ด้านหลังเวที ผู้ที่ได้ขึ้นเวทีคนแรกเป็นผู้ชาย ซึ่งขณะนี้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
เขาถือไวโอลินไว้ขณะที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ
ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันประเภทไหน คนที่ขึ้นเวทีก่อนคนแรกและคนสุดท้ายมักจะเสียเปรียบเสมอ
ผู้ที่ขึ้นเวทีคนแรกไม่มีการเปรียบเทียบกับคนก่อนหน้า คะแนนที่ได้ไม่นับว่าต่ำเกินไปแต่ก็ไม่สูงเกินไป โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับสูง
ผู้เข้าร่วมการแข่งขันมีประมาณยี่สิบกว่าคน ซึ่งส่วนใหญ่รู้จักกัน
คนกลุ่มนี้ถ้าไม่เจอกันในงานแข่งขันประเภทต่างๆ ก็เคยเจอในการแข่งขันครั้งก่อน ทำให้ดูเหมือนสนิทสนมกันมาก โดยในจำนวนคนเหล่านี้มีเพียงฉินหร่านเท่านั้นที่ดูสะดุดตาและไม่คุ้นหน้า
ทั้งยี่สิบคนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนมั่นใจว่าตนไม่เคยเจอฉินหร่านมาก่อน เพราะยังไงหน้าตาแบบนี้ ถ้าเคยเจอกันคงประทับใจตั้งแต่แรกเห็น
“หมายเลข17เธอก็มาเข้าแข่งขันเหรอ?” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น
ฉินหร่านเงยหน้ามอง
เห็นผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งหันมามองเธอ ดวงตาคู่นั้นมีสีดำประกายแวววาว ใบหน้ายาวราวกับตุ๊กตา แต่ไม่สวยสะดุดตามากนัก ทั้งการแสดงออกก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนหลินซือหราน ขณะที่บริเวณเอวมีหมายเลขหกติดอยู่
ฉินหร่านมองเธอแวบหนึ่งก่อนตอบ “อืม” ด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่ง
เธอเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด คนที่อยู่ข้างเธอล้วนเข้าใจนิสัยนี้อย่างลึกซึ้ง
ทว่าผู้ที่มีใบหน้าราวตุ๊กตาคุ้นเคยกับการโดนไล่ตาม ทำให้ไม่คิดว่าจะมีใครทำตัวเย็นชาใส่เธอ ช่วงเวลานั้นรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าพลันแตกเพล้ง
ใบหน้าตุ๊กตาพลันเม้มปาก ก่อนยิ้มถาม “ฉันชื่อเถียนอี้อวิ๋นเถียนอี้อวิ๋นนะ เธอชื่ออะไรเหรอ? ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ?”
“ชื่อฉินหร่าน ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาน่ะ” ฉินหร่านยื่นมือกดหมวกแก๊ปลง
ฉินหร่าน?
ใบหน้าตุ๊กตาหรี่ตา พลางคิดว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้จริงๆ และการทดสอบครั้งนี้ไม่เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้มาก่อน เถียนอี้อวิ๋นจึงไม่เสียเวลาอีกต่อไป อีกทั้งฉินหร่านทำตัวเย็นชาแบบนี้ เธอก็ได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรอีก
ก่อนเดินไปที่ประตูทางเข้า รอให้ผู้ชายคนแรกออกมาเพื่อถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนแรกฉินหร่านถูกจับตามอง หลังจากเถียนอี้อวิ๋นเดินออกไป สายตาที่จับจ้องเธอเมื่อครู่ก็เลือนหายไปด้วย
คนอื่นก็เดินถอยห่างเธอราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินหร่านหรี่ตาเล็กน้อยก่อนละสายตากลับ
“เธอบอกว่าได้ยินชื่อเถียนอี้อวิ๋นครั้งแรก แล้วยังทำตัวเย็นชาแบบนี้อีก” ขณะที่เธอกดหมวกแก๊ปลง ก็ได้ยินเสียงของคนข้างๆ พูดขึ้น
ฉินหร่านเหล่ตามองเล็กน้อย ก็เห็นผู้หญิงผมลอนยาวคนหนึ่ง
อีกฝั่งลากเก้าอี้ยาวด้านข้างเธอก่อนนั่งลง พลางหันหน้ามองเธอ คนตรงข้างนับว่าหน้าตาดี มองดูแล้วมีเสน่ห์ ลำดับที่เอวของเธอคือหมายเลขสิบสอง
“อ้อ” ฉินหร่านนั่งพิงเก้าอี้ พลางเลิกคิ้ว
“ฉันชื่อเถียนเซียวเซียว” เถียนเซียวเซียวรู้สึกสนใจในตัวฉินหร่านอย่างมาก พลางเท้าคางมองฉินหร่านทั้งยังชวนเธอคุยเรื่องอื่น “ตอนที่เถียนอี้อวิ๋นสอบครั้งแรกก็ดังเป็นพลุแตกแล้ว คนส่วนใหญ่เดาว่าเธอน่าจะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ไต้หราน รุ่นน้องของฉินอวี่ ส่วนฉินอวี่ก็คือ…รอเธอเข้าสมาคมแล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าใครเอง”
“เธอดูคนอื่นสิ มีใครบ้างที่ไม่อยากคบหากับเถียนอี้อวิ๋น?” เถียนเซียวเซียวคิดอยู่สักพักพลางยิ้ม” เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าได้เป็นเพื่อนกับเถียนอี้อวิ๋น เมื่อเข้าสมาคมไปแล้ว ก็อาจจะได้เจอกับอาจารย์ไต้หราน โชคดีหน่อยก็อาจจะได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ไต้หราน”
เมื่อได้เข้าสมาคมไวโอลินแล้วมีใครไม่อยากปีนขึ้นที่สูงบ้าง?
บางคนมีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อย แต่พอแสดงต่อหน้าคนใหญ่คนโตมานาน ไม่แน่ว่าหลังจากได้แสดงที่โรงละครรอยัลแล้วก็สามารถทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวประกอบตัวหนึ่งได้
ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันมียี่สิบกว่าคน แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีจำนวนน้อยมากที่มาตัวคนเดียวเหมือนฉินหร่าน อีกกลุ่มหนึ่งคือใช้เถียนอี้อวิ๋นเป็นสื่อกลาง
เมื่อได้ยินเถียนเซียวเซียวพูดจบ ฉินหร่านก็ “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง ก่อนกดปีกหมวกแก๊ปลงอีกครั้ง ไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรมากนัก
ราวกับว่าไม่ได้สนใจในตัวเถียนอี้อวิ๋นแม้แต่น้อย เถียนเซียวเซียวจึงได้แต่ยิ้ม
**
ณ เวที
ผู้ชายคนแรกแสดงจบแล้ว
ทักษะของเขาถือว่าธรรมดา แต่อารมณ์ที่ร่วมไปกับเพลงนับว่าไม่เลว ดูมีพรสวรรค์อย่างมาก อาจารย์ทั้งเจ็ดท่านไม่ได้ปรึกษากัน
ส่วนใหญ่ให้คะแนนอยู่ที่60ถึง80
เมื่อถึงตาเหวินอินเขาให้ที่50คะแนน ไม่มีมากไปกว่านี้
ตราบใดที่จำนวนคนมากกว่าครึ่งให้ผ่านแล้ว ดังนั้นผู้ชายคนแรกจึงได้รับบัตรผ่าน
อาจารย์หกท่านที่เหลือต่างมองคะแนน อาจารย์ท่านแรกพลันมองเหวินอิน “ผู้อำนวยการเหวิน 50คะแนนไม่นับว่าต่ำไปเหรอครับ?”
ทุกปีมีคนลงทะเบียนสมัครเข้าสมาคมไวโอลินในเมืองหลวงอย่างล้นหลาม ผ่านด่านประเมินมาหลายขั้น สุดท้ายแล้วผู้ที่มาถึงจุดนี้ได้คือคนที่ฝีมือเยี่ยมยอดจริงๆ
นอกจากจำนวนไม่กี่คน น้อยมากที่อาจารย์จะให้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์
เหวินอินขมวดคิ้ว “เขาทำได้ดีกว่านี้”
“ในเมื่อคนพวกนี้ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของสมาคม ก็ไม่อาจเทียบกับนักเรียนในระบบได้” เมื่ออาจารย์ท่านหนึ่งได้ยินคำของเหวินอิน ก็หัวเราะออกมา รู้สึกว่าเหวินอินให้ความหวังสูงเกินไปสำหรับนักเรียนกลุ่มใหม่กลุ่มนี้
ทว่าปกติแล้วเหวินอินคือคนของอาจารย์เว่ย และคุ้นชินกับอาจารย์เว่ย จึงเข้าใจได้ที่จะปฏิบัติต่อนักเรียนใหม่อย่างเข้มงวด
ดังนั้นหลังจากที่ห้าคนผ่านไปเหวินอินก็ให้สอบตกทั้งหมด อาจารย์เหล่านี้ต่างไม่พูดจาอะไร
เมื่อถึงคนที่หก สมาชิกที่พวกเขาให้ความสำคัญดั่งต้นกล้าอ่อนยืนอยู่บนเวที อาจารย์หลายท่านนั่งตัวตรงโดยพร้อมเพรียงกัน
แถวที่สอง หลังจากเฉิงมู่ดูการแสดงไวโอลินรอบแรกเสร็จ ก็มีอาการเคลิ้มสบาย
ลู่จ้าวอิ่งที่นั่งตำแหน่งสอง ปกติแล้วเขาไม่ค่อยดูการแสดงแข่งขัน แต่เพราะเล่นเปียโนได้ จึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการฟังไวโอลิน
อีกทั้งคนล่าสุดที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าสมาคมไวโอลินก็มีทักษะในแต่ละด้านที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยในด้านอารมณ์ของฝ่ายตรงข้ามเมื่อเทียบกับลู่จ้าวอิ่งที่เล่นเปียโนแล้วถือว่าดีกว่า
เมื่อลู่จ้าวอิ่งได้ฟังก็รู้สึกสนใจอย่างมาก
หลังจากคนที่หกเล่นจบเรียบร้อย ลู่จ้าวอิ่งเผลอหันไปมองเฉิงเจวี้ยน “ผู้หญิงคนนี้เล่นได้ดีกว่าคนอื่นๆ ที่ฝีมืออ่อนกว่าตั้งเท่าไหร่ ครั้งนี้ผู้อำนวยการเหวินคนนั้นน่าจะให้ผ่านล่ะมั้ง?”
อาจารย์ทั้งหกท่านล้วนให้คะแนนอยู่ที่90 จากการแสดงรอบแรกจนถึงตอนนี้ เถียนอี้อวิ๋นคือผู้ที่มีคะแนนสูงสุด อีกทั้งเหวินอินก็ให้เธอผ่านจริงๆ
ทว่า…
ให้อยู่ที่60คะแนน ไม่นับว่ามากหรือน้อย แต่เป็นครั้งแรกที่ให้ผ่าน
เถียนอี้อวิ๋นที่อยู่บนเวทีเมื่อเห็นว่าเหวินอินให้60คะแนน ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ทั้งยังโค้งตัวขณะถือไวโอลินด้วยรอยยิ้มจาง พลางบอกกับตัวเองต้องสู้
เมื่อเถียนอี้อวิ๋นถึงด้านหลังเวที ก็ถูกคนรายล้อมถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง
“ผู้อำนวยการเหวินให้ฉันแค่60คะแนนเอง” เถียนอี้อวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงแห้งแหบพลางถือบัตรคะแนนของตัวเองไว้
“พระเจ้า ที่แท้ผู้อำนวยการเหวินให้เธอผ่านแล้ว?” เมื่อคนอื่นได้ยินดังนั้น ก็มองมายังเถียนอี้อวิ๋นด้วยความอิจฉา “ฉันคิดว่าเขาเป็นนักไวโอลินที่ไม่มีความรู้สึกเสียอีก เขาไม่เคยให้การแสดงรอบไหนผ่านเลย!”
**
“ผู้อำนวยการเหวินเป็นคนจริงจังมาก หากเขาเป็นอาจารย์สอนเปียโน แล้วฉันต้องเล่นเปียโนต่อหน้าเขา เขาจะไล่ฉันออกไปใช่ไหม?” ลู่จ้าวอิ่งว่าพลางลูบจมูก
เฉิงเจวี้ยนวางมือบนพนักแขน มองอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นักทั้งไม่พูดอะไร
ผู้ขึ้นแสดงหลังจากนั้น นอกจากเลขเก้า เหวินอินก็ไม่ให้ใครผ่านอีกเลย
เลขเก้าและเลขหกได้คะแนน60เหมือนกัน
อาจารย์ท่านอื่นสัมผัสได้ถึงมาตรฐานที่สูงของเหวินอินแล้ว เนื่องจากผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหกที่รอชมมากที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว อาจารย์ท่านอื่นจึงไม่ค่อยสนใจผู้เล่นคนอื่นเป็นพิเศษ
“ผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสิบสองมีสปิริตดีแต่ทักษะไม่เพียงพอ” อาจารย์ทั้งเจ็ดทั้งให้คะแนนเถียนเซียวเซียวเจ็ดสิบถึงแปดสิบคะแนน แต่ไม่พิเศษอะไรมาก
“ใบข้อมูลของเธอเขียนว่าเป็นศิลปิน?”หนึ่งในอาจารย์ขมวดคิ้ว อาจารย์เหล่านี้ล้วนจริงจังกับการเล่นไวโอลินอย่างมาก ศิลปินส่วนมากที่เข้าร่วมสมาคมเพราะอยากเพิ่มประสบการณ์และภาพลักษณ์ใหม่ที่น่าดึงดูดให้ตัวเอง
ทว่าระดับของอีกฝ่ายก็ครอบคลุมมาตรฐานของการเป็นสมาชิก อาจารย์หลายท่านจึงไม่มีปัญหาอะไร
ยิ่งอยู่ลำดับท้าย ยิ่งมีการกดคะแนนต่ำลง
ช่วงหลังมา ดูเหมือนอาจารย์ทั้งเจ็ดท่านก็ไม่มีใครให้90คะแนน
“ฉันดูหน่อยว่าเหลืออีกกี่คน” มีอาจารย์ลุกขึ้นขยับเนื้อขยับตัว “ต่อไปเป็นหมายเลขสิบเจ็ด ฉินหร่าน ให้เธอขึ้นมาเถอะ”
ลำตัวของเหวินอินตั้งตรงทันใด มองขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
หากมีอาจารย์คนไหนสังเกต ต้องมองออกว่าสีหน้าของเหวินอินเปลี่ยนไปอย่างมาก
ที่นั่งแถวสอง เฉิงมู่ถูกจ้าวลู่อิ่งตบให้ตื่น “ตื่นได้แล้ว ถึงตาฉินหร่านแล้ว!”
เฉิงมู่นั่งอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น
สีหน้าของเฉิงเจวี้ยนไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เพียงมองยังเวทีอย่างไม่ละสายตา
ไฟรอบเวทีดับลง เหลือเพียงไฟสปอตไลท์ตัวหนึ่งเท่านั้น
แม้อากาศในเมืองหลวงร้อน แต่วันนี้เธอยังคงใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนสีดำ ส่วนหมวกแก๊ปทิ้งไว้ที่หลังเวที
ขณะที่มือเรียวยาวถือคันชัก
เสียงสีไวโอลินดังขึ้น____
เมื่อได้ยินเสียงโน้ตดนตรีบรรทัดแรก อาจารย์แถวแรกที่นั่งดูตารางข้อมูลของฉินหร่านต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน
เมื่อฉินหร่านทุ่มเทเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเต็มที่ร่างกายของเธอจะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติและจริงจังยิ่ง เธอยืนอย่างหนักแน่น ดูเหมือนรูปร่างสูงโปร่งและเสียงเพลงของไวโอลินสามารถสอดผสานได้อย่างสวยงามไร้ที่ติ
คันชักที่สีอยู่บนสายไวโอลินกระโดดเคลื่อนไหวไปมา เสียงเพลงก้องกังวานราวกับเลือดที่ผสมปนเปอยู่บนสนามรบ! ทั้งปอร์ตาเมนโต โอเวอร์โทน ทักษะการเลื่อนเสียงกลางไปสูง เป็นพื้นฐานที่นักเรียนทั่วไปของสมาคมทำได้ แต่ไม่มีใครที่สามารถผสมผสานทั้งหมดได้อย่างลงตัวเช่นนี้มาก่อน!
นี่มันเกินระดับมาตรฐานไปแล้ว! เธอไม่ได้แสดงทักษะอื่นนอกเหนือจากนี้มากนัก ไม่เหมือนผู้เข้าแข่งขันหมายเลขหกที่ใช้นิ้วมือและทักษะของตัวเองไว้ในหนึ่งบทเพลงทั้งหมด
แม้มีทักษะไม่มาก แต่ก็นับว่าเป็นข้อบกพร่องอันน้อยนิด
ทว่าข้อบกพร่องอันน้อยนิดนับว่าเป็นอะไร?
นับว่าเป็นอะไร!!
อาจารย์หลายท่านลุกขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว ใจเต้นตามจังหวะเพลงอย่างพลุ่งพล่าน!
แม้แต่เฉิงมู่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ตลอดเวลาก็ลำตัวตั้งตรงไม่รู้ตัว สายตาที่จับจ้องไปยังฉินหร่านมีประกายแสงแวววาว ในเวลานี้เองเขาคิดถึงเฉิงหั่วอย่างฮึกเหิมขึ้นมาทันทีว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่!
เฉิงเจวี้ยนมองดูอย่างไม่ละสายตา
นี่คือผู้เข้าแข่งขันที่มีพรสวรรค์อันน่าเกรงขามที่อาจารย์เว่ยให้ความสำคัญ
การแสดงห้านาทีบนเวทีจบลง จากนั้นทุกคนตรงหน้าเวทียังคงนิ่งเงียบราวกับอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวกราก
“ฉินหร่านคือใคร? ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินชื่อ?” ใบหน้าของอาจารย์หลายท่านตื่นเต้นจนกลายเป็นสีแดง
“ไม่น่านะ รายชื่อลงทะเบียนระดับล่างมีนักเรียนแบบนี้ด้วย น่าจะเคยได้ยินมาก่อนสิ!”
“น่าจะอยู่ระดับห้าแล้วล่ะมั้ง?”
อาจารย์ทั้งหกท่านต่างปรึกษากันครู่หนึ่ง จากนั้นหันไปมองเหวินอิน ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเหวินอิน
“อาจารย์เหวินอิน นี่ก็คือ…”
เหวินอินสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่เหมือนกับอาจารย์ท่านอื่นๆ เขาไม่เคยเห็นการแสดงของฉินหร่านจากเวทีไหน แต่อาจารย์เว่ยเคยเห็นฉินหร่านในวิดีโอ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเล่นไวโอลินของเธอเป็นพรสวรรค์ที่ดีเยี่ยมแต่ก็ไม่ทั้งหมด
ทว่าเหวินอินและอาจารย์เว่ยมีจุดที่กังวลใจเหมือนกัน คือฉินหร่านเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ดูเหมือนว่าเธอเรียนอะไรก็ดูง่ายไปหมด คนแบบนี้อาจเดินออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย
ทว่าวันนี้ ในที่สุดเหวินอินรู้แล้วว่าอาจารย์เว่ยยังคงเลือกฉินหร่านอยู่ดี ความสามารถบนเวทีของคนผู้นี้แทบจะไร้ที่ติ
หากยังสามารถอดทนไปต่อได้…
เหวินอินรู้สึกว่า ไม่ช้าในประเทศคงมีงานแสดงเดี่ยวที่โรงละครรอยัลรัฐ M ของ “อาจารย์เว่ย” อีก
เขาเงียบไปสักพัก จากนั้นหันไปมองอาจารย์แต่ละท่าน พลางยิ้มตอบ “อาจารย์ทุกท่าน ให้คะแนนเถอะครับ”
เขาก้มหน้า เขียนคะแนนของตัวเองลงบนกระดาน
อาจารย์หลายท่านต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน
คะแนนแบบนี้ให้ได้ยังไง?
ตามความเข้าใจของพวกเขา การแสดงบนเวทีนี้แทบไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย ทว่าจะให้คะแนนเต็มก็คง…เพราะตั้งแต่สมาคมก่อตั้งมาก็ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน
เวลามีขีดจำกัด ไม่พอให้พวกเขาได้คิด
พวกเขาเขียนคะแนนอย่างเร่งรีบ
“ฉันคิดว่าฉินเสี่ยวหร่านเล่นไวโอลินได้ดีเกินไปแล้วมั้ง?! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาจารย์เว่ยถึงตามเธออยู่หลายปี” ในที่สุดลู่จ้าวอิ่งที่นั่งอยู่แถวสองก็ควบคุมความเลือดร้อนทั้งหมดไว้ไม่ได้ เขามองเฉิงเจวี้ยน “ท่านเจวี้ยน อาจารย์ทั้งเจ็ดคนนี้จะให้คะแนนฉินเสี่ยวหร่านเท่าไหร่? เป็นไปได้ไหมว่าจะให้90ทุกคน?”
เมื่ออาจารย์เหล่านี้ตัดสินใจแล้วว่านักเรียนกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าร่วมสมาคมได้ ก็จะปล่อยเขาไปอย่างเรียบง่ายแม้ว่าคะแนนเฉลี่ยของเถียนอี้อวิ๋นจะสูงที่สุด ทว่ามีเพียงอาจารย์สามท่านที่ให้90คะแนนขึ้นไป อีกสามท่าน80คะแนนขึ้นไปและยังมีเหวินอิน60คะแนน
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ละสายตา เพียงก้มหน้าลง “แน่นอน”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน
อาจารย์หลายท่านก็ให้คะแนนแล้ว
อาจารย์ท่านแรกให้คะแนนตามจิตใต้สำนึกคือ 100 คะแนน
95 คะแนน
98 คะแนน
95 คะแนน
95 คะแนน
95 คะแนน
แม้อาจารย์ท่านอื่นจะทำตามกฎ ไม่กล้าให้100คะแนน ทว่า95คะแนนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นได้ยืนยันในตัวฉินหร่านแล้วว่านี่คือโอกาสทองที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทุกคนล้วนให้ความสนใจกับการให้คะแนนของเหวินอิน
เหวินอินเขียนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของทุกคน เขายกกระดานคะแนนตัวเองขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน
0 คะแนน
อะไรเนี่ย?
อย่าว่าแต่ลู่จ้าวอิ่ง แม้แต่อาจารย์ท่านอื่นก็รู้สึกว่าเหวินอินทำเกินไปแล้ว!
ทั้งหมายเลขหกหมายเลขเก้าก็ให้คะแนนผ่านหมด!
อย่าว่าแต่ให้คะแนนหมายเลขสิบเจ็ด90คะแนนเลย ขนาดแปดสิบคะแนนคุณยังไม่ให้เลยหรือ?!
เหวินอินไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เพียงเงยหน้ามองฉินหร่าน “ผมหวังว่าอีกสองเดือนหลัง คุณสามารถได้คะแนนจากผมนะ”
ฉินหร่านเดินลงหลังเวที
ขณะกำลังรอผู้เข้าแข่งขันหมายเลขสิบแปด อาจารย์หกท่านที่เหลือก็พูดขึ้น พลางมองเหวินอิน “ผู้อำนวยการเหวิน คุณโหดร้ายกับนักเรียนเกินไปแล้ว สำหรับหมายเลขสิบเจ็ดคนนั้น ตอนนี้ในจำนวนนักเรียนมีเพียงฉินหร่านที่สามารถเทียบกับ…”
เหวินอินมองพวกเขาปราดหนึ่ง “โหดร้ายเหรอครับ?”
อาจารย์หกท่านคนอื่น “…” ให้ตายเถอะ นี่ไม่เรียกว่าโหดร้ายเหรอ?
เหวินอินเพียงถือข้อมูลส่วนหนึ่งไว้ เขาไม่รู้สึกจริงๆ ว่าเป็นเรื่องโหดร้าย อาจารย์หกท่านเปรียบเทียบฉินหร่านกับนักเรียนในสมาคมเมืองหลวง หากเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ฉินหร่านนับว่าโดดเด่นกว่าจริงๆ ทว่าความคาดหวังที่อาจารย์เว่ยมีต่อฉินหร่านนั้น…
ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าฉินหร่านอยู่สูงถึงอันดับห้า
แต่ความคาดหวังที่อาจารย์เว่ยมีต่อฉินหร่านคือสามารถถึงระดับหกได้ภายในปิดเทอมฤดูร้อน!
ดังนั้นฉินหร่านสามารถอยู่ระดับนั้นได้หลังจากปิดภาคฤดูร้อน ท้ายที่สุดเหวินอินถึงสามารถให้คะแนนแก่ฉินหร่านได้!
แล้วจะให้เทียบกับนักเรียนในสมาคม? แต่ไหนแต่ไรมาอาจารย์เว่ยไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลย!
ในเมื่อไม่อยู่ในระดับเดียวกัน
ตั้งแต่เริ่มเขาก็ทำให้ฉินหร่านเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่มีรายชื่ออยู่ในกลุ่มองค์กรไวโอลินระดับนานาชาติรัฐ M
เมื่อเทียบกับอัจฉริยะกลุ่มนั้นที่ต้องอบรม ใช้ความสามารถและพยายามอย่างหนักมาตั้งแต่เด็ก กับฉินหร่านที่ยังดีได้ “0” คะแนน เพราะไม่เคยฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ทั้งไม่ค่อยได้จับไวโอลินเลย
ทว่าเรื่องพวกนี้ เหวินอินไม่คิดจะอธิบายกับใคร
**
คะแนนเฉลี่ยสุดท้ายของฉินหร่านคือ 82 และ 57
อาจารย์ท่านอื่นให้คะแนนสูงมาก แต่เพราะศูนย์คะแนนจากเหวินอิน ทำให้ดึงค่าเฉลี่ยของเธอลง
ปกติผู้เล่นที่แสดงเสร็จแล้วสามารถกลับก่อนได้ ซึ่งเถียนเซียวเซียวกลับไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว
ทว่าเถียนอี้อวิ๋นยังอยู่ที่เดิมตลอด
คนที่อยู่หลังเวทีมองไม่เห็นเหตุการณ์บนเวที
สีหน้าของฉินหร่านก่อนขึ้นเวทีและหลังลงจากเวทีไม่ต่างกันมาก ทั้งไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นใดๆ มองแวบแรกก็รู้ว่าสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่นัก
อีกทั้งไม่เคยได้ยินชื่อของ “ฉินหร่าน” มาก่อน
เถียนอี้อวิ๋นที่รออยู่จึงไม่ได้สนใจอะไร
ฉินหร่านหยิบหมวกแก๊ปที่วางอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง ก่อนเดินตรงออกจากประตู
เฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่งรอเธอออกมาที่หน้าประตูใหญ่ ลู่จ้าวอิ่งยังอยู่กับเฉิงเจวี้ยน กำลังบ่นว่าทำไมเหวินอินถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้
เดิมเขาคิดว่าเหวินอินจะให้คะแนนฉินหร่านเต็มเสียอีก!
เฉิงเจวี้ยนยืนพิงผนัง ขณะคาบบุหรี่ที่มุมปาก ในมือถือโทรศัพท์ราวกับคุยกับใครอยู่ แต่เขาไม่พูดอะไร เพียงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นฉินหร่านเดินออกมาไม่ไกล เขาถึงค่อยๆ เหยียดตัวยืนขึ้น มองไปหาเธอ บนหน้ามีเศษเสี้ยวของรอยยิ้มประดับอยู่ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากเบื้องบนอย่างอ่อนโยน ราวกับมีไอควันปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เนื่องจากย้อนแสงทำให้เห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก เพียงสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา
สำหรับทุกคนฉินหร่านคือสมบัติล้ำค่าของพวกเขา ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งผูกพันกัน ยิ่งค้นพบเรื่องที่คาดไม่คิด
บุหรี่ในปากไม่ถูกจุด เมื่อเห็นฉินหร่าน เฉิงเจวี้ยนก็โยนบุหรี่ทิ้งถังขยะ ก่อนยิ้มอย่างเงียบๆ “ไปเถอะ”
จากนั้นตัดสายโทรศัพท์ในมืออย่างเยือกเย็น
“คุณคุยโทรศัพท์กับใครเหรอ?” ฉินหร่านรู้ว่าเขามองเธอด้วยความกังวล เธอจึงถอนหายใจก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
เฉิงเจวี้ยนชำเลืองมองเธอ ก่อนหยิบหมวกแก๊ปที่เธอถืออยู่สวมหัวฉินหร่านช้าๆ “พี่ฉันน่ะ อยากเชิญพวกเราไปกินข้าว เธอจะไปไหม?”