บทที่ 86 การปองร้ายในวัง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นมีผลงานในการกลั่นสีผึ้งกุหลาบ พระพันปีจึงประทานปิ่นสีชาดคู่หนึ่งที่ได้รับบรรณาการมาจากทางปีกใต้ให้ ซึ่งว่ากันว่ามีเพียงแค่สองคู่

ไห่กงกงพาฉีเฟยอวิ๋นไปที่ประตูวังและชวนคุยไปตลอดทาง

“จ๋าเจียไม่เคยเห็นพระพันปีให้ความสำคัญกับใครเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว พระชายาแห่งจวนท่านอ๋องเย่ช่างมีวาสนาเสียจริง!” ไห่กงกงช่วยพยุงฉีเฟยอวิ๋นออกมาพลางประจบประแจงไปด้วย

ทุกวันนี้ฐานะของฉีเฟยอวิ๋นแตกต่างจากเดิมมาก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงจะไม่มีทางเป็นอื่น

ทว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดอย่างนั้น ตอนนี้นางอยู่ในเกลียวคลื่น ถ้าไม่มีความสามารถมากพอ ไม่ช้าก็เร็วนางจะกลายไปเป็นผักปลาในเงื้อมมือของผู้อื่น

“กงกง ท่านสบายดีแล้วหรือ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากจะพูดอะไรมาก ไห่กงกงเองก็เป็นคนที่ฉลาดและรู้แก่ใจว่าฉีเฟยอวิ๋นเป็นนายที่เข้าใจอะไรๆ ดี ดังนั้นเขาจึงค่อยวางใจ

ดังคำกล่าวที่ว่าหากไม่ช่วงชิงก็จะไม่ได้มา และการช่วงชิงเหล่านั้นอาจจะมีจุดจบที่ไม่ดีนัก

สิ่งที่การเสี่ยงอันตรายนำมา ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่คุ้มเลยที่จะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง!

“ดีแล้ว ดีขึ้นมากพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่พระพันปีก็ยังทรงชมเชย บอกว่าช่วงนี้ข้ากระหม่อมกระฉับกระเฉงขึ้น”

“อืม ดีขึ้นก็ดีแล้ว สุขภาพของกงกงก็สำคัญ”

“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระชายาเย่ จ๋าเจียมาส่งแค่นี้นะพ่ะย่ะค่ะ พระพันปีกำลังรอให้จ๋าเจียกลับไปปรนนิบัติ ขอพระยาชาเดินทางโดยปลอดภัย!”

“อื้ม ขอบใจนะกงกง”

ไห่กงกงพยักหน้าและหันหลังเดินจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นมองปิ่นทั้งสองอันที่อยู่ในมือ

นางไม่อาจพูดได้ว่าชอบมัน แต่สิ่งที่ตกมาอยู่ในมือซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีนี้จะต้องเป็นของที่หายากแน่นอน

น่าเสียดายที่นางไม่ชอบมัน ดังนั้นนางจึงเพียงแค่วางมันเก็บไว้ในกล่อง

หลังจากรอมาหนึ่งชั่วยาม ฉีเฟยอวิ๋นก็เตรียมจะออกจากวังเพื่อไปที่รถมา ขณะนั้นเอง นางก็เห็นคนสามคนเดินตามกันและตรงมาทางนี้

เมื่อมองดีๆ ฉีเฟยอวิ๋นจึงเห็นว่าคนที่อยู่ตรงกลางคือพระชายาตวน จวินฉูฉู่ ที่อยู่ทางขวาคือท่านอ๋องตวน หนานกงเหยี่ยน และคนทางซ้ายสุดซึ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปนิดหน่อยคือท่านอ๋องเย่ หนานกงเย่

ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่ทั้งสามคนมารวมตัวกันอยู่เช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นยังไม่ทันเก็บปิ่นหงส์สองอันที่อยู่ในมือเรียบร้อยดี ทั้งสามคนก็เดินมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ทั้งสามคนมองมาที่ปิ่นหงส์ในมือของฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายและมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

โดยเฉพาะจวินฉูฉู่ที่ใบหน้ากลายเป็นสีขาวซีด ริมฝีปากซีดเผือดและพูดอะไรไม่ออก

อ๋องตวนที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างไม่ลังเลว่า “พระชายาเย่ช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าหยิบของของพระพันปีมาเชียวรึ”

จวินฉูฉู่กำมือแน่น ในใจรู้ดีว่าท่านอ๋องตวนไม่ได้มีความสุขุมมากนัก ยิ่งมีทัศนะบางอย่างต่อฉีเฟยอวิ๋นอยู่แล้ว จึงมีเหตุผลที่เขาจะพูดแบบนั้น

แต่การพูดเช่นนั้นในเวลานี้ก็ทำให้คนฟังรู้สึกผิดหวังเช่นกัน

อ๋องตวนผู้สง่าผ่าเผยควรจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่เวลานี้เขากลับพูดออกมาราวกับคนไร้สติปัญญา

จวินฉูฉู่เศร้าใจมาก นางอภิเษกกับอ๋องตวนได้อย่างไร

นางเสียใจเหลือเกิน!

ฉีเฟยอวิ๋นไม่อาจปล่อยอ๋องตวนไปง่ายๆ… เจ้ากล้ารังควานข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจ

“ท่านอ๋องตวน แม้ว่าท่านจะเป็นพี่รอง แต่ท่านก็ไม่ควรพูดกับข้าเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่พระพันปีพระราชทานให้ข้า ท่านอ๋องตวนได้โปรดใช้สมองตรองให้ดีก่อนพูด ถามให้ชัดเจนก่อนค่อยกล่าวออกมา” ฉีเฟยอวิ๋นเมินไปทางอื่นอย่างเหยียดหยาม หันไปมองหนานกงเย่ “หม่อมฉันพบท่านอ๋องแล้ว”

“อืม”

หนานกงเย่เอ่ยเรียบๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ปิ่นหงส์ในมือของฉีเฟยอวิ๋น

ปิ่นหงส์ที่ได้รับเป็นบรรณาการมาจากทางปีกใต้ ว่ากันว่าตอนนั้นมีอยู่เพียงสองคู่เท่านั้น บังเอิญมีสองคู่พอดี จะมอบให้พระมเหสีหวาไว้คู่หนึ่งและเสด็จแม่เก็บไว้อีกคู่หนึ่งก็ได้

แต่ไม่ว่าอย่างไรเสด็จแม่ก็ยืนกรานว่านี่คือสิ่งที่มีแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่จะเพลิดเพลินกับมันได้ สุดท้ายจึงไม่ได้ประทานให้พระมเหสีหวา ด้วยเหตุนี้พระมเหสีหวาจึงนำเรื่องไปกราบทูลพระอัยยิกา แต่ในเวลานั้นพระอัยยิกามีพระชนมายุมากแล้วและไม่ยอมยุ่งกับทั้งสองตำหนัก จึงปล่อยเรื่องราวเอาไว้อย่างนั้น

ไม่คิดว่าตอนนี้เสด็จแม่จะมอบสิ่งนี้ให้นาง!

แม้ว่าฮองเฮาจะเข้าไปในตำหนักแต่ก็ไม่เคยได้รับอะไรเช่นนี้เลย เสด็จแม่คงจะโปรดสีผึ้งกุหลาบมากจริงๆ นางจึงเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้!

“เจ้าบังอาจหาว่าข้าสมองไม่ดีงั้นรึ ฉีเฟยอวิ๋น เจ้าอย่าคิดนะว่าพอมีพระพันปีหนุนหลังแล้ว ข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า ข้า…”

หนานกงเหยี่ยนเอ่ยออกไปแล้วก็นึกเสียใจขึ้นมา เมื่อคิดได้จึงหยุดพูด

ฉีเฟยอวิ๋นกลอกตาและเหลือบมองอ๋องตวนอย่างเหยียดหยาม “ให้เกียรติว่าท่านคือพี่ของข้า ข้าจึงเรียกท่านว่าอ๋องตวน ถ้าหากท่านใช้อารมณ์ พูดจาอย่างไร้เหตุผลและมองไม่เห็นหัวผู้อื่นเช่นนี้ วันหลังเมื่อข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทข้าจะทูลเรื่องของท่านให้พระองค์ทราบ ข้าเป็นราษฎรที่ซื่อสัตย์ของต้าเหลียงเมือง บ้านเมืองมีธรรมเนียมมีประเพณี แต่ท่านกลับปฏิบัติต่อน้องสะใภ้อย่างข้าเช่นนี้ การดูถูกอย่างไรมารยาทเช่นนี้ ถ้าพูดออกไปไม่กลัวว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะหรือ”

แววตาของฉีเฟยอวิ๋นเย็นชา ท่าทีเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังจนจวินฉูฉู่ตัวสั่น นี่มันใช่คนหัวขี้เลื่อยอย่างฉีเฟยอวิ๋นจริงหรือ

ในเวลานั้นอ๋องตวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะพูดออกมาว่า “อ๋องเย่ เจ้าก็ไม่ว่าอะไรงั้นหรือ”

อ๋องเย่เหลือบมองอ๋องตวนอย่างไม่ใส่ใจนัก “พี่รองพูดถูก ถึงอย่างไรกลับไปแล้วข้าก็จะต้องอบรมสั่งสอนให้อยู่ในวินัย สตรีเจ้าเล่ห์เช่นนี้ถ้าไม่ดูแลให้อยู่ในกรอบ ในภายภาคหน้าจะไม่แย่หรอกหรือ”

น้ำตาของจวินฉูฉู่แทบจะหยาดหยดลงมา ปากของหนานกงเย่บอกว่าจะควบคุมให้อยู่ในกรอบ แต่สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกอย่างที่พูดว่าจะควบคุมเลยสักนิด

เหตุใดนางจึงไม่หวาดกลัวเลย!

เป็นความผิดของนางจริงหรือ

เมื่อเห็นท่าทางที่ดูอ้างว้างของจวินฉูฉู่ ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่อยากจะใส่ใจ นางหันไปหาหนานกงเย่และเห็นว่าเขาเองก็ไม่อยากให้จวินฉูฉู่เป็นแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก

จวินฉูฉู่รู้สึกว่าร่างกายของตนเองไหวคลอนเล็กน้อย นางมองหนานกงเย่อย่างเศร้าสร้อย ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์แต่กลับดูเหมือนกำลังยิ้มให้ฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งนั่นทำให้หัวใจของนางรู้สึกราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

ไม่มีคำพูดใดๆ อีก จวินฉูฉู่ดึงหนานกงเหยี่ยนให้เดินออกไปทางประตูวัง เอ่ยว่า “เราไปกันเถิด”

เมื่อทั้งสองคนจากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นจึงหันไปมองหนานกงเย่และเอ่ยว่า “เสด็จแม่ให้รางวัลข้า”

“เช่นนั้นก็เก็บเสียเถิด ของสิ่งนี้แม้แต่ฮองเฮายังไม่มี เจ้าควรจะเก็บไว้ดีๆ ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องนำออกมา”

เมื่อหนานกงเย่ออกจากวังหลวง ฉีเฟยอวิ๋นจึงตามไปที่รถม้า จากนั้นทั้งสองคนจึงกลับไปที่จวนอ๋องเย่ด้วยกัน

ฉีเฟยอวิ๋นลงจากรถม้าและมองดูปิ่นหงส์ทั้งสองอันที่อยู่ในมือ ดูแล้วไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย

สีผึ้งกุหลาบอันแปลกใหม่ของฉีเฟยอวิ๋นมีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงได้รับของรางวัล จวินฉูฉู่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เมื่อกลับมาถึงจวนอ๋องตวน อยู่ๆ จวินฉูฉู่ก็ปวดหัวขึ้นมาและนอนอยู่บนเตียงตลอดทั้งวัน

อ๋องตวนกังวลเป็นอย่างมาก ไปตามหมอมาดูอาการแล้วแต่ก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร

เมื่อถามจวินฉูฉู่ว่าไม่สบายตรงไหน จวินฉูฉู่ก็ไม่พูดและบอกแต่เพียงว่าไม่มีอะไร

อ๋องตวนเป็นกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน

วันรุ่งขึ้น ในวังหลวงประดับประดาไปด้วยโคมไฟหลากสีเพื่อเตรียมต้อนรับพระสนมเอกเข้าวัง

ท่านอ๋องอย่างหนานกงเย่และหนานกงเหยี่ยนถูกเรียกตัวเข้าวังเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเข้าวังของพระสนมเอก ก่อนที่หนานกงเหยี่ยนจะออกไป น้ำตาของจวินฉูฉู่ก็ไหลรินลงมาเป็นสาย หนานกงเหยี่ยนตกใจและรีบเข้ามาถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือฉูฉู่”

จวินฉูฉู่ไม่ยอมตอบ นางหลับตาลงและร้องไห้ ท่าทางของนางทำให้หนานกงเหยี่ยนเจ็บปวดหัวใจจนต้องกอดนางไว้และถามว่า “เป็นเพราะว่าน้องสาวกำลังจะเข้าวังใช่หรือไม่ ฉูฉู่จึงอาลัย”

จวินฉูฉู่จะพูดอะไรได้อีก เมื่อแต่งงานมาอยู่กับคนที่มีความคิดไม่ซับซ้อนเช่นนี้ นางจะพูดอะไรได้

จวินฉูฉู่ฟุบหน้าร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของอ๋องตวน นางไม่เต็มใจเลย!

อ๋องตวนเอ่ยอย่างทะนุถนอมว่า “ฝ่าบาทคงไม่ปฏิบัติกับนางอย่างไม่เป็นธรรม ถ้ากังวล เจ้าจะเข้าไปเยี่ยมในวังก็ได้ อย่าร้องไห้ฟูมฟายจนเสียสุขภาพเลย!”

จวินฉูฉู่ไม่สามารถเรียกขวัญกำลังใจได้เลยและนางก็สับสนมาก

หนานกงเหยี่ยนไม่วางใจจึงพาจวินฉูฉู่ไปที่วังด้วย

วันนี้ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามหนานกงเย่เข้าวังเช่นกัน เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้อยากจะเข้าวัง แต่นางกลัวจริงๆ ว่าจะมีถูกลอบสังหาร ดังนั้นจึงจำต้องตามมาด้วย

เมื่อลงมาจากหลังม้า ฉีเฟยอวิ๋นจึงพบเข้ากับจวินฉูฉู่ที่มีท่าทางเศร้าซึม

“อ๋องตวน พระชายาตวน” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นฝ่ายทักทายก่อนเมื่อพบหน้ากัน

อ๋องตวนมองฉีเฟยอวิ๋นและรู้สึกว่าตนเองช่างโชคร้ายเหลือเกิน สีหน้าของเขาดูไม่สบอารมณ์นัก “ฮึ วันนี้ข้าถูกเรียกตัวมา ไม่ยักรู้ว่าพระชายาเย่ก็มาด้วย”

“ข้าไม่ค่อยสบายนัก จึงถือโอกาสพานางมาด้วย” หนานกงเย่เอ่ยและมองไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ

จวินฉูฉู่รู้สึกเจ็บปวดใจ เดี๋ยวนี้เขาเริ่มปกป้องฉีเฟยอวิ๋นแล้วงั้นหรือ

เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับร่างของฉีเฟยอวิ๋น จวินฉูฉู่ก็บ่ายหน้าหนีและเดินตามอ๋องตวนไปที่วัง

ฉีเฟยอวิ๋นไม่แปลกใจนัก จวินฉูฉู่กับนางเข้ากันไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่สนก็ไม่ต้องสน!

หนานกงเย่เดินนำเข้าไปด้านในโดยมีฉีเฟยอวิ๋นเดินตาม

เมื่อเข้ามาในวังแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ทำอะไรตามอำเภอใจ นางไปถวายความเคารพพระพันปีก่อนแล้วจึงไปเข้าเฝ้าฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู

สีหน้าของเฉินอวิ๋นชูดูดีขึ้นกว่าตอนที่พบกันครั้งก่อนมากทีเดียว นางโบกมือเรียกให้ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่ให้เข้าไปหา

“นั่งลงก่อนเถิด ตอนที่พวกเจ้าหายหน้าไป คนในวังคิดถึงพวกเจ้าไม่น้อย ช่วงนี้ในโรงครัวคิดค้นสำรับอาหารขึ้นใหม่สองชนิด ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกเจ้าหรือไม่ ข้าลิ้มรสดูแล้วก็คิดว่าใช้ได้ทีเดียว ไหน ๆ พวกเจ้าก็มาแล้ว มาลองชิมดูเสียหน่อยสิ”

เฉินอวิ๋นชูรับขนมจากนางกำนัลมาวางบนโต๊ะด้วยตนเองเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้องการให้ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่ลิ้มลอง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่ามีพิษอยู่ในขนมเหล่านี้ แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ นางล้างพิษในร่างกายของตนเองได้ แต่จวินฉูฉู่ไม่ทราบเรื่องนี้

ทั้งสองคนกินไปคนละสองชิ้น หลังจากนั้นเฉินอวิ๋นชูก็บอกว่านางรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงบอกพวกนางทั้งสองไปรอที่ตำหนักข้างก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่จึงลุกขึ้นและกล่าวลา หลังจากคนทั้งสองเดินออกไป เฉินอวิ๋นชูก็บดขยี้ขนมชิ้นหนึ่งจนแหลก ก่อนจะยิ้มออกมาและยกมือปัดจานทั้งหมดให้ร่วงหล่น

นางกำนัลในตำหนักเฟิ่งอี๋คุกเข่าลงกับพื้น พวกนางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา

เฉินอวิ๋นชูหันหลังและเดินกลับไปยังห้องบรรทม

หลังจากออกจากตำหนักเฟิงอี๋ ฉีเฟยอวิ๋นและจวินฉูฉู่ก็เข้าไปรอในตำหนักข้าง คนสองคนนั่งแยกกันคนละที่ จวินฉูฉู่ค่อยๆ หันไปมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ฉีเฟยอวิ๋นหลับตาลงและไม่มองจวินฉูฉู่ แต่นางรู้สึกรางๆ ว่ามีสายตาอันทิ่มแทงกำลังมองมา

ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยหน่ายกับเรื่องนี้แล้ว

“พวกเจ้าออกไปก่อน พวกข้าจะคุยกันตามประสาพระชายา” จวินฉูฉู่สั่งคนที่อยู่ข้างกายหลบไปก่อน ทั้งยังเรียกพลังมาเฮือกใหญ่

ฉีเฟยอวิ๋นจึงรับรู้ทันทีว่าจวินฉูฉู่มีเจตนาแอบแฝง

เหตุผลประการแรกคือนางต่อสู้ไม่ได้ ประการที่สองคือคนอย่างจวินฉูฉู่มีอุบายมากมายอยู่เสมอ ประการที่สาม ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในวังครั้งก่อน จวินฉูฉู่ก็กล้าพอที่จะหยิบมีดออกมาและเกือบจะทำลายใบหน้าของนาง

เมื่อทุกคนออกไปแล้ว นางจึงเริ่มลงมือ

เวลานี้เองที่ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองที่ประตูและพบว่ามีคนสองคนเฝ้าอยู่ที่ประตู และประตูก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก

“ไม่ต้องมองแล้ว วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าข้าเก่งกาจเพียงใด” จวินฉูฉู่ลุกขึ้นยืน พาร่างอันบอบบางของตนเองเดินเข้ามาอย่างไม่มั่นคง

ทว่าสายตาของจวินฉูฉู่กลับดุดันและในมือของนางก็ถือกริชเอาไว้

ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “พระชายาตวน แอบลักลอบนำอาวุธเข้ามาในวังจะต้องโทษประหารนะ”

จวินฉูฉู่หัวเราะออกมา “พอเจ้าตายไป เรื่องโทษประหารก็ไม่มีทางมาถึงตัวข้า!”

“เจ้านี่ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง ที่นี่คือตำหนักข้างของฝ่าบาท เจ้ากินดีหมีดีเสือมาหรืออย่างไรจึงกล้าเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา”

“ฉีเฟยอวิ๋น ข้าควรจะจัดการเจ้าตั้งนานแล้ว”

จวินฉูฉู่เกือบจะเดินมาถึงตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋น ด้านหลังของฉีเฟยอวิ๋นมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ถ้านางไม่หนีตอนนี้ ในไม่ช้าจวินฉูฉู่จะเข้าถึงตัวนางอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ฉีเฟยอวิ๋นจึงก้าวไปซ่อนตัวอยู่หลังเก้าอี้ตัวนั้น

“ซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้ไม่ข้าก็เจ้าที่จะต้องตาย”

จวินฉูฉู่แทงลงมาเต็มแรงและฉีเฟยอวิ๋นหลบไม่พ้น คมมีดปาดลงมาบนแขนของนาง หยดเลือดรินไหลออกมาจากแขนของฉีเฟยอวิ๋นและหยดลงสู้พื้น

“จวินฉูฉู่ ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้าจะมาหาเรื่องข้าด้วยเหตุอันใด”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีทางยอมแพ้ต่อเรื่องนี้เด็ดขาด นางเตะเก้าอี้และคว้ามันไว้ จากนั้นจึงหมุนตัวและฟาดลงไปที่ร่างของจวินฉูฉู่

แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะใช้ดาบไร้ใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะใช้ทักษะการต่อสู้ไม่ได้

จวินฉูฉู่ไม่คิดว่าฉีเฟยอวิ๋นจะโต้ตอบ แถมยังตอบโต้อย่างทรงพลังมากเสียด้วย

เพียงแค่เสียงแกร๊กดังขึ้น ร่างของจวินฉูฉู่ก็เริ่มคลอนแคลน มีดในมือร่วงหล่นลงไปบนพื้น…

พรึบ ทันใดนั้นร่างของจวินฉูฉู่ก็ล้มพับลงไปบนพื้นเช่นกัน

จ๋าเจีย คือคำเรียกตัวแทนตัวเอง หมายถึง คนที่มีความรู้ในหลายๆ ด้าน (แต่ไม่เชี่ยวชาญ)