บทที่ 298 ใต้หล้า (6)
เวลานี้สตรีกางร่มหงฟางไป๋ สวีชุย และนิ่งซานเร่งรุดมาเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ทั้งสามยังคงรู้สึกเหลือเชื่อกับการระเบิดพลังเมื่อก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่งอยู่บ้าง
พอเห็นพวกเหอเซียงจื่อที่ตามมา นิ่งซานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อธิบายอย่างรวดเร็ว “นายท่านกำลังไล่ล่ามารที่ทำให้เจ้าสำนักตาย ตอนนี้กำลังต่อสู้กับทัพมารอยู่ พลังของพวกเราอ่อนแอเกินไป ได้แต่หลบออกมาไกลๆ”
ตอนแรกสตรีกางร่มหงฟางไป๋ยังมีความคิดไล่ตามลู่เซิ่งไป ทว่าเวลานี้กลับสิ้นหวัง นางต้องการก้าวข้ามลู่เซิ่งและขจัดการควบคุมออกไป เกรงว่าชั่วชีวิตนี้จะหมดหวังแล้ว
“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร” สวีชุยกล่าวอย่างไม่ยอมรับ “นายท่านกำลังต่อสู้ พวกเราที่เป็นบริวารกลับช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย!”
นิ่งซานหัวเราะฝืดๆ
“พวกเราช่วยด้านการต่อสู้ไม่ได้ แต่ด้านอื่นยังพอได้”
“อย่างเช่นอะไร”
“อย่างเช่น ภาวนา”
…
แขนสี่ข้างขนาดใหญ่โตของลู่เซิ่งกำดาบปราณมารสีดำไว้แน่น
ดาบมารทุกเล่มในตอนนี้ยาวถึงยี่สิบหมี่ มีเปลวไฟสีดำอมม่วงลุกไหม้บนตัวดาบขนาดมหึมาตลอดเวลา
เขาลอยอยู่กลางอากาศ แค่เงาที่ฉายไปถึงพื้นดินก็ครอบคลุมมารสิบกว่าตนไว้แล้ว
“จงเสียใจเถอะ จงคร่ำครวญเถอะ!” เสียงของลู่เซิ่งทุ้มต่ำและทรงพลัง เหมือนกับมีการสั่นสะเทือนที่ชวนลุ่มหลง ทำให้ซั่งหยางจวินที่อยู่ใกล้ๆ หยุดชะงัก ตกสู่ความสับสนในชั่วขณะสั้นๆ
ทัพมารที่อยู่ด้านล่างย่ำแย่ยิ่งกว่า นอกจากผู้บัญชาการมารที่ตอบสนองเร็วมากแล้ว แม่ทัพมารกับมารหลายพันตนล้วนตกสู่ความสับสนงุนงง
“หยางโชติช่วง…” แก่นมารนับไม่ถ้วนรวมตัวด้านหน้าลู่เซิ่ง กลายเป็นก้อนสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางหลายหมี่สี่ก้อนลอยอยู่บนคมดาบ
“อานุภาพเทพ!”
ฉัวะๆๆ!
ชั่วพริบตานั้นดาวตกไฟสีดำสี่ลูกพุ่งตกลงไป พวกมันลากเป็นเส้นสายสีดำสี่เส้นกลางอากาศ แล้วกระแทกใส่ด้านบนม่านกั้นตรงหน้าผู้ครองเรือนสุดประจิมอย่างเที่ยงตรงแม่นยำ
“แย่แล้ว!” ซั่งหยางจวินได้สติ มองเห็นเหตุการณ์นี้แต่ว่าไม่ทันกาลแล้ว
ครึ่กๆ!
ทะเลเพลิงสีดำที่ดำสนิทเหมือนกับกระแสคลื่นระเบิดบนพื้นดินด้านล่าง ปกคลุมอาณาเขตรัศมีหลายพันหมี่ในพริบตาเดียว ก่อนกลายเป็นวงกลมสีดำขนาดมโหฬาร
ผืนดินรอบๆ วงกลมสีดำยุบตัวลง กระแทกทรายสีเหลืองนับไม่ถ้วนให้ลอยขึ้นมา
ดาวตกสีดำสี่ลูกยังคงกระแทกกับม่านกั้นด้านหน้าผู้ครองเรือนสุดประจิมที่อยู่ด้านในวงกลมสีดำอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุด
แกร๊ก
เกิดเสียงหนึ่งดังเบาๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างแตก ผู้ครองเรือนกับม่านกั้นกลายเป็นผุยผงไปพร้อมกัน
“จบสิ้นแล้ว…” ซั่งหยางจวินสีหน้าซีดขาว ประตูเลือดเนื้อเปิดออก การรบรู้ผลแล้ว
ในตอนนั้นเอง เหนือทะเลเพลิง ซุ้มประตูทรงโค้งขนาดยักษ์กรอบเป็นสีดำสนิทและมีคลื่นโปร่งแสงหลายสายกระเพื่อมอยู่ตรงกลางค่อยๆ ปรากฏขึ้น
ซุ้มประตูโค้งสูงสามสิบกว่าหมี่ มือกระดูกซีดขาวนับไม่ถ้วนไต่อยู่บนกรอบ จันทร์เสี้ยวสีเขียวขี้ม้าดวงหนึ่งฝังอยู่ด้านบนสุด ตรงฐานสลักลวดลายเถาวัลย์และเดรัจฉานไว้นับไม่ถ้วน
“จงจุติ! จงจุติเถอะ! อันไซ่ซือตี๋ลาฉีกู่เจี๋ยผู้ยิ่งใหญ่!” ใบหน้าของผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่เต็มไปด้วยความลิงโลด เขากางแขน เลือดกองโตทะลักออกจากปาก แต่เขากลับไม่สนใจ เพียงจ้องมองประตูเลือดเนื้อที่อยู่กลางอากาศเขม็ง
กลางท้องฟ้า เมฆดำรวมตัวปกคลุมด้วยความเร็วสูง ฟ้าแลบอัสนีคำรน เกิดลมพายุพัดโหม
ในประตูใหญ่ ระลอกคลื่นกึ่งโปร่งแสงมากมายกระเพื่อมด้วยความเร็วสูง ยิ่งมายิ่งหนาแน่น
ซู่!
ทันใดนั้นมีมือกระดูกยักษ์ที่มโหฬารข้างหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากกลางประตู แล้วคว้าใส่ลู่เซิ่งโดยตรง
มือยักษ์เร็วจนเกินไป ทุกคนยังตอบสนองไม่ทัน มันก็ไปถึงตรงหน้าลู่เซิ่งแล้ว
มือกระดูกยักษ์สีขาวขนาดสามสิบกว่าหมี่พร้อมกับเงามืดและลมพายุซัดโหมที่ทำให้คนต้องกลั้นหายใจ พุ่งเข้าหาลู่เซิ่งดั่งขุนเขา
ลู่เซิ่งเบิกสองตา แก่นมารทั่วร่างรวมตัวที่ด้านหน้า ร่างกายของเขาถูกเงาของมือยักษ์ครอบคลุม
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร…มีแค่ข้า…ข้าเท่านั้น…แข็งแกร่งที่สุด!”
แขนสี่ข้างรวมดาบมารเป็นหนึ่ง ร่างของลู่เซิ่งลุกไหม้อย่างรุนแรง เปลวไฟสีดำอมม่วงพรั่งพรูออกจากตา หู จมูก ปาก
ร่างเขาหดตัวด้วยความเร็วสูง หดจนอยู่ในสภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งอันสมบูรณ์แบบที่สูงเพียงสามหมี่กว่าๆ
ทว่าเปลวไฟบนตัว ปกคลุมร่างเขาในพริบตาเดียว กลายเป็นยักษ์เพลิงสีดำอมม่วงขนาดมหึมาที่สูงถึงสามสิบกว่าหมี่
“หยินหยาง ทำลายดวงดาว!”
ลู่เซิ่งกำมือสี่ข้างอย่างแนบแน่น แล้วฟันออกไปด้านหน้า เสียงตะโกนทุ้มต่ำกระแทกเมฆดำรอบๆ ให้กระจายออกไปและฉีกท้องฟ้าออกจนบังเกิดเสาแสงสีทองหลายสาย
ตูม!
ยักษ์ไฟสีดำอมม่วงฟันดาบใหญ่ใส่มือกระดูกสีขาวขนาดยักษ์อย่างจัง
ระลอกคลื่นสั่นสะเทือนนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นระหว่างฟ้าดิน ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่ในอากาศกลายเป็นกระแสคลื่น พวกมันกดอัดกันและกัน พร้อมกับขยายตัวไปยังรอบๆ เหมือนกับหินยักษ์หล่นลงกลางบึงน้ำ
เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก็มีทัพมารหลายพันโดนลูกหลงแล้วระเบิดกลายเป็นผุยผง แม้แต่คนส่วนหนึ่งของทัพพันธมิตรที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีบางคนถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จนไม่เหลือแม้แต่ซากศพเช่นกัน
ผู้บัญชาการมารลัวซีหมู่กับซั่งหยางจวินอยู่ใกล้ที่สุด แม้ว่าจะพยายามตั้งหลักอย่างสุดความสามารถ แต่ยังคงประเมินแรงกระแทกอันรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปะทะที่สะท้านฟ้านี้ต่ำเกินไป นี่เหนือกว่าระดับผู้ถืออาวุธ ไปถึงขอบเขตจ้าวแห่งมารที่อยู่สูงกว่าอีกขั้นไปแล้ว
ทั้งสองหลบหลีกไม่ทัน ถูกคลื่นกระแทกชนใส่จนอวัยวะภายในบอบช้ำ กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“ถึงกับ…ถึงกับป้องกันได้…!” ซั่งหยางจวินที่ถอยออกมาหลายร้อยหมี่ตั้งพู่กันบรรพตไว้ จากนั้นก็มองลู่เซิ่งที่อยู่กลางอากาศอย่างตกตะลึงพรึงเพริด นั่นเป็นมือยักษ์ของระดับจ้าวแห่งมาร แต่ว่า…แต่ว่ากลับป้องกันไว้ได้!?
ทว่าพอมองไปเขากลับร้อนใจอีกครั้ง
เพราะว่าลู่เซิ่งตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างชัดเจน
มือยักษ์กระดูกสีขาวมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย กำลังค่อยๆ กดดันลู่เซิ่ง นิ้วมือทั้งห้าที่คมกริบขยับเข้าหาลู่เซิ่งอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง
ด้านในเปลวเพลิงสีดำอมม่วง เกราะเกล็ดบนร่างลู่เซิ่งปริร้าว เขาใช้พละกำลัง แก่นมาร ปราณภายใน และการเผาไหม้ปราณมารแทบจะทั้งหมด พลังทั้งหมดถูกใช้ออกมาแล้ว ถึงขั้นยังมีกระบวนท่าทำลายดวงดาวที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
กระนั้นอีกฝ่ายไม่ใช่ราชามาร แต่เป็นจ้าวแห่งมาร ตัวตนที่เหนือกว่าเขาระดับหนึ่ง
ถ้าหากตอนนั้นเขาได้กลืนกินมารโบราณตอนนั้น บางทีครั้งนี้อาจสู้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จ
“เป็นแค่มือข้างเดียว…” แสงสีม่วงที่เจิดจ้าลุกโชนในดวงตาของลู่เซิ่ง พลังงานทั้งหมดของเขาถูกเผาไหม้จนถึงขีดสูงสุด
“บัดซบ…บัดซบๆๆๆๆ! อ๊ากๆๆๆๆ” ลู่เซิ่งตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
“ทำลายดวงดาว! สี่เท่า!”
แขนสี่ข้างของเขาผนึกดาบมารออกมาพร้อมกัน ทุกข้างใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดที่เพิ่งบรรลุมาไม่นาน
ตูม!
ดาบสีดำขนาดยักษ์สี่เล่มทอประกายดวงดาวสีฟ้าอมเงิน ก่อนจะฟันไปด้านบนอย่างฉับพลัน
ครั้งนี้พลังอันน่ากลัวที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้สี่เท่าตัวฟันใส่มือยักษ์ที่เป็นกระดูกสีขาวอย่างบ้าคลั่ง กระดูกจำนวนมากถูกฟันหลุดร่วงลงมา
รอยแผลจากท่าทำลายดวงดาวเหมือนกับใช้พู่กันจุ่มหมึกวาด แก่นมารสีดำที่ทอแสงดาวระยิบระยับเข้มข้นถมเต็มปากแผล
แก่นมารชนิดนี้เป็นแก่นมารชนิดทำลายล้างที่ผ่านการดัดแปลงโดยตัวลู่เซิ่ง สามารถทำลายสสารและพลังงานใดๆ ที่สัมผัสได้
ในที่สุดมือยักษ์ที่กดลงอย่างเชื่องช้าก็ถูกหยุดยั้งลง
“ไม่…!” เสียงคำรามไม่ยอมแพ้ที่ทุ้มต่ำดังมาจากในประตู มือยักษ์กระดูกถูกลู่เซิ่งฟันดาบมารสี่เล่มใส่อย่างดุดัน พละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวกระแทกมือยักษ์ไปด้านหลัง
ทว่าไร้ประโยชน์ นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างสองโลก เดิมทีการข้ามโลกมาก็สิ้นเปลืองพลังมหาศาลอยู่แล้ว บวกกับลู่เซิ่งไม่ใช่ระดับราชามารทั่วไป แต่อยู่ในจุดสูงสุดที่พร้อมจะเลื่อนสู่ระดับจ้าวแห่งมารได้ทุกเวลา
เกิดเสียงดังสนั่น ในที่สุดมือยักษ์ก็หายเข้าไปในประตูเลือดเนื้อ กรอบประตูแตกดังแกร่ก ทุกอย่างสงบลง ระลอกคลื่นตรงกลางประตูค่อยๆ สลายหายไป
ประตูเลือดเนื้อเริ่มถล่ม กระจัดกระจายกลายเป็นโครงกระดูกและเลือดเนื้อนับไม่ถ้วน แล้วโปรยปรายลงมาจากอากาศ
“เป็น…เป็นไป…เป็นไปได้อย่างไร!?” ลัวซีหมู่คุกเข่ากับพื้นอย่างงุนงง มือขวาของจ้าวแห่งมารถูกกดดันกลับไปหรือนี่…
คนผู้นั้น…บุรุษผู้นั้น!
เขาจับจ้องลู่เซิ่งที่ยังลอยอยู่กลางอากาศด้วยสายตาเหลือเชื่อระคนหวาดกลัว
ตอนนี้ลู่เซิ่งกลับสู่สภาพหยินโชติช่วงแล้ว เขางอเอวเล็กน้อย เลือดทะลักขึ้นถึงช่องปาก แต่ไม่ได้พ่นออกมา หากกลืนกลับไปใหม่
ท่าทำลายดวงดาวสี่เท่าเมื่อครู่ สร้างภาระที่เกินกว่าร่างกายของเขาจะรับไหว นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บที่เกิดจากมือยักษ์ แต่เป็นอาการบาดเจ็บภายในที่เกิดจากการใช้ท่าไม้ตาย
ลู่เซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศก้มมองเบื้องล่าง ทัพมารพ่ายแพ้แล้ว มารจำนวนมากหนีเข้าไปในเมืองด้านหลัง ส่วนใหญ่พากันเข้าไปในป่า
มองจากด้านบนลงไป บนพื้นดินสีเหลืองเต็มไปด้วยทรายสีดำที่เหมือนเม็ดงาไหลออกไปรอบๆ
“ไม่มีวิธีหยุดมารที่หลบหนีไปพวกนี้อีกแล้ว ได้แต่สร้างหน่วยล่ามารออกไปสังหาร” ซั่งหยางจวินบินขึ้นมาด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะลอยตัวเข้าใกล้
“ทัพพันธมิตรเล่า” ลู่เซิ่งทำให้เลือดลมสงบลงพลางซักถาม
“แม้จะบอกว่าเป็นทัพพันธมิตร แต่ความจริงแล้วกองกำลังหลักก็คือตระกูลซั่งหยางของข้า ตระกูลขุนนางที่เหลือเรียกระดมมาไม่ทัน ยังคงเดินทางอยู่” ซั่งหยางจวินส่ายหน้าน้อยๆ “ท่าน…ลงไปนั่งคุยกันดีหรือไม่”
ผู้ถืออาวุธที่ใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมาร แม้มองไม่ออกว่าอาวุธเทพศัสตรามารของอีกฝ่ายคืออะไร อยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าพิธีกฎเกณฑ์ที่จำเป็นมีความรุนแรงขนาดไหน แต่ผู้เข้มแข็งระดับนี้ ไม่ว่าจะใช้ค่าตอบแทนอะไร ขอแค่ผูกมิตรได้ ก็จะประสบความสำเร็จ
รัฐซ่งมีผู้เข้มแข็งระดับจ้าวแห่งมารกี่คน มีแต่ท่านผู้นั้นคนเดียว นี่เป็นระดับปกป้องประเทศ หากว่ามีอีกคนเพิ่มมา ก็หมายความว่าประเทศจะมีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น
สำหรับตระกูลขุนนางทั้งหมด นี่เป็นเรื่องที่มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย หากประเทศมีพลังอำนาจมากขึ้น ก็จะสามารถรุกรานประเทศอื่น ทำขนมอบชิ้นใหญ่ ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือตัวตนระดับจ้าวแห่งมารผู้นี้ต้องยินยอมเข้าร่วมกับรัฐซ่ง
“ท่านคือใคร…” ตอนนี้ลู่เซิ่งยังไม่รู้ว่าชายชราที่ใช้พู่กันยักษ์ผู้นี้เป็นใคร
“ข้าคือผู้กุมอำนาจแห่งตระกูลซั่งหยาง ซั่งหยางจวิน และเป็นผู้ถืออาวุธของตระกูลซั่งหยางคนปัจจุบัน” ซั่งหยางจวินแนะนำตัวเอง
“ผู้ถืออาวุธคนปัจจุบัน” ลู่เซิ่งงุนงง ชายชราผู้นี้อ่อนแอมาก ทว่ากลับนับเป็นผู้ถืออาวุธแล้วหรือ
“เป็นอะไรไปหรือ” ซั่งหยางจวินมองเขาอย่างสับสน ไม่ทราบว่าผู้เข้มแข็งที่ใกล้เคียงกับระดับจ้าวแห่งมารผู้นี้เป็นอะไร เหตุใจจู่ๆ จึงทำท่างุนงง
“เรือนสุดประจิมอยู่ไหน ข้าจะไปดูก่อน” ลู่เซิ่งเงียบงันสักพัก ก่อนกล่าวเสียงทุ้ม
ซั่งหยางจวินพลันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้านี้เหมือนจะมาจากสำนักมารกำเนิดในร้อยเส้นสาย
ในร้อยเส้นสายมีบุคคลที่ร้ายกาจระดับนี้โผล่มาตั้งแต่ตอนไหน
“คือว่า…ขอบังอาจถาม…สถานะที่แท้จริงของท่านคือ…?” เขาลังเลเล็กน้อย แล้วลดเสียงถาม
“ข้าไม่มีสถานะแท้จริงอะไร ข้าก็คือข้า ลู่เซิ่งผู้นำแห่งสำนักมารกำเนิด เพียงแต่เข้ากับวิชาลับของสำนักมารกำเนิดได้ดีเป็นพิเศษเท่านั้น จึงเลื่อนระดับติดต่อกันในครั้งเดียวมาถึงขอบเขตในปัจจุบัน” ลู่เซิ่งคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะพูดอย่างไร
“เข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ…หรือว่า ท่านก็คือ….ผู้ที่ระดับความเข้ากันกับวิชาลับไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบในตำนาน” ซั่งหยางจวินคล้ายอยากพูดอะไร พลันลืมตาโต
……………………………………….