ฟางเจิ้งพูดพลางนั่งลงใต้ต้นโพธิ์
เด็กแดงตะลึงค้าง นี่จะให้เขากินให้หมดหรือ!
แต่เด็กแดงก็ต้องจำใจ สุดท้ายเป็นไงเป็นกัน นั่งลงตรงหน้าฟางเจิ้ง แต่ฟางเจิ้งเงียบ แค่นั่งมองดวงจันทร์ใต้ต้นโพธิ์
เด็กแดงแหงนหน้ามองตาม ศีรษะเล็กเท่าลูกแดงหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว กำลังตรึกตรองว่าจะจัดการปัญหายุ่งยากตอนนี้อย่างไร
“จิ้งซิน ศิษย์ว่าบนดวงจันทร์จะมีเทพธิดาฉางเอ๋อกับกระต่ายหยกรึเปล่า?” ฟางเจิ้งพลันถาม
“มี” เด็กแดงตอบ
“อย่างนั้นเอง ศิษย์เคยเห็นเหรอ?”
“ไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยิน”
“อาจารย์ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ศิษย์อย่าหยุด กินต่อไป ถ้าหิวจะเป็นผลเสียต่อร่างกาย”
เด็กแดงน้ำตาคลอ กัดไปคำหนึ่ง เคี้ยวดังกรุบๆ…
“จิ้งซิน โลกที่ศิษย์อยู่เป็นยังไงบ้าง?”
“ภูเขาสูง น้ำกว้าง ปีศาจอยู่กันเป็นกลุ่ม เทพเซียนไปได้ทุกแห่งหน พระพุทธองค์สู้สุนัขไม่ได้” เด็กแดงถือโอกาสว่าร้ายพระพุทธองค์ ก่อนรู้ตัวว่าตนพูดผิดไป เห็นฟางเจิ้งยิ้มหยีตามองมา
ฟางเจิ้งพูดยิ้มๆ “ศิษย์ รีบกินเถอะ กินเยอะๆ หน่อย”
เด็กแดงมองฟางเจิ้งก่อนมองหิน พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ไอ้นี่รู้อยู่แล้วว่าเขาจะใช้หินตีเขา เลยจงใจหลอกเขาอย่างโจ่งแจ้ง!
แต่รู้แล้วอย่างไร? เด็กแดงไม่กล้าเปิดโปง ขืนเปิดโปงไป นั่นก็จะใช้การกินหินแก้ปัญหาไม่ได้ ดังนั้นเลยได้แต่น้ำตาคลอกินต่อไป แถมยังถูกฟางเจิ้งกดขี่ให้กินอีกสองคำ
“ศิษย์ อาจารย์ได้ยินมาว่าศิษย์ถูกพระโพธิสัตว์กวนอิมพาตัวไปตั้งเมื่อนานมาแล้ว ทำไมนานขนาดนี้แล้วพระโพธิสัตว์ถึงยังสั่งสอนอะไรศิษย์ไม่ได้เลย?” ฟางเจิ้งถาม
“อาจารย์ ท่านคิดมากไปแล้ว พระโพธิสัตว์พาข้ากลับทะเลใต้ไม่ได้นานมาก แค่พันกว่าปีเอง…แต่นางเข้าฌานสมาธิพันกว่าปี จะมีเวลามาสนใจข้าหรือ?” เด็กแดงเบะปากพูด
ฟางเจิ้งงุนงง คนธรรมดาไม่เข้าใจโลกของเทพเซียนจริงๆ แต่ก็ยังถามด้วยความแปลกใจ “พระโพธิสัตว์เป็นคนยังไง?”
เด็กแดงคึกคักขึ้นมา ดวงตาโตกลอกไปมา “เก่งกาจ เขาสูงใหญ่น่าเกรงขามแข็งแกร่ง มีกล้ามเนื้อทั้งตัว หน้าอกเจริญมากเป็นพิเศษ ไว้หนวดเคราและจอนผม ดวงตาโต…”
ฟางเจิ้งได้ยินดังว่าก็มีเส้นสีดำขึ้นมาตรงหน้าผาก หยิบหินใหญ่ที่นั่งอยู่ขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าเด็กแดงดังปัง
เด็กแดงงุนงง “อาจารย์ ท่านจะทำอะไร? ศิษย์มีที่นั่งแล้ว”
ฟางเจิ้งยิ้มนิดๆ “ไม่มีอะไร อาจารย์รู้ว่าศิษย์กินได้ กลัวว่าของว่างนั่นจะกินไม่อิ่ม เลยเพิ่มอาหารให้อีก”
เด็กแดงมองฟางเจิ้งก่อนมองหิน แล้วกระแอมไอ “อาจารย์ ความจริงพระโพธิสัตว์อบอุ่นมาก อ่อนโยนเหมือนกับแสงตะวัน ยิ้มเมตตามาก อ่อนหวาน สวยเพียบพร้อม ใจกว้างแต่จริงจัง ทำให้เกิดความเคารพยำเกรง…”
ฟางเจิ้งถึงพูดอย่างพอใจ “พูดได้ดีมาก แต่ศิษย์ออกนอกเรื่องแล้ว กินอาหารว่างเถอะ”
เด็กแดงพูดสะอื้น “อาจารย์ ศิษย์กินอิ่มแล้ว พวกเราค่อยๆ กินวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่?”
“ก็ได้ อาตมาจะไปสวดมนต์” ฟางเจิ้งยืนขึ้นสบายๆ แต่ขากลับตึง ก้มหน้ามองเห็นเด็กแดงดึงกางเกงเขาไว้ พูดด้วยหน้าตาน่าสงสาร “อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว จากนี้ไปสัญญาว่าจะไม่พูดมั่วอีก ขอร้องล่ะปล่อยข้าไปเถอะ”
ฟางเจิ้งหัวเราะทีหนึ่ง เขาเตรียมไปสวดมนต์จริงๆ ไม่นึกเลยว่ายังได้ผลที่ไม่คาดคิด จึงพยักหน้า “เห็นแก่ที่ศิษย์จริงใจแบบนี้ กินอาหารว่างในมือให้หมดแล้วไปเข้านอนเถอะ”
เด็กแดงได้ยินแบบนั้นจึงรีบหยิบหินมากินอย่างมูมมาม เคี้ยวดังกรุบๆ ก่อนเช็ดปากแล้วหายวับไป เขารู้แล้วว่าการสู้กับฟางเจิ้งตรงๆ จะเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองมากกว่า ทุกอย่างต้องวางแผนระยะยาว
ฟางเจิ้งจะเข้าอุโบสถ ก็หยิบมือถือออกมาดูโดยไม่รู้ตัว แต่มีสายเข้าพอดี เบอร์ยังคงเป็นของเด็กคนนั้น
ฟางเจิ้งตรึกตรอง สุดท้ายรับสาย
“ฮัลโหล ใช่พ่อไหม?” น้ำเสียงเด็กมีการเฝ้ารอคอยมาก
ฟางเจิ้งยิ้มนิดๆ “ใช่”
“ว้าว! พ่อจริงๆ ด้วย! แม่ๆๆ! ผมโทรหาพ่อติดแล้ว! พ่ออยู่ปลายสาย! ผมรู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ หุๆ…” น้ำเสียงเด็กน้อยมีความดีใจไม่มีสิ้นสุด ฟางเจิ้งสัมผัสถึงความสุขของอีกฝ่ายผ่านโทรศัพท์ วินาทีนั้นเขาพลันรู้แล้วว่าการโกหกเหมือนจะคุ้มค่ามาก
“หืม?” เสียงเบาดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ามารดาของอีกฝ่ายเพิ่งตื่นนอน
“แม่ ผมโทรหาพ่อติดด้วย พ่อยังอยู่ไหม? ผมดีใจมากเลย เมื่อไรพ่อจะกลับมาหาเป่าเปาล่ะ? เป่าเปาคิดถึงพ่อมาก แม่บอกว่าพ่องานยุ่งมาก ต้องจับคนเลว” ปากเด็กน้อยพูดรัวเป็นกองราวกับปืนกล
ฟางเจิ้งได้ฟังข้อมูลที่มีประโยชน์เล็กน้อยเช่นกัน ตอบกลับไปว่า “ยังอยู่”
“แม่ พ่อยังอยู่ จะคุยกับพ่อไหมครับ? ช่างเถอะ ไม่ให้แม่หรอก ผมจะคุยกับพ่อ! เป่าเปา[1] ไม่ได้คุยกับพ่อมานานมากแล้ว” เด็กน้อยตื่นเต้นมาก ก่อนกอดโทรศัพท์ไว้ นอนหมอบอยู่ในผ้าห่ม พูดเสียงดังขึ้น
ฟางเจิ้งรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ต้องการให้เขาพูดอะไร แค่เป็นผู้ฟังก็พอ แค่ขานรับตลอด ให้กำลังใจบ้าง เขาก็ดีใจมากแล้ว
ขณะเดียวกันในห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลประชาชนเมืองชุน ผู้หญิงหน้าซีดเซียวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หมุน มองเด็กที่กำลังยิ้มด้วยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง และยังมีความกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่นั่งตรงนั้น มองดูเด็กน้อยเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้เธอฟังมานับครั้งไม่ถ้วนอย่างมีความสุขนิ่งๆ หลายปีมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขามีความสุขขนาดนี้
ฟางเจิ้งเริ่มเข้าใจเด็กคนนี้ทีละนิดผ่านคำพูดอีกฝ่าย เด็กคนนี้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เขาใช้วิธีไม่ยอมกินยาบีบให้มารดายอมให้เบอร์มือถือของบิดา จากนั้นเขาจะอาศัยจังหวะที่มารดาไม่สังเกตเห็นขโมยมือถือมาโทร น่าเสียดายฟางเจิ้งไม่เคยยอมรับเลย ทำให้เด็กน้อยหดหู่มาก
แต่เขาไม่เคยบ่น กระทั่งไม่ถามฟางเจิ้งว่าทำไมไม่ยอมรับ จะเห็นได้ว่าตัวเขาตื่นเต้นมาก เล่าเรื่องที่บ้าน เล่าเรื่องคนข้างกาย…
“พ่อครับ ผมจะบอกอะไรให้ พวกเราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันมาสามปีแล้ว พ่อไม่คิดถึงเป่าเปาเหรอ? แล้วก็เมื่อสามปีก่อนมีคุณอาตำรวจมาที่บ้านเราเยอะมาก…วันนั้นไม่รู้ทำไมแม่ถึงร้องไห้เสียใจมาก ต่อมา…ต่อมาแม่ขยับขาไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าทำไม” เด็กชายน้อยกล่าว
ฟางเจิ้งตะลึงงัน มีตำรวจไปที่บ้านพวกเขาเยอะมาก? แม่เขาเสียใจ? ขยับขาไม่ได้? หรือว่านี่จะเป็นเด็กจากครอบครัวนักโทษ? พ่อเขาถูกจับ? แม่โมโหจัดจนโรคอื่นกำเริบ พิการแล้ว?
เด็กน้อยพูดต่อ “พ่อ พ่ออยู่ไหนครับ เป่าเปาคิดถึงพ่อมาก เป่าเปาไม่อยากกินผักกาดขาวทุกวันแล้ว เป่าเปาอยากกินเนื้อ…”
……………………..
[1]เป่าเปา คือคำเรียกลูกหรือเด็กเล็กๆ