มีคนเข้ามาจากด้านนอกประตู ฉีเฟยอวิ๋นกอดตนเองพร้อมกับรีบล่อตัวลงและกรีดเสียงร้องออกมาจากลำคอ
ประตูตำหนักข้างเปิดออกซึ่งหนานกงเย่เป็นคนแรกที่ได้ยินความเคลื่อนไหว แล้วก็วิ่งพุ่งไปทางตำหนักข้างในทันที
“หลิงอวิ๋น!”
อ๋องตวนนึกบางอย่างออกจากนั้นจึงเดินตามไปยังตำหนักข้าง ในเวลานี้หนานกงเย่ได้เข้าประตูไปแล้ว
ผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคือจวินฉูฉู่ จวินฉูฉู่ถูกทำร้ายจนศีรษะแตกเลือดไหล ข้างๆมือมีมีดทิ้งไว้อยู่ หนานกงเย่มองไปรอบๆทันทีและพบฉีเฟยอวิ๋นเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ใต้เก้าอี้
แว๊บเดียวเขาก็เห็นเลือดไหลที่แขนของฉีเฟยอวิ๋นและมีดก็อยู่ไม่ห่างจากฉีเฟยอวิ๋น
เดินไปอย่างรวดเร็วแล้วหนานกงเย่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาในทันที ฉีกแขนเสื้อของ ฉีเฟยอวิ๋นออกแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแขนของฉีเฟยอวิ๋นไว้
ไม่ได้มองจวินฉูฉู่เลยสักนิด หนานกงเย่ก้มลงอุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้นแล้วหันหลังออกไปยังด้านนอก
เมื่ออ๋องตวนเข้าประตูมาเห็นจวินฉูฉู่ล้มนอนอยู่ตรงพื้นก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด
“ฉูฉู่”
อ๋องตวนกุลีกุจออุ้มจวินฉูฉู่ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแล้วหันหลังวิ่งออกไปด้านนอก
“หมอหลวง หมอหลวง……”
ออกจากประตูอ๋องตวนก็ทรงตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนกตกใจ
ไม่ไกลจากนั้นหนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นซึ่งเนื้อตัวสั่นเทาเข้าไปในตำหนักบำรุงฤทัยแล้ว
จักรพรรดิอวี้ตี้ยังไม่ได้เสด็จจากไป เมื่อเห็นหนานกงเย่ที่ไร้ซึ่งสติบุกเข้าประตูมา: “เกิดอะไรขึ้น?”
“มิทราบได้”
หนานกงเย่เดินตรงไปยังเก้าอี้ข้างหน้าและทูลว่า: “น้องล่วงเกินแล้ว ขอฝ่าบาททรงอภัยให้ด้วย”
จักรพรรดิอวี้ตี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะกล่าว นี่เป็นการคารวะเขาหรือ?
“ท่านอ๋องผู้สง่างามดูใช้ได้ที่ใด ดูเจ้าสิทำให้ตำหนักบำรุงฤทัยของข้าอากาศเป็นพิษ แล้วเจ้ายังกล้าดูหมิ่นข้า! องครักษ์ กุมตัวอ๋องเย่ไปยังตำหนักจงเหรินซะ”
สวี่กงกงตื่นตระหนกเล็กน้อย นี่เกิดอะไรขึ้นเหรอเนี่ย!
หลังจากกล่าวจบจักรพรรดิอวี้ตี้ก็หันหลังจากไป
สวี่กงกงสีหน้าลำบากใจ: “อ๋องเย่ เชิญพะย่ะค่ะ!”
“ฉีเฟยอวิ๋น”
หนานกงเย่ตบๆฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นกอดหนานกงเย่เลยแล้วซบในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้ออกมา
“โอ้ พระชายาเย่นี่เป็นอะไรหรือ?” สวีกงกงตื่นตระหนกตกใจ
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นขึ้น: “สวีกงกง นำทาง”
สวีกงกงตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ต้องทำตามรับสั่งของฝ่าบาท ฝืนทำตัวสงบนิ่งพาตัวหนานกงเย่ไปยังตำหนักจงเหริน
สถานที่ที่หนานกงเย่ไปเป็นที่คุมขังที่เตรียมไว้สำหรับองค์ชายทั้งหลายในวังโดยเฉพาะ หากกระทำความผิดหรือมีสิ่งใดไม่ถูกต้องก็ขังสำนึกผิดที่นั่น
เมื่อมาถึงหน้าประตูของตำหนักจงเหริน สวี่กงกงก็โค้งตัว: “ท่านอ๋องเย่ข้างในหนาวยิ่งนักทรงระวังพระวรกายด้วย”
“สวี่กงกงกลับไปเถอะ”
หนานกงเย่ไปตำหนักจงเหรินราวกับว่าไปที่ตำหนักเฉาเฟิ่งยังไงยังงั้น สวีกงกงตกตะลึงและเงยหน้าเห็นว่าหนานกงเย่ได้เข้าไปในตำหนักจงเหรินแล้ว จึงส่ายหัวอย่างจนปัญญาและหันหลังกลับเพื่อไปกราบทูลต่อจักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ในเวลานี้มองไปยังจวินฉูฉู่ผู้ซึ่งเต็มไปด้วยเลือดอย่างประหลาดใจ อ๋องตวนยืนยันว่าเป็นน้ำมือของฉีเฟยอวิ๋น จักรพรรดิอวี้ตี้สีหน้าหมองหม่น แม้แต่ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูก็ตกพระทัย พระองค์เสด็จมาเมื่อทรงได้รับข่าว ทันทีที่เข้ามาก็เห็นจวินฉูฉู่ได้รับบาดเจ็บเลือดเต็มศีรษะอยู่ในตำหนักบำรุงฤทัย
อ๋องตวนเป็นห่วงทุกข์ใจจึงคอยอยู่เคียงข้าง หมอหลวงกำลังวุ่นวายอยู่กับการรักษาซึ่งตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว
เฉินอวิ๋นชูรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเนื่องมาจากความกลัว
จักรพรรดิอวี้ตี้จับมือนางไว้และเช็ดเหงื่อในฝ่ามือของนาง
สามีภรรยายืนเคียงคู่กัน เฉินอวิ๋นชูสัมผัสได้ถึงความมีอยู่และสูญเสีย
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เป็นสวามีของนาง แต่นางนั้นรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่าพระองค์ไม่เคยเป็นของนางเลย
จวินฉูฉู่ลืมตาขึ้นมองไปยังอ๋องตวนด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น อ๋องตวนถามขึ้นทันทีว่า: “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
จวินฉูฉู่ในตอนนี้เวียนหัวไปหมด รู้เพียงแค่ร่ำไห้ครู่เดียวก็สลบไปอีก
ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูถามว่า: “หมอหลวงเจ้าดูสิว่าดีขึ้นบ้างหรือยัง? เลือดไหลออกมามากเช่นนั้นจะมีโรคใดเกิดขึ้นหรือไม่?”
หมอหลวงตอบตามความจริงว่า: “ทูลฮองเฮา ได้หยุดเลือดไว้แล้วแต่ว่าแรงของเก้าอี้ที่ทุ่มลงมานั้นมากซะจนทำให้พระชายาตวนทนไม่ไหว เกรงว่าอาจจะสลบไปสักสองสามวันพะย่ะค่ะ”
“งั้นต้องดูแลให้ดีๆ”
เฉินอวิ๋นชูเหลือบมองจักรพรรดิอวี้ตี้ข้างๆกาย: “ฝ่าบาท หม่อมฉันเกรงกลัวสิ่งนี้”
“เอาหล่ะ ไปพักผ่อนซะก่อนเดี๋ยวข้าจะตามไปทีหลัง” จักรพรรดิอวี้ตี้ตบมือของเฉินอวิ๋นชูแล้วมองไปยังสวีกงกงที่เพิ่งกลับเข้ามา: “ไป ไปเรียกสองคนไร้ประโยชน์นั้นมาให้ข้า”
“อ๊า?”
สวีกงกงตกตะลึง สองคนใดพะย่ะค่ะ?
“ยังไม่ไปอีก?” สวีกงกงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่พอพระทัยจนสีพระพักตร์นั้นกริ้วเป็นการใหญ่ สวีกงกงตกใจจนตัวสั่น
สวีกงกงรีบขานรับและถอยจากไป
ไม่นานนักฉีเฟยอวิ๋นได้ยินเสียงคนเคาะประตูและในเวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นกำลังถูกหนานกงเย่กอดไว้อยู่ พวกเขาอยู่ในท่านี้มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นเหม่อ หนานกงเย่นั่งกอดนางอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ได้ปล่อยมือหรือกล่าวสิ่งใด ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าหนานกงเย่คิดสิ่งใดอยู่
รู้เพียงว่าตอนนี้เขาทั้งโกรธและโมโห
เมื่อได้ยินเสียงเคาะจากนอกประตูหนานกงเย่ถามขึ้นทันทีว่า: “ยังกลัวอยู่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหัวราวกับว่าถูกครอบงำอยู่ หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น: “ข้าว่าเจ้าเดินไม่ไหวแล้ว คงจะตกใจแทบแย่แล้วเป็นแน่”
“……”ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ แต่เขาอุ้มนางเดินไปที่ประตูแล้ว
ประตูถูกผลักออกสวีกงกงยืนอยู่ข้างนอกกับผู้ที่พามาด้วย
“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ ฝ่าบาทเชิญให้เข้าเฝ้า” สวีกงกงกล่าวอย่างเคารพนบน้อม
หนานกงเย่ถามว่า: “พระชายาตวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พระชายาตวนไม่เป็นอะไรแล้ว แต่นางหมดสติไป หมอหลวงบอกว่าจำเป็นต้องพักฟื้นช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ในเวลานี้อ๋องตวนมั่นใจแน่วแน่ว่าพระชายาเย่เป็นคนทำ” สวี่กงกงพูดทุกอย่างที่รู้
หนานกงเย่เหลือบมองหญิงสาวในอ้อมแขนแล้วอุ้มเดินไปยังตำหนักจงเหริน
กลับถึงตำหนักจงเหรินโดยที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกอุ้มเข้าไปในตำหนักจงเหริน หลังจากเข้าประตูแล้วหนานกงเย่ก็วางฉีเฟยอวิ๋นลงบนพื้น
“น้องขอคารวะฝ่าบาท”
หนานกงเย่เคารพอ่อนน้อม
จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกลิ้วแล้วกล่าวว่า: “เรื่องพระชายาตวนเป็นยังไง?”
“น้องมาก็ด้วยเรื่องนี้” หนานกงเย่ตอบแล้วมองไปยังฝั่งอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยน หนานกงเหยี่ยนมองกลับไม่ลดละ
“น้องสาม เจ้าดูซิว่านางทุบตีฉูฉู่ซะจน”
ไม่ง่ายเลยที่หนานกงเย่จะไม่พอใจขึ้นโดยแสดงต่ออ๋องตวน
“พี่รอง ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด พระชายาเย่ไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านอย่าได้ไม่ไต่ถามต้นสายปลายเหตุ ถามแล้วก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
หนานกงเหยี่ยนโมโห:“ถามสิ่งใด นางไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ฉูฉู่หมดสติ เจ้าจะถามสิ่งใดอีก?”
หนานกงเย่หันกลับมาด้วยใบหน้าที่เย็นชาโดยไม่ได้มองหนานกงเหยี่ยน
“งั้นก็ฟังดูว่าพระชายาเย่จะกล่าวเช่นไร”
หนานกงเย่ก้มลงมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นบนพื้น ฉีเฟยอวิ๋นแสร้งทำเป็นลุกไม่ขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ฝ่าบาท ขาของหม่อมฉันอ่อนแรงจนไม่สามารถยืนขึ้นได้ ขอได้โปรดอภัยด้วย”
“พูดมาก่อนเถอะ เกิดอะไรขึ้น?” เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิอวี้ตี้หมดความอดทนกับปัญหาที่เกิด
ฉีเฟยอวิ๋นทูลอย่างเศร้าโศก: “ข้าและพระชายาตวนรออยู่ที่ตำหนักข้าง ไม่คิดว่าคนชุดดำคนหนึ่งจะบุกเข้ามา ปิดหน้าปิดตาไว้และถือมีดในมือ
ตอนนั้นหม่อมฉันตกใจมาก ไม่คิดว่าพระชายาตวนจะกล้าหาญเช่นนั้น นางไปแย่งมีดมา หม่อมฉันเห็นว่าตนเองและพระชายาตวนเป็นพี่สะใภ้กับน้องสะใภ้ จะให้พระชายาตวนรับมือคนเดียวได้อย่างไร ดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปด้วย
นึกไม่ถึงว่าพวกเราแย่งมีดมาได้ ตอนที่แย่งมีดมาคนชุดดำนั้นก็คับข้องใจจึงหยิบเก้าอี้ขึ้นมาตีลงบนร่างของพระชายาตวน หม่อมฉันเห็นเข้าก็ตกใจแทบแย่แล้วร้องขึ้นมาเขาก็วิ่งหนีไป หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว ”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสร็จก็ร้องไห้ขึ้นมา จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงแปลกพระทัย: “เหตุใดถึงมีคนบุกเข้าไปในตำหนักข้าง องครักษ์ในวังหลวงไม่เห็นเลยหรือ?”
“เสด็จพี่อย่าได้ฟังคำลวงของนาง ในวังจะมีนักฆ่าได้อย่างไร?”
หนานกงเย่อดไม่ได้ที่จะมองไป: “มือพระชายาของข้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะจับไก่ยังไม่ได้ จะลุกยืนนางยังยืนไม่ไหว แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปทุบตีได้ ยิ่งกว่านั้นก่อนเข้ามาสวีกงกงได้ค้นตัวข้าและพระชายาด้วยตนเอง หรือว่ามีดเล่มนั้นสามารถบินเข้ามาหรือ?”
สีหน้าอ๋องตวนซีดจนกล่าวไม่ออก
หมายเหตุ
ตำหนักจงเหริน เป็นตำหนักที่ใช้ควบคุมตัวองค์ชายทั้งหลายที่กระทำความผิดให้ได้ใช้
สำนึกผิด