ตอนที่ 190 การลงโทษผู้อาวุโส

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ทุกผู้คนตะลึงลาน หลังจากฝึกฝนมาห้าสิบหกสิบปี…

หมายความว่าอย่างไรกัน…?

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูล การที่กล่าวว่ามู่เทียนได้ฝึกฝนมาห้าสิบหกสิบปี อายุเขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกปี ผู้นำตระกูลหาข้ออ้างเช่นนี้จะไม่เป็นที่ขบขันไปหน่อยหรือ ?”

เพียงปลายนิ้วของมู่เฉียนซี เข็มยาเข็มหนึ่งพุ่งออกไป

เข็มยานั้นแทงเข้าที่ลำคอมู่เทียน ไม่นานนักทุกคนก็เห็นโครงร่างของมู่เทียนพองโตขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ  ร่างกายของเขาสูงยืดขึ้นไปมาก อีกทั้งผิวหนังที่บอบบางก็เปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่น เสมือนเป็นผิวหนังของชายชราอายุหกสิบกว่าปีก็ว่าได้

และชายชราผู้นั้น…คือผู้อาวุโสหก!

“อ๊าก!” ผู้อาวุโสหกร้องโหยหวน รีบปิดหน้าปิดตาของตน

เมื่อถูกเผยโฉมต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เขาอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง  มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสหก พวกท่านควรอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย ในเมื่อพวกท่านให้ผู้อาวุโสหกปลอมตัวเป็นคนหนุ่มในตระกูลมู่มาท้าทายข้าที่เป็นผู้นำตระกูล ทำให้แขกผู้มีเกียรติที่อยู่ที่นี่ได้พบกับความขบขัน ความผิดของพวกเจ้ามีโทษสถานใด ?”

ผู้อาวุโสสูงสุดตื่นตระหนกตกใจ รีบคุกเข่าลงกล่าว “ผู้นำตระกูลโปรดอภัยด้วย พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน  พวกเราโดนเจ้าหกหลอกลวง”

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เจ้าหก  เจ้า… เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้า… เฮ้ออออ!”

ผู้อาวุโสหกกล่าว “พี่ใหญ่ ไม่ใช่นะ… ท่านต้องช่วยข้า พี่ใหญ่…”

ผู้อาวุโสสูงสุดรีบวิ่งไปที่เวทีประลองและกล่าวว่า “ท่านผู้นําตระกูล เจ้าหกกล้าทําเรื่องเช่นนี้ในพิธีสืบทอดตําแหน่งผู้นําตระกูล วันนี้ข้าจะจัดการเขาด้วยกฎของตระกูลแทนผู้นำตระกูลเอง”

ฝ่ามืออันดุดันฟาดไปยังกระหม่อมตรงจุดเกราะครอบคลุมวิญญาณของผู้อาวุโสหก   ผู้อาวุโสหกที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถขยับตัวได้ตะโกนขึ้นว่า “ผู้นำตระกูล  ช่วยข้าด้วย  ข้าไม่รู้เรื่อง!”

“ผู้นำตระกูล…”

— ตูม! —

เกิดเสียงดังสนั่น เลือดสาดกระเซ็นเปรอะไปทั่วเวทีประลอง  ผู้อาวุโสได้ใช้ผ่ามือของเขาฟันผ่าลงไปยังร่างผู้ที่เป็นพี่น้องร่วมกันมาเป็นสิบปีสิ้นลมหายใจในฝ่ามือเดียว

หลังจากจัดการผู้อาวุโสหกเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ผู้อาวุโสสูงสุดคุกเข่าลง กล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูล เป็นข้าเองที่ผิดพลาดในการตรวจสอบ ไม่ได้พบว่าเจ้าหกจะกล้าวางแผนร้ายกับท่านผู้นำตระกูลในวันพิธีสืบทอดตำแหน่งเช่นนี้  ขอให้ท่านผู้นำตระกูลโปรดลงโทษข้าด้วยเถอะ”

นอกจากผู้อาวุโสเก้าแล้ว ผู้อาวุโสผู้อื่นอีกหกคนก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ขอผู้นำตระกูลโปรดลงโทษ…”

มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ผิดแล้ว เช่นนั้นก็… ใครก็ได้มานี่ ยึดอำนาจของผู้อาวุโสทั้งหมดทั้งในทางทั่วไปและทางมืด แล้วนำไปกักบริเวณไว้หนึ่งเดือน จากนั้นไสหัวออกจากจวนตระกูลมู่ไปให้หมด!” ผู้อาวุโสสูงสุดเบิกตากว้าง รีบกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูล!  หลายปีมานี้พวกเรามิได้สร้างความดีความชอบ แต่พวกเราเคยลำบากเพื่อตระกูลมาไม่น้อย  ขอให้ท่านยอมให้เราอยู่ในจวนตระกูลมู่ต่อไปเถอะ”

“ท่านผู้นำตระกูล ตระกูลมู่นั้นเป็นบ้านของพวกเรา หากพวกเราจากบ้านไป ท่านจะให้พวกเราทำเช่นไร ?”

“ท่านผู้นำ…”

ผู้เฒ่าเหล่านั้นร้องไห้โฮออกมาดังลั่นไม่สนภาพลักษณ์  ทว่ามู่เฉียนซีมิสนใจแม้แต่น้อย นางกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ยังจะโวยวายอีกรึ ? หนวกหูนัก  ลากออกไปให้หมดแล้วกักบริเวณให้ดี ๆ”

องครักษ์เงาตระกูลมู่ได้รับคําสั่งให้พาผู้อาวุโสที่ร้องห่มร้องไห้เหล่านั้นออกไป  วันนี้ผู้อาวุโสตระกูลมู่คิดจะกดดันผู้นำตระกูลในพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของนาง  ทว่าถูกนางจับตัวได้ จากนั้นต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชราวกับถูกบดขยี้สูญสิ้นอำนาจ

วันนี้เหล่าผู้อาวุโสคิดที่จะมาโค่นอำนาจผู้นำตระกูลมู่ในวันรับมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกนางจับจุดได้ นางจัดการพวกเขารวดเดียวทั้งหมด

เหล่าผู้ร่วมงานกระซิบกระซาบกัน “ผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ไม่เพียงมีพรสรรค์ในการฝึกยุทธ์ นางยังหาเงินเก่ง และสำหรับเรื่องการบริหารภายในตระกูล นางก็สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี ช่างเก่งกาจหลายด้านเสียจริง”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ยังจะมีใครต้องการท้าทายข้าอีกหรือไม่ ?”

คนทั้งตระกูลมู่ต่างส่ายหน้า

‘ท่านผู้นำล้อเล่นอะไรกัน ?  ผู้อาวุโสหกยังพ่ายแพ้ให้กับท่านผู้นำตระกูล ท่านแข็งแกร่งอย่างมาก หากไปท้าทาย นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย’

มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “เช่นนั้นการท้าทายจากภายในตระกูลเป็นอันจบสิ้น  ข้าขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้ามาด้านใน  งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว”

สถานที่จัดงานอยู่ที่สวนกว้างด้านหลังตระกูลมู่  มีส่วนที่เป็นพื้นที่รับประทานอาหารจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกผู้มาร่วมงานทยอยกันเข้าไปนั่งประจำที่

ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนชุดดำพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน  ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชายชุดดำกล่าวอย่างเย็นชา “ผู้นำตระกูลมู่ ถ้าหากวันนี้เจ้าไม่ให้คำตอบแก่ข้า งานเลี้ยงฉลองในวันนี้ก็จงอย่าหวังเลยว่าจะได้จัดอย่างสงบเงียบ”

นักฆ่าหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้นในจวนตระกูลมู่ บรรดาหัวหน้าของพวกมันหลายคนเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ  คนเหล่านี้เป็นคนของพันธมิตรเอียนหลัว กลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ย

เจ้าสำนักเพลิงผลาญฟ้ากล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “หลัวกุ่ย เจ้าจะทำอะไรถึงได้มาสร้างเรื่องวุ่นวายที่จวนตระกูลมู่ ?!”

เจ้าสำนักเอียนหลัว—หลัวกุ่ย กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “มู่เฉียนซีฆ่าพี่น้องของข้าไปมากมาย ไม่เพียงเท่านั้นนางยังฆ่าน้องรองของข้าตายในที่ลับใต้ดิน วันนี้หากข้าไม่ล้างเลือดล้างแค้น ก็จะไม่ยอมหยุดเป็นแน่!  ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยว มิเช่นนั้นกระบี่ในมือพวกเราไม่มีทางยั้งมือ  ดาบในมือพวกเราไม่มีทางแสดงความปราณี ”

สีหน้าของทุกคนตกตะลึง ที่แท้ผู้นําตระกูลมู่ได้ไปล่วงเกินพันธมิตรเอียนหลัวเอาไว้ ทำให้พันธมิตรเอียนหลัวมาก่อความวุ่นวายในงานเลี้ยงฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของนาง

วันนี้จวนตระกูลมู่อาจจะกลายสภาพเป็นนรกบนดิน  พวกเขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย เหล่าผู้มาร่วมงานล้วนหวั่นกลัวอยู่ในใจ

ทันใดนั้นเอง มู่อวู่ซวงตะโกนเน้นคำพูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ไปทางพวกนักฆ่าทีละคำ  “หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องตัวซีเอ๋อร์  ก็ลองดู!”

จิตสังหารอันเย็นยะเยือกนั้นทําให้ผู้คนราวกับจมลงไปในแดนแห่งภูตผี คุณชายที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำไหลแผ่วเบา กลับปลดปล่อยพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

หลัวกุ่ยสงบสติอารมณ์ลง ระงับความตกใจในใจแล้วกล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยาม “มู่อวู่ซวง พรสวรรค์ของเจ้าท้าทายฟ้าดินนัก ทว่าเจ้าเป็นคนพิการผู้หนึ่ง วันนี้เลิกหวังที่จะมาหยุดยั้งข้าไม่ให้ฆ่ามู่เฉียนซีเสียจะดีกว่า” กล่าวจบกรงเล็บของเขาพุ่งอย่างดุดันไปทางมู่เฉียนซี — ตูม! —

ในตอนนี้เอง มู่อวู่ซวงออกโรง เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นเบา ๆ  คนของพันธมิตรเอียนหลัวปลิวลอยออกไป

ทุกผู้คนในที่นั้นพลันตกใจ “สวรรค์! นายท่านสามแห่งตระกูลมู่ยังคงร้ายกาจ หลังจากที่เขาพิการ พลังของเขาหยุดนิ่งไม่พัฒนาแล้วมิใช่หรือ ?”

“จักรพรรดิยอดยุทธระดับสาม มู่อวู่ซวงกลับเป็นจักรพรรดิยอดยุทธระดับสามแล้ว”

หลัวกุ่ยเช็ดเลือดที่มุมปาก กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา  “มู่อวู่ซวง ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินผู้พิการอย่างเจ้าต่ำไป แต่ว่าเจ้าผู้ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนเองได้ ทั้งยังดวงตามองไม่เห็น ต่อให้เป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสามก็อย่าได้คิดที่จะมาขวางทางข้า”

คำที่หลัวกุ่ยกล่าวออกมาช่างดูถูกดูแคลน  คำก็พิการสองคำก็พิการ ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทันใดนั้นมู่อวู่ซวงออกตัวมาสู้กับพวกเอียนหลัว เขาสู้ไปทว่ายังหันมากล่าวกับมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้โกรธเคืองเหล่าคนไม่ได้เรื่องพวกนี้เลย ขอแค่เจ้าไม่รังเกียจข้า  ข้าก็ไม่เคยติดขัดเรื่องร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกนี้”

ขณะที่เขาต่อสู้ไปด้วย ก็กล่าวอย่างอ่อนโยนราวกับสายลมพัดอ่อนกับหลานสาวตนไปด้วย สองอารมณ์ที่ต่างกันสุดขั้วนี้ ไม่มีใครสัมผัสถึงความขัดแย้งของมันได้แม้แต่คนเดียว

— ตูม! —

เสียงระเบิดดังสนั่น  เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วพื้น

หลายคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ

“อา… สมแล้วที่เป็นการต่อสู้ของระดับจักรพรรดิ ช่างน่ากลัวเสียจริง! ”

“แข็งแกร่งยิ่งนัก! ขนแขนข้าตั้งชันแล้วเจ้าดูสิ!”

หลัวกุ่ยตะโกนสั่งเสียงเหี้ยม “ข้าจะสู้ถ่วงเวลามู่อวู่ซวงเอาไว้ พวกเจ้าจงไปฆ่าคนในตระกูลมู่ให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”

แม้วันนี้จะฆ่ามู่อวู่ซวงไม่ได้ แต่ก็จะต้องทำให้งานเลี้ยงฉลองของมู่เฉียนซีนองไปด้วยเลือดแดงฉานให้ได้  นางกล้าดีมาล่วงเกินพันธมิตรเอียนหลัว เช่นนั้นจะต้องได้พบจุดจบที่เลวร้าย

.