บทที่ 311 : คำโกหกของลิเลียน (2)
“เดี๋ยวก่อนสิ รุ่นพี่ ป้อมปราการจะหายไปทันทีที่เริ่มเคลื่อนย้ายใช่ไหม? แบบนั้นไม่ดีแน่!”
ต้องขอบคุณป้อมปราการ 10 ทิศ ที่ทำให้พวกเขาสามารถร่ายคาถาเวทย์เคลื่อนย้ายได้โดยไม่ถูกรบกวน อย่างไรก็ตามทันทีที่ลิเลียนเริ่มเคลื่อนย้ายตัวเอง ป้อมปราการ 10 ทิศก็จะพังทลายลง และทุกอย่างก็จะถูกเปิดเผยต่อหน้าพริสเลย์
ไม่ว่าการช่องโหว่จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ไม่มีทางที่ราชาจอมเวทย์จะยอมให้เธอหนีผ่านช่วงเวลานั้นได้!
โรเอลจ้องไปที่ลิเลียนอย่างตั้งใจในขณะที่เขาเปล่งเสียงสงสัย ทว่าเขาก็พบกับความเงียบโดยไม่คาดคิด การตระหนักรู้กระทบเด็กหนุ่มอย่างแรงขณะที่ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างช้า ๆ ต้องใช้เวลาสักครู่ก่อนที่ลิเลียนจะถอนหายใจอย่างไม่เต็มใจ
“ฉันหวังจริง ๆ ว่าเธอจะเป็นคนที่โง่กว่านี้สักหน่อยในเวลาแบบนี้…”
เสียงของลิเลียนทั้งแหบและสั่น ราวกับไม่สามารถระงับความรู้สึกเศร้าโศกของการจากลาที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก ในที่สุดน้ำตาก็เริ่มไหลลงมาตามดวงตาสีอเมทิสต์ของเธอ
ลิเลียนไม่ได้คิดที่จะหนีตั้งแต่แรกแล้ว เธอรู้ดีว่าศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือราชาจอมเวทย์ ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้โอกาสใด ๆ ก็ตามหลุดมือไปแน่ เธอรู้ดีว่าตัวเองคงไม่รอดทันทีที่ป้อมปราการ 10 ทิศพังทลายลง
“รุ่นพี่?”
“ฉันขอโทษ ฉันคำนวณผิดไป นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเรา”
“ด..เดี๋ยวก่อน เธอกำลังพูดอะไรน่ะ?!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของลิเลียนที่จะตาย ใบหน้าของโรเอลก็ซีดเซียวอย่างน่ากลัว คำพูดของเธอกระแทกจิตใจเขาอย่างแรงราวกับค้อนขนาดใหญ่ ทำให้เขาต้องลืมตาขึ้นกับความจริงที่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากความลังเลใจในปัจจุบันนี้ ถ้าเขาต้องการให้ทั้งสองคนรอดชีวิต
อาร์เทเชียชนะการเดิมพันแล้ว…
ด้วยมือที่สั่นเทา เขาเริ่มเรียกใช้คาถาเวทย์ ‘อัญเชิญอาร์เทเชีย’
หากเทียบกับความตายของ ลิเลียนแล้ว เขาอยากให้เธอใช้ร่างกายร่วมกับอาร์เทเชียมากกว่า เพราะอย่างน้อย ๆ เธอก็จะยังมีชีวิตอยู่
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คาถาเวทย์นั้นล้มเหลว
ทำไมกัน?!
เมื่อขาดการตอบสนองอย่างสมบูรณ์หลังจากร่ายคาถาเวทย์ ‘อัญเชิญอาร์เทเชีย’ จิตใจของโรเอลก็ว่างเปล่า ในขณะเดียวกัน แสงก็เริ่มมาบรรจบกันทั่วร่างกายของเขาในขณะที่กระบวนการคาถาเวทย์เคลื่อนย้ายเริ่มต้นขึ้น
“ไม่ ให้เวลาผมอีกหน่อยเถอะ! มันต้องมีทางออกสิ! ผมยังมีไข่ของหกภัยพิบัติอยู่ ตราบใดที่ผมซึมซับมัน อย่างน้อย ๆ ผมก็น่าจะสามารถซื้อเวลาได้บ้าง…”
“ไม่”
“… อะไรนะ?”
“โง่จริง ๆ ฉันจะยอมให้น้องชายของตัวเอง เสียสละตัวเพื่อฉันได้อย่างไรเล่า?”
ลิเลียนตอบอย่างเป็นธรรมชาติ เธอมองที่โรเอลด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“เธอคือคนเดียวที่พริสเลย์ตั้งเป้าไว้ ตอนนี้เขาหมดหวังแล้วที่จะฆ่าเธอ เขากลัวเธอ เธอมีศักยภาพมากกว่าฉัน และมีผู้คนมากมายในโลกที่ยังรักเธอ อนาคตของเธอถูกลิขิตให้สว่างไสวกว่าดวงดาว เป็นหน้าที่ของฉันในฐานะเพื่อนมนุษย์และพี่สาวของเธอที่จะต้องส่งเธอออกจากที่นี่อย่างปลอดภัย”
“พวกเราชาวออสทีนต้องละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เรารักษาประกายไฟแห่งความหวังให้คงอยู่ได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เธอ…คือความหวังของฉัน”
ทันทีที่โรเอลเห็นแววตาของลิเลียน เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มได้แต่ตกตะลึงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“ฉันรู้ว่าเธอจะต้องทำให้ฉันภาคภูมิใจ”
ขณะที่คาถาท่อนสุดท้ายถูกร่ายออกมา ลิเลียนที่กำลังน้ำตาคลอก็ค่อย ๆ จุมพิตอันอบอุ่นบนหน้าผากของโรเอล ท่ามกลางป้อมปราการที่สั่นสะเทือนและการระเบิดของพลังเวทย์ ร่างกายของโรเอลเริ่มเบลอ เมื่อมองดูแสงที่ห่อหุ้มร่างกายของเขา เธออดไม่ได้ที่จะจำคำสัญญาที่พวกเขาให้ไว้กับอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อคืนก่อน
พวกเราจะไม่พรากจากกันอีก…
ลิเลียนไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเป็นคนผิดคำสัญญานี้!
“ฉันขอโทษ…ที่ผิดสัญญากับเธอนะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าโศก
ในที่สุดเมื่อร่างของบุคคลอันเป็นที่รักหายไป น้ำตาของเธอก็ร่วงลงสู่พื้นในที่สุด ขณะเดียวกันป้อมปราการที่หกครูเยอร์ก็พังทลายลง…
ท่ามกลางป้อมปราการที่หายไป ชายชราที่ถือไม้เท้าก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา เมื่อเหลือบมองจอมเวทย์และหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยขาที่สั่นเทา เขาก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
หนึ่งในพวกเขานั้นหนีไปได้ ที่สำคัญเป็นคนที่อันตรายมากเสียด้วย
พริสเลย์นิ่งเงียบกับผลลัพธ์นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมให้ศัตรูหนีไปได้ และเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำมันได้สำเร็จ ใครจะไปคิดว่าจะมีผู้ที่ครอบครอง พลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดถึงสองคนในยุคนี้ อีกยังมีร่างกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอีก? นี่มันเกินความคาดหมายของข้าไปมาก”
“…ร่างกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว?” ลิเลียนถาม
พริสเลย์มองกลับมาที่เธอด้วยท่าทางตกใจ ก่อนจะพยักหน้าในที่สุดด้วยความตระหนัก
“ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจตัวเองดีเท่าไหร่นักสินะ ดีมาก ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ข้าจะมอบให้สำหรับความกล้าหาญของเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อมองดูลูกนกน้อยที่เติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนามที่อยู่เคียงข้างเขา ริมฝีปากของราชาจอมเวทย์ก็ขดตัวขึ้น เขาตัดสินใจที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้เด็กสาวได้รู้ถึงเอกลักษณ์ของพวกเธอ
“แม้แต่ในสายเลือดผู้แสวงหาราชาของพวกเจ้า ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีพลังในการดูดซับศิลาแห่งมงกุฏ เพราะนั่นคืออำนาจของเหล่าทวยเทพ เฉพาะผู้ที่มีสายเลือดและคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดที่สืบเชื้อสายมาจากรากเหง้าเท่านั้นที่จะมีมันในครอบครอง เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก ซึ่งจะค่อย ๆ ปีนขึ้นไปหาเทพเจ้า และเจ้าเองก็เป็นคนหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน”
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงยอมให้เจ้าใช้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดแบบนั้นได้ แต่อำนาจเด็ดขาดของเจ้าที่มีเหนือผู้ใต้บังคับบัญชานั้นน่าประทับใจ คนที่อ่อนแอกว่าเจ้าไม่มีทางฝันว่าจะเอาชนะเจ้าได้เลย”
พริสเลย์ตั้งข้อสังเกตขณะนึกถึงกองทัพที่ล้อมเขาไว้ก่อนหน้านี้
ทั้งลิเลียนและโรเอลต่างก็เป็นศัตรูที่มีระดับแก่นแท้ต่ำที่สุดที่เขาต้องเอาจริงเพื่อรับมือ หากทั้งสองคนมีระดับแก่นแท้สูงกว่านี้สักขั้นล่ะก็…การต่อสู้อาจเปลี่ยนไปในทิศทางที่ต่างไปจากเดิมมาก
“…มีคำพูดสุดท้ายสั่งเสียไหม?” พริสเลย์ถามอย่างไม่ใส่ใจ
ลิเลียนตอบกลับด้วยความเงียบ พริสเลย์มองดูดวงตาอเมทิสต์อันเย็นชา แต่ไม่ยอมแพ้ของเธอ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
“เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะถามสิ่งที่ไม่จำเป็นไปสินะ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เจ้าเสี่ยงชีวิตไป เด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นเป้าหมายต่อไปของข้า รู้ใช่ไหม?”
“ทุกสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นไร้ความหมาย เอาล่ะลาขาดกันเสียที”
ด้วยคำพูดเหล่านั้น ชายชราจึงยกไม้เท้าขึ้น ฉายแสงทำลายล้างไปยังลิเลียน
“ผิดแล้ว สิ่งที่เธอทำไปนั้นมีความหมาย เพราะข้าสามารถพาคนหนีมาด้วยได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงที่สดใสแต่ไร้ตัวตนก็ดังขึ้นในอากาศ
จากนั้น จู่ ๆ แสงสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นมาโอบรอบตัวของลิเลียน