บทที่ 297 ใต้หล้า (5)
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่กับซั่งหยางจวินค่อยมองดูยอดฝีมือที่บุกเข้ามาอย่างกะทันหันผู้นี้ตรงๆ
“ลัวซีหมู่ ดูเหมือนเจ้าจะลำบากแล้วนะ” ซั่งหยางจวินยิ้ม
“ลำบากหรือ ให้ข้าได้ดูหน่อยว่าวิชาพู่กันพันขุนเขาของเจ้าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว” ลัวซีหมู่เพ่งมองอีกฝ่าย ก้อนปราณมารที่เปล่งแปสงสีฟ้ากลุ่มหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นในมือ
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน พู่กันบรรพตขนาดมหึมาค่อยๆ ลอยขึ้น ก้อนแก่นมารในมือลัวซีหมู่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
กลับไม่มีใครสนใจปัญหาของลู่เซิ่งที่อยู่ใกล้ๆ
“ข้ารู้! เป็นผู้ครองเรือนสุดประจิม” อยู่ๆ เสียงกระจ่างเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านข้างผู้บัญชาการมาร
หลี่ซุ่นซีนั่นเอง!
เขาตะโกนบอกข้อมูลภายในที่ตนเองรู้สุดแรงเกิด
“ผู้ครองเรือนสุดประจิมวางแผนฆ่าเจ้าสำนักสิบเก้าสำนัก!” เขาตะโกน
เขาไม่ได้มีพลังน่ากลัวเท่าคนทั้งสาม ดังนั้นต้องใช้แรงทั้งหมดจึงจะทำให้เสียงดังทะลุเสียงสับสนบนสนามรบแล้วเข้าหูของลู่เซิ่งได้
“ปัญญาอ่อน” ผู้ครองเรือนสุดประจิมยืนอยู่ด้านหลังผู้บัญชาการมารไม่ไกลนัก เขายืนอยู่กับแม่ทัพมารห้าดาวจากเผ่าอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็กลอกตาขาว
“หลี่ซุ่นซี หรือเจ้าคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้มนุษย์ผู้นั้นจะวิ่งมาสังหารข้าหลังจากรู้เรื่องแล้ว”
หลี่ซุ่นซีไม่ได้พูดอะไร เพียงหอบหายใจพลางมองลู่เซิ่งที่อยู่ไกลออกไป เขาไม่รู้ว่าทำไมตนจึงทำเช่นนี้ แต่ว่าความวู่วามในใจทำให้เขาทำแบบนี้ นั่นเป็นความวู่วามที่ใกล้เคียงกับลางสังหรณ์
“พอแล้ว เงียบๆ หน่อย รอประตูเลือดเนื้อสมบูรณ์ก่อนค่อยกล่าวาจาไร้สาระ” ลัวซีหมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทราบแล้ว” ผู้ครองเรือนสุดประจิมพยักหน้า
บนสนามรบ สีหน้าของลู่เซิ่งค่อยๆ อึมครึม มือขวากำด้ามดาบแน่น ขณะจับจ้องคนที่อยู่ด้านหลังผู้บัญชาการมาร
พรึ่บ
ทันใดนั้นมีไฟสีม่วงกลุ่มหนึ่งลุกโชนบนคมดาบ
“ในเมื่อทำผิด ก็ต้องรับโทษ” แขนขวาของเขาเริ่มพองขยาย เปลี่ยนรูปร่าง บิดเบี้ยว และมีตุ่มกล้ามเนื้อสีดำหนาแน่นหลายกลุ่มงอกขึ้นมา
เวลาชั่วพริบตาเดียว ก็ขยายจากขนาดเท่าคนทั่วไปจนมีเส้นผ่าศูนย์กลางสามหมี่
พรึ่บ!
ดวงตาสีแดงเลือดข้างหนึ่งเปิดขึ้นบนแขนข้างขวาพร้อมกับกลอกกลิ้งไปมา
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชูดาบขึ้น บนแขนขวาเหมือนกับสวมเกราะอ่อนสีดำที่หนาถึงขีดสุดชั้นหนึ่ง
“หยางโชติช่วง…!” ดวงตาของเขากลายเป็นสภาพม่านตาสามจุดและเปล่งแสงสีม่วง
“อานุภาพเทพ!”
เปรี้ยง!!
คมดาบฟันออกไปด้านหน้า ดาบแตกกระจายในเสี้ยววินาที
ตูม!
เศษโลหะนับไม่ถ้วนถูกเปลวเพลิงสีม่วงห่อหุ้มไว้ ก่อนกลายเป็นกระแสน้ำสีม่วงไหลบ่าไปหาผู้ครองเรือนสุดประจิม
กระแสน้ำเร็วเกินไปจนผู้ครองเรือนสุดประจิมเพิ่งค้นพบความผิดปกติ กำลังจะยกแขนขึ้นป้องกัน กลับไม่ทันแล้ว
เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว กระแสน้ำไหลเชี่ยวเป็นระยะทางมากกว่าพันหมี่ ก็ไปถึงตรงหน้าผู้ครองเรือนสุดประจิม
เสียงที่เหมือนกับแก้วแตกดังขึ้นกลางอากาศ กระแสน้ำสีม่วงคล้ายกับกระแทกทำลายแก้วโปร่งแสงหลายชั้น ราวกับปริภูมิแหลกสลายไปด้วย
เปลวไฟทั้งหมดผนึกรวมเป็นเส้นเปลวเพลิงสีม่วงที่บริสุทธิ์ที่สุด แล้วพุ่งใส่ผู้ครองเรือนสุดประจิมโดยตรง
รอยยิ้มบนใบหน้าลัวซีหมู่ชะงักค้าง ม่านตาของเขาหดตัว ยกแขนขวาขึ้นป้องกันเส้นสายเปลวเพลิงสีม่วงอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเหมือนกับช้าไปก้าวหนึ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ซึ่งแฝงอยู่ด้านในกระแสน้ำ เกิดว่ามีแม่ทัพใต้สังกัดถูกฟันตายต่อหน้าเขาที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้นจะไม่อาจประเมินได้!
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องรับการโจมตีนี้เอาไว้!
สุดท้ายก็ช้าไปจังหวะหนึ่ง
“แย่แล้ว!”
เขาระเบิดพลังและเร่งความเร็ว ยื่นมือไปขวางไว้
ตูม!
เกิดเสียงดังกึกก้อง
เปลวไฟสีม่วงกับปราณมารสีดำระเบิดพร้อมกัน เส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมาทั่วร่างลัวซีหมู่ เขายกสองแขนกันไว้ด้านหน้า ใช้ร่างกายต้านแรงอันมหาศาล
ทว่ากระแสเปลวเพลิงสีม่วงยังคงกระแทกกระทั้นลัวซีหมู่ราวน้ำตก ดันเขาไถลถอยหลัง จนขาลากพื้นเป็นร่องแยกสองสายที่ลึกยิ่ง
วงรีสีดำอมม่วงวงหนึ่งค่อยๆ กระจายออกมา โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบหมี่ เห็นได้ชัดเจนถึงขีดสุด
ฟู่ว!
ลู่เซิ่งงอกแขนสองข้างออกมาด้านหลัง ร่างกายสูงชะลูดที่มีแขนสี่ข้างพุ่ งออกจากใจกลางเปลวไฟซึ่งอยู่ตรงหน้าผู้บัญชาการมารอย่างฉับพลัน แล้วยกดาบสีดำฟันใส่ลัวซีหมู่
“อานุภาพเทพ!”
กระแสเปลวไฟสีดำอมม่วงพุ่งลงไปดั่งดาวตกอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ลัวซีหมู่เบิกตาถลน วังวนยักษ์สีดำก่อตัวขึ้นด้านหลังด้วยความเร็วสูง ไม่ทันขบคิด ธงใหญ่สีดำงดงามคันหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏกลางวังวน
ตูม!
กระแสเปลวไฟสีม่วงกระแทกธงใหญ่อย่างรุนแรง เปลวเพลิงสีดำที่น่ากลัวระเบิดขึ้นระหว่างทั้งสอง แล้วกระจายออกไปรอบๆ
ทัพมารที่อยู่รอบๆ พลันกระจัดกระจาย มารบางตนที่หลบไม่พ้นโดนไฟสีดำพุ่งใส่ พริบตาเดียวก็ลุกไหม้ไปทั้งตัวและกลายเป็นผุยผงในเวลาไม่กี่อึดใจ
แขนทั้งสี่ข้างของลู่เซิ่งค่อยๆ ผนึกรวมเป็นดาบสีดำเล่มใหม่ จากนั้นก็ชูขึ้น
“อานุภาพเทพ!”
ดาบที่สาม!
ผู้ครองเรือนสุดประจิมตัวแข็งทื่อ ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ไหวติง ไม่ใช่เขาไม่อยากเคลื่อนไหว แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย สนามพลังล่องหนที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดได้ยึดเขาไว้กับที่แล้ว
เขาลืมตาโพลงจนดวงตาแทบจะถลนออกมา เลือดไหลออกมาจากปากและหู กลับไม่กล้าเบือนสายตาหนี เพียงจับจ้องเงาร่างอันน่ากลัวที่มีเปลวเพลิงสีม่วงล้อมรอบกลางอากาศนั้นเขม็ง
สนามพลังอันแข็งแกร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้ครอบคลุมระดับสูงในทัพมารทุกตนไว้หมดแล้ว
ทุกคนขยับตัวไม่ได้คล้ายกับแมลงที่ถูกผนึกในอำพัน
ยกเว้นผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่
ด้านในวังวนสีดำด้านหลังเขา ธงใหญ่กำลังจมหายไปทางด้านหลัง เขายกมือขึ้นอย่างรุนแรงภายใต้การกดดันจากสนามพลังอันน่าสะพรึงกลัว
“ข้า…คือผู้บัญชาการมาร…คือผู้กลายเป็นมาร…ราชามารสีชาดลัวซีหมู่…” เส้นเลือดทั่วร่างเริ่มแตก เลือดสีแดงอมดำย้อมร่างเขาไปมากกว่าครึ่ง
“อย่ามา…ดูถูกข้า!!”
ตูม! ตูมๆๆๆๆ!
วังวนสีดำหลายสายกางออกด้านหลังเขาอย่างฉับพลัน บวกกับวังวนสีดำที่เขาเรียกมาตอนแรกสุด รวมเป็นทั้งหมดเก้าสิบวังวน กอปรเป็นค่ายกลสามเหลี่ยมขนาดมหึมาลอยอยู่กลางอากาศด้านหลังเขา
วังวนทั้งหมดปะทะกับอานุภาพเทพซึ่งเป็นดาบที่สามของลู่เซิ่ง
ดาวตกเปลวไฟสีม่วงพุ่งเข้าไปในวังวนสีดำเหมือนกับสายฟ้าแลบ
ชิ้ง!
แสงเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งระเบิดกลางฟ้าดินอย่างฉับพลัน เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กๆ ลุกไหม้ขึ้นบนผืนดิน เพียงอึดใจเดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
ร่างกายลู่เซิ่งกลับคืนสู่สภาพหยินโชติช่วง ทุกอย่างตรงหน้าพังภินท์ ไฟหยินสีม่วงที่ระเบิดในวังวนสีดำกับอานุภาพเทพสลายหายไปทั้งหมด
ค่าตอบแทนคืออาณาเขตตรงกลางทัพมารกลายเป็นดินสีดำเกรียม ถูกเผาเป็นหลุมขนาดมหึมาที่ลึกถึงสิบกว่าหมี่
หลุมใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงหลายร้อยหมี่ มองไปเหมือนกับมีสิวใหญ่ยักษ์สีดำผุดขึ้นกลางทัพมาร
ผู้ครองเรือนสุดประจิมถูกแก่นมารสายหนึ่งกั้นไว้ กำลังมองลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
หลี่ซุ่นซีอ้าปากหัวเราะลั่นอย่างดีใจอยู่ใกล้ๆ
“เห็นหรือยังๆ!?” เขาตะโกน “นี่คือการตอบโต้ของมนุษย์! ผู้เข้มแข็งของมนุษย์! ความหวังของมนุษย์! ฮ่าๆๆๆ!” ความรู้สึกที่เขากดทับไว้มาโดยตลอดในที่สุดก็ระบายออกไปดุจกระแสน้ำ
ผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่กับแม่ทัพมารที่เหลืออยู่มองลู่เซิ่งที่มีสี่แขนกลางอากาศ ก่อนมองหลี่ซุ่นซีที่กำลังหัวเราะอย่าบ้าคลั่ง
“ใครก็ได้บอกข้าที แบบนี้หรือที่เรียกว่ามนุษย์ ถ้ามนุษย์เป็นแบบนี้กันหมด แล้วจะให้พวกเรามาทำอะไร เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ใช่ไส้ศึกของเผ่ามารที่ปะปนเข้าไป…” แม่ทัพมารตนหนึ่งอดสบถด่าไม่ได้
“เอ่อ…” หลี่ซุ่นซีรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยเช่นกัน แต่นี่ไม่ส่งผลต่อความปลาบปลื้มของเขาในตอนนี้
เป็นเพราะในที่สุดเขาก็เห็นอนาคตเปลี่ยนแปลงแล้ว เขายืนยันได้แล้วว่าอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ และลู่เซิ่งก็เป็นตัวแปรสุดท้าย!
เมืองทั้งเก้า ยังช่วยได้!
“โลกบิดเบี้ยว ใจคนบิดเบี้ยว ฟ้าดินบิดเบี้ยว” ดาบมารสีดำสนิทสี่เล่มโผล่ขึ้นในมือลู่เซิ่งอีกรอบ “โลกที่ผิดพลาดต้องมีคนมาแก้ไข”
ดวงตาของเขาเย็นเยียบ โหดเหี้ยม และลุกโชนร้อนเร่า
“กล่าววาจาใหญ่โตนัก!” ผู้บัญชาการมารลุกขึ้น ดวงตาเคร่งขรึมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อให้เป็นพู่กันบรรพต ก็ไม่อาจมอบแรงกดดันที่น่ากลัวขนาดนี้ให้เขาได้
เขาเงยหน้ามองลู่เซิ่งกลางอากาศ ตรามารรวมตัวกันอย่างเงียบเชียบราวกับสายฟ้าแลบด้านหลัง
“เจ้านึกว่าตัวเองเป็นอะไร จ้าวแห่งมารหรือ?!”
“คนที่ฆ่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ตรงหน้านี่ ถ้ามีปัญญาเจ้าก็ลงมือฆ่าเขาสิ!” ลัวซีหมู่แสดงสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมาบนหน้าผากของตนเองแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งหยีตามองผู้ครองเรือนสุดประจิมที่มีม่านสีดำกั้นขวางอยู่พลางชูดาบมารสี่เล่มขึ้น
“แย่แล้ว!” ซั่งหยางจวินที่กำลังตกตะลึงในทัพพันธมิตรสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที
“ม่านกั้นชั้นนั้น…เชื่อมกับประตูเลือดเนื้อที่สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว! จะโจมตีไม่ได้! ไม่อย่างนั้นจะสร้างประตูไปยังโลกแห่งมาร! ทำให้วิญญาณมารจุติลงมามากกว่าเดิม!”
โซ่อักขระหมุนวนบนตัวเขาด้วยความเร็วสูง ควบคุมพู่กันบรรพตพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
“สหายลู่แห่งสำนักมารกำเนิด! อย่าใจร้อน!” เขาว่องไวถึงขีดสุด บวกกับระยะห่างไม่ไกลมาก พริบตาเดียวก็ไปถึงด้านข้างลู่เซิ่ง กำลังจะยื่นมือไปจับไหล่อีกฝ่าย
“ไสหัวไป!” ดวงตาลู่เซิ่งเรืองแสงสีม่วง กล้ามเนื้อทั่วร่างขยายด้วยความเร็วสูง กระแทกฝ่ามือใส่ด้านข้างพู่กันบรรพต
ตูม!
ไฟสีม่วงขนาดใหญ่หลายสิบหมี่ระเบิดขึ้น พู่กันบรรพตขนาดใหญ่โตสั่นอย่างรุนแรง ถูกกระแทกให้พุ่งไปยังผืนดินในลักษณะหัวอยู่ล่างปลายอยู่บน
ร่างกายของลู่เซิ่งในตอนนี้กลายเป็นสภาพหยางโชติช่วงโดยสมบูรณ์
เทียบกับขนาดร่างกายในตอนแรกแล้ว ตอนนี้เขาตัวใหญ่กว่าเดิม ร่างกายอันน่ากลัวที่สูงเกือบยี่สิบหมี่ ทั่วร่างเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดที่เป็นหนามแหลมสีดำ เขาสี่ข้างบนศีรษะโค้งงอไปด้านหลัง ฟันคมกริบหนาแน่นสามแถวในปากขนาดใหญ่ที่แยกไปถึงใบหูเปล่งแสงเย็นเยียบสีขาว
ที่อลังการที่สุดคือท่อนล่างของเขา หางยักษ์ที่ใหญ่เหมือนเครื่องกระทุ้งเมืองส่ายไปมาด้านหลัง สองขามีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบเจ็ดแปดหมี่
…
บนที่ราบไกลออกไป
พวกเหอเซียงจื่อที่ตามมาทีหลัง พอมาถึงชายขอบสนามรบก็เห็นลู่เซิ่งกำลังเปลี่ยนร่างพอดี
“นั่น…นั่นคืออะไร?!” เหอเซียงจื่อรู้ว่าร่างมารของสำนักมารกำเนิดสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นมารเพื่อให้เกิดผลยกระดับพลังได้ ทว่าปัญหาก็คือลู่เซิ่งในตอนนี้ตัวใหญ่เกินไปจริงๆ
ร่างกายใหญ่ยักษ์เกือบยี่สิบหมี่ แค่เท้าก็บี้นางได้อย่างสบายๆ แล้ว
ถึงนางจะเห็นสัญลักษณ์พิเศษของร่างมารจำนวนไม่น้อยได้จากร่างของลู่เซิ่ง แต่นางไม่กล้าเชื่อ
จ่านข่งหนิงกับจ่านหงเซิงสองพี่น้องมองลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศอย่างอ้าปากตาค้าง
จากสภาพหยินโชติช่วงสูงหนึ่งหมี่กว่าๆ กลายเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สูงเกือบยี่สิบหมี่ พวกเขาได้เห็นกระบวนการทั้งหมด จ่านหงเซิงยังดี ก่อนหน้านี้ได้เตรียมใจไว้บ้างนิดหน่อย แต่จ่านข่งหนิงกลับตะลึงงัน ความสงบเยือกเย็นในยามปกติหายไปโดยสิ้นเชิง
……………………………………….