดึงเขาไว้ จากนั้นก้าวเท้าออกไปพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อรู้ว่าพวกเราเป็นใคร ขอถามสักประโยค ตระกูลซือกับพันธมิตรของท่านไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดพันธมิตรของคุณถึงไม่ยอมปล่อยพวกเราไป?”
ยูจีนหัวเราะขึ้นเบาๆ “หืม? ไม่มีความแค้นต่อกัน แล้วฉันจะฆ่าซือเยี่ยหานไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
“แก…” ได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาง่ายๆ ว่าจะฆ่าซือเยี่ยหานแบบนี้ หลิวอิ่งโกรธเสียจนเส้นเอ็นที่มือปูดโปน
สวี่อี้แค่นหัวเราะ “ย่อมได้อยู่แล้ว ผมก็เชื่อว่าพวกคุณมีความสามารถที่จะทำอย่างนั้น แต่พวกคุณเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือเปล่า?”
หากวันนี้พวกเขาตายอยู่ที่นี่จริงๆ หากซือเยี่ยหานจบชีวิตลงที่นี่ เช่นนั้นพันธมิตรเลือดก็จะต้องเตรียมตัวรับเพลิงโกรธของตระกูลซือ!
ต่อให้พันธมิตรเลือดจะยิ่งใหญ่อีกสักแค่ไหน ก็ไม่อาจต่อกรกับทั้งตระกูลซือได้
ดังนั้นสวี่อี้ถึงได้แปลกใจ ว่าเหตุใดพันธมิตรเลือดถึงได้กล้าทำเช่นนี้ กล้าที่จะเสี่ยงมากขนาดนี้
สวี่อี้พยายามฝืนนิ่ง กล่าวต่อไปว่า “ไม่ว่าเป้าหมายของพวกคุณคืออะไร หรือว่ารับคำไหว้วานจากใครมา ผมก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก”
หลังจากได้ยินคำข่มขู่จากสวี่อี้ ใบหน้าของผู้นำทั้งสามเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ในขณะที่สวี่อี้เกิดความหวังริบหรี่ขึ้นนั้นเอง ยูจีนพลันหลุดหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา “ฮึ แต่ว่า ทำอย่างไรดีล่ะ? ฉันเป็นพวกชอบภารกิจยากๆ แบบนี้น่ะสิ!”
โจ๊กเกอร์เจสันที่อยู่ด้านข้างก็ร่วมหัวเราะด้วยอย่างชอบใจ เสียงแหบแห้งเอ่ยเสียดแทง “ฉันรอไม่ไหวแล้ว!”
……………………………………………………..
บทที่ 398 มอบเกียรตินี้ให้กับนาย
อีกด้านหนึ่ง
เยี่ยหวันหวั่นถูกพามาส่งยังพื้นที่ปลอดภัยแล้ว
“คุณหนูเยี่ยขึ้นเครื่องเถอะครับ” หนึ่งในบอดี้การ์ดลับเอ่ยเสียงเย็นชา
เยี่ยหวันหวั่นกวาดสายตาไร้ความรู้สึกไปยังบอดี้การ์ดลับทั้งสอง พลันเอ่ย “ใครบอกว่าฉันจะไป?”
บอดี้การ์ดลับอีกคนที่มีน้ำเสียงนิ่งสงบมาตลอด ในที่สุดก็แฝงความรำคาญ “คุณหนูเยี่ย สถานการณ์ตอนนี้อันตรายมาก กรุณาอย่าเอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่น”
คนอย่างพวกเขาเดิมทีต้องคอยอยู่คุ้มกันข้างกายนายท่าน ทว่าบัดนี้กลับถูกสั่งให้มาคอยคุ้มกันเพื่อส่งผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ว่าผู้หญิงคนนี้กลับก่อเรื่องไม่รู้จบ ต่อให้ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี พวกเขาก็อดทนจนถึงขีดสุดไปนานแล้ว
เยี่ยหวันหวั่นไม่สนใจคำพูดของบอดี้การ์ดลับ เปิดกระเป๋าสัมภาระของตัวเองที่วางอยู่ข้างมือมาตลอดด้วยความว่องไว
ข้างในกระเป๋าเป็นเสื้อผ้าทั้งหมด…
เยี่ยหวันหวั่นหยิบกระโปร่งฟูฟ่องสีดำและหมวกผ้าโปร่งย้อนยุคสีดำมาเข้าชุดกันอย่างรวดเร็ว พลางเหลือบหางตามองนาฬิกาข้อมือ จากนั้นก็สั่งบอดี้การ์ดลับทั้งสองทันที “พวกนายที่ซุ่มแอบอยู่ยังมีอีกกี่คน? ให้พวกเขาออกมาให้หมด แล้วเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าในกระเป๋านี้ทุกคน!”
มันเวลาไหนแล้ว เธอยังมีแก่ใจมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่อีก ทั้งยังจะให้พวกเขาเปลี่ยนด้วย?
ผู้หญิงคนนี้รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?
บอดี้การ์ดลับสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พลางกล่าว “คุณหนูเยี่ย ขอคุณ…”
สายตาของเยี่ยหวันหวั่นเปลี่ยนเป็นเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งโดยพลัน ห้อมล้อมไปด้วยแรงขมขู่ขนาดใหญ่ พลางตวาดออกไป “หุบปาก หากไม่อยากให้นายท่านของพวกนายตาย ก็ทำตามที่ฉันบอก! ฉันจะพูดอีกครั้งเดียว ให้บอดี้การ์ดลับทุกคนมารวมตัวกันทันที เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยภายในสามนาที! แล้วตามฉันมา!”
ผู้หญิงคนนี้หมายความว่าอย่างไร…
กว่าจะหนีออกมาได้ไม่ง่ายเลย คิดจะกลับไปอีกเหรอ?
ผู้หญิงคนนี้รักตัวกลัวตายจนทิ้งนายท่านมาไม่ใช่เหรอ?
“รู้จักกุหลาบแห่งความตายไหม?” เยี่ยหวันหวั่นถามขึ้นพลางมองไปทางหัวหน้าบอดี้การ์ดลับ
ได้ยินชื่อนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย พิจารณาคำพูดอยู่นานถึงได้เอ่ยว่า “องค์กรหนึ่งในตำนาน…”
หากบอกว่าพันธมิตรเลือดโหดร้ายละก็ เช่นนั้นแค่องค์กรกุหลาบแห่งความตายก็เพียงพอที่จะทำลายหนึ่งประเทศได้เลย ทว่าไม่เคยมีใครเห็นหน้าตาของสมาชิกองค์กรคนใดเลย เพราะว่าคนที่เคยพบล้วนตายไปหมดแล้ว
ผู้หญิงคนนี้จู่ๆ พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม?
แล้วเธอรู้จักองค์กรที่แม้แต่คนอย่างพวกเขายังมีน้อยคนที่จะรู้จักได้อย่างไร?
เยี่ยหวันหวั่นสวมหมวก ใบหน้าที่คั่นไว้ด้วยผ้าโปร่งสีดำดูลึกลับและเย็นชา ให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พลางเอ่ย “ตอนนี้ พวกเราก็คือกุหลาบแห่งความตาย!”
อะ…อะไรนะ?
ความหมายของเธอคือ…ให้พวกเขาปลอมตัวเป็นกุหลาบแห่งความตาย?
แม้จะบอกว่ากุหลาบแห่งความตายอาจจะเป็นองค์กรเดียวที่พันธมิตรเลือดเกรงกลัว แต่คนของพันธมิตรเลือดจะโง่ ถึงขั้นถูกหลอกด้วยการปลอมตัวที่ไม่เนียนแบบนี้ได้อย่างไร?
“คุณจะใช้อะไรมาหลอกให้พันธมิตรเลือดให้เชื่อในการปลอมตัวไม่เนียนแบบนี้?” หัวหน้าบอดี้การ์ดลับอดที่จะถามออกไปไม่ได้
สายตาของเยี่ยหวันหวั่นภายใต้ผ้าโปร่งสีดำชำเลืองมองไปทางบอดี้การ์ดลับที่สงสัยในตัวเธอ พลางกล่าว “พวกนายต้องเชื่อฉันเท่านั้น”
หากไม่ได้เตรียมการไว้เลย เธอไม่กล้าเสี่ยงอันตรายแบบนี้เป็นแน่ แต่ในชาติก่อนเธอเคยได้ยินรายละเอียดเกี่ยวกับกุหลาบแห่งความตาย และความลับที่น้อยคนนักจะล่วงรู้…
……
ฝุ่นทรายฟุ้งกระจาย
สวี่อี้และหลิวอิ่งสีหน้าหม่นหมองสบตากันและกัน ดูจากท่าทีของคนแก๊งค์นี้แล้ว…มีที่พึ่งพิงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น…
หัวหน้า K ที่เงียบมาโดยตลอดจุดบุหรี่ พลางโบกมืออย่างรำคาญ “รีบสู้รีบจบ! ฉันมีธุระต่ออีก!”
วินาทีที่คำพูดของ K จบลง พวกหลิวอิ่งที่อยู่ตรงข้าม เส้นประสาทพลันตึงเครียดขึ้นมา ทุกคนเข้าสู่ท่าพร้อมต่อสู้
ยูจีนที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำพูดนี้จึงเอ่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “K อย่าทำแบบนี้สิ นานๆ จะมีเรื่องสนุกแบบนี้ ให้ฉันเล่นสนุกหน่อยได้ไหม ถ้านายมีธุระจะไปก่อนได้นะ!”
K คีบบุหรี่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันกล่าว “อย่าก่อเรื่อง”
ภารกิจครั้งนี้ไม่ได้สบาย คนพวกนี้ของซือเยี่ยหานไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ
ยูจีนเข้าใจถึงความกังวลของอีกฝ่ายดี ทว่าก็หัวเราะอย่างดูแคลน “K นายกลายเป็นคนขี้ขลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร? พวกลูกไก่ในกำมือ นายยังต้องกลัวว่าพวกมันจะหนีไปได้อีกเหรอ?”
K มองเขาตาขวาง พลันกล่าว “ให้เวลานายครึ่งชั่วโมง”
“ชิส์…”
ยูจีนแม้จะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่กล้ายั่วโมโหอีกฝ่ายจริงๆ รับปากไปอย่างไม่เต็มใจ
ดวงตาสีมรกตของยูจีนแผ่รังสีเย็นชาแปลกประหลาด ลิ้นสีแดงเลือดหมูเลียนิ้วของตนเองอย่างหิวกระหาย นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความปราถนาที่จะสังหารและความกระหายเลือดอย่างอดใจไม่ได้ พร้อมกับกวาดสายตามองหลิวอิ่งและพวกที่อยู่ตรงข้าม “เป็นอย่างไร? ท่านทั้งหลายสนใจจะเล่นเกมกับฉันหน่อยไหม?”
สวี่อี้ทางด้านหนึ่งก็สั่งการเงียบๆ ให้คนคอยคุ้มกันรถคันนั้นที่อยู่ตรงกลางสุด เตรียมพร้อมหากมีสถานการณ์ไม่เข้าทีให้คนคุ้มกันนายท่านหนีไปก่อน ทางด้านหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “เชิญว่ามา”
หากสามารถถ่วงเวลาได้อีกแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นเรื่องดี…
แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้จะถ่วงเวลาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร…
เมื่อสักครู่นี้ เขาได้รับข่าวว่าการติดต่อกับโลกภายนอกถูกตัดขาดทั้งหมด ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปิดกั้นอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดโดยใช้เทคนิคพิเศษบางอย่าง
เหมือนดั่งที่ยูจีนพูดทั้งหมด ตอนนี้พวกเขาก็คือลูกไก่ในกำมือ ที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
“ได้ยินมาว่าลูกน้องของซือเยี่ยหานเป็นยอดฝีมือ ฉันล่ะอยากเห็นเป็นบุญตาสักหน่อย พวกนาย…ขอเพียงมีใครก็ตามเอาชนะฉันได้ เช่นนั้นฉันจะ…ยอมให้พวกนายเป็นศพที่สวย…”
หลิวอิ่งและพวกได้ยินคำท้าทายอันหยิ่งผยองของยูจีน ก็โมโหจนปอดแทบระเบิด
หลิวอิ่งเดินออกมาจากในทีมทันที พลันกล่าว “ฉันจะสู้กับนาย!”
“หลิวอิ่ง! อย่าวู่วาม!” สวี่อี้เตือนอย่างรอบคอบ
ความสามารถของยูจีนคนนั้นยากเกินจะคาดเดา ชำนาญการต่อสู้เป็นที่สุด มือคู่นั้นน่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธมีคมเสียอีก ต่อให้เป็นหลิวอิ่ง ก็เกรงว่าจะ…
แววตาของหลิวอิ่งจ้องเขม็งไปยังผู้ชายคนนั้น ไม่มีความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
เขาในฐานะหัวหน้าทีม เป็นคนที่นายท่านไว้วางใจที่สุด จะให้มาหดหัวอยู่ข้างหลังในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร
หลิวอิ่งไม่สนการห้ามปรามของสวี่อี้ พุ่งตัวเข้าหายูจีนราวกับลูกศรแหลมคม…
หนึ่งกระบวนท่า…
สองกระบวนท่า…
สามกระบวนท่า…
“ซวบ” ยูจีนถูกกำปั้นดั่งสายลมของหลิวอิ่งชกเข้าที่แก้ม มีเลือดไหลซิบ
กระบวนท่าของยูจีนซับซ้อนและพิศดาร แต่หลิวอิ่งก็ได้เปรียบเรื่องความว่องไว ใช้กลยุทธที่คู่ต่อสู้ไม่คาดคิด ประชิดตัวยูจีนได้ในกระบวนท่าที่สาม
ยูจีนตกตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยื่นมืออกมาช้าๆ ลูบไปที่แก้มของตัวเอง
ชายหนุ่มเลียเลือดบนมือกลืนลงท้องไป สีหน้าแปลกใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและความสนุกสนาน
“น่าสนุกดี…ไม่เสียแรงที่เป็นมือหนึ่งของซือเยี่ยหาน…ว่ะฮ่าฮ่า…น่าสนใจมากจริงๆ…ฉันตัดสินใจแล้ว…จะมอบเกียรติการเป็นของเล่นชิ้นโปรดของฉัน…ให้กับนาย…”
…………………………………