ทุกผู้คนตะลึงลาน หลังจากฝึกฝนมาห้าสิบหกสิบปี…
หมายความว่าอย่างไรกัน…?
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูล การที่กล่าวว่ามู่เทียนได้ฝึกฝนมาห้าสิบหกสิบปี อายุเขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยอายุสิบห้าสิบหกปี ผู้นำตระกูลหาข้ออ้างเช่นนี้จะไม่เป็นที่ขบขันไปหน่อยหรือ ?”
เพียงปลายนิ้วของมู่เฉียนซี เข็มยาเข็มหนึ่งพุ่งออกไป
เข็มยานั้นแทงเข้าที่ลำคอมู่เทียน ไม่นานนักทุกคนก็เห็นโครงร่างของมู่เทียนพองโตขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ ร่างกายของเขาสูงยืดขึ้นไปมาก อีกทั้งผิวหนังที่บอบบางก็เปลี่ยนเป็นเหี่ยวย่น เสมือนเป็นผิวหนังของชายชราอายุหกสิบกว่าปีก็ว่าได้
และชายชราผู้นั้น…คือผู้อาวุโสหก!
“อ๊าก!” ผู้อาวุโสหกร้องโหยหวน รีบปิดหน้าปิดตาของตน
เมื่อถูกเผยโฉมต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เขาอับอายขายขี้หน้าอย่างยิ่ง มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสหก พวกท่านควรอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย ในเมื่อพวกท่านให้ผู้อาวุโสหกปลอมตัวเป็นคนหนุ่มในตระกูลมู่มาท้าทายข้าที่เป็นผู้นำตระกูล ทำให้แขกผู้มีเกียรติที่อยู่ที่นี่ได้พบกับความขบขัน ความผิดของพวกเจ้ามีโทษสถานใด ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดตื่นตระหนกตกใจ รีบคุกเข่าลงกล่าว “ผู้นำตระกูลโปรดอภัยด้วย พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน พวกเราโดนเจ้าหกหลอกลวง”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวอย่างเจ็บปวดหัวใจ “เจ้าหก เจ้า… เจ้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้า… เฮ้ออออ!”
ผู้อาวุโสหกกล่าว “พี่ใหญ่ ไม่ใช่นะ… ท่านต้องช่วยข้า พี่ใหญ่…”
ผู้อาวุโสสูงสุดรีบวิ่งไปที่เวทีประลองและกล่าวว่า “ท่านผู้นําตระกูล เจ้าหกกล้าทําเรื่องเช่นนี้ในพิธีสืบทอดตําแหน่งผู้นําตระกูล วันนี้ข้าจะจัดการเขาด้วยกฎของตระกูลแทนผู้นำตระกูลเอง”
ฝ่ามืออันดุดันฟาดไปยังกระหม่อมตรงจุดเกราะครอบคลุมวิญญาณของผู้อาวุโสหก ผู้อาวุโสหกที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถขยับตัวได้ตะโกนขึ้นว่า “ผู้นำตระกูล ช่วยข้าด้วย ข้าไม่รู้เรื่อง!”
“ผู้นำตระกูล…”
— ตูม! —
เกิดเสียงดังสนั่น เลือดสาดกระเซ็นเปรอะไปทั่วเวทีประลอง ผู้อาวุโสได้ใช้ผ่ามือของเขาฟันผ่าลงไปยังร่างผู้ที่เป็นพี่น้องร่วมกันมาเป็นสิบปีสิ้นลมหายใจในฝ่ามือเดียว
หลังจากจัดการผู้อาวุโสหกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดคุกเข่าลง กล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูล เป็นข้าเองที่ผิดพลาดในการตรวจสอบ ไม่ได้พบว่าเจ้าหกจะกล้าวางแผนร้ายกับท่านผู้นำตระกูลในวันพิธีสืบทอดตำแหน่งเช่นนี้ ขอให้ท่านผู้นำตระกูลโปรดลงโทษข้าด้วยเถอะ”
นอกจากผู้อาวุโสเก้าแล้ว ผู้อาวุโสผู้อื่นอีกหกคนก็คุกเข่าลงเช่นกัน “ขอผู้นำตระกูลโปรดลงโทษ…”
มู่เฉียนซีกล่าวเสียงเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ผิดแล้ว เช่นนั้นก็… ใครก็ได้มานี่ ยึดอำนาจของผู้อาวุโสทั้งหมดทั้งในทางทั่วไปและทางมืด แล้วนำไปกักบริเวณไว้หนึ่งเดือน จากนั้นไสหัวออกจากจวนตระกูลมู่ไปให้หมด!” ผู้อาวุโสสูงสุดเบิกตากว้าง รีบกล่าวขึ้น “ผู้นำตระกูล! หลายปีมานี้พวกเรามิได้สร้างความดีความชอบ แต่พวกเราเคยลำบากเพื่อตระกูลมาไม่น้อย ขอให้ท่านยอมให้เราอยู่ในจวนตระกูลมู่ต่อไปเถอะ”
“ท่านผู้นำตระกูล ตระกูลมู่นั้นเป็นบ้านของพวกเรา หากพวกเราจากบ้านไป ท่านจะให้พวกเราทำเช่นไร ?”
“ท่านผู้นำ…”
ผู้เฒ่าเหล่านั้นร้องไห้โฮออกมาดังลั่นไม่สนภาพลักษณ์ ทว่ามู่เฉียนซีมิสนใจแม้แต่น้อย นางกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ยังจะโวยวายอีกรึ ? หนวกหูนัก ลากออกไปให้หมดแล้วกักบริเวณให้ดี ๆ”
องครักษ์เงาตระกูลมู่ได้รับคําสั่งให้พาผู้อาวุโสที่ร้องห่มร้องไห้เหล่านั้นออกไป วันนี้ผู้อาวุโสตระกูลมู่คิดจะกดดันผู้นำตระกูลในพิธีฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของนาง ทว่าถูกนางจับตัวได้ จากนั้นต้องตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชราวกับถูกบดขยี้สูญสิ้นอำนาจ
วันนี้เหล่าผู้อาวุโสคิดที่จะมาโค่นอำนาจผู้นำตระกูลมู่ในวันรับมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกนางจับจุดได้ นางจัดการพวกเขารวดเดียวทั้งหมด
เหล่าผู้ร่วมงานกระซิบกระซาบกัน “ผู้นำตระกูลมู่ผู้นี้ไม่เพียงมีพรสรรค์ในการฝึกยุทธ์ นางยังหาเงินเก่ง และสำหรับเรื่องการบริหารภายในตระกูล นางก็สามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี ช่างเก่งกาจหลายด้านเสียจริง”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ยังจะมีใครต้องการท้าทายข้าอีกหรือไม่ ?”
คนทั้งตระกูลมู่ต่างส่ายหน้า
‘ท่านผู้นำล้อเล่นอะไรกัน ? ผู้อาวุโสหกยังพ่ายแพ้ให้กับท่านผู้นำตระกูล ท่านแข็งแกร่งอย่างมาก หากไปท้าทาย นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย’
มู่เฉียนซียิ้ม กล่าวว่า “เช่นนั้นการท้าทายจากภายในตระกูลเป็นอันจบสิ้น ข้าขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเข้ามาด้านใน งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว”
สถานที่จัดงานอยู่ที่สวนกว้างด้านหลังตระกูลมู่ มีส่วนที่เป็นพื้นที่รับประทานอาหารจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ แขกผู้มาร่วมงานทยอยกันเข้าไปนั่งประจำที่
ในตอนนั้นเอง กลุ่มคนชุดดำพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชายชุดดำกล่าวอย่างเย็นชา “ผู้นำตระกูลมู่ ถ้าหากวันนี้เจ้าไม่ให้คำตอบแก่ข้า งานเลี้ยงฉลองในวันนี้ก็จงอย่าหวังเลยว่าจะได้จัดอย่างสงบเงียบ”
นักฆ่าหลายร้อยคนปรากฏตัวขึ้นในจวนตระกูลมู่ บรรดาหัวหน้าของพวกมันหลายคนเป็นยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ คนเหล่านี้เป็นคนของพันธมิตรเอียนหลัว กลุ่มนักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจื่อเยี่ย
เจ้าสำนักเพลิงผลาญฟ้ากล่าวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว “หลัวกุ่ย เจ้าจะทำอะไรถึงได้มาสร้างเรื่องวุ่นวายที่จวนตระกูลมู่ ?!”
เจ้าสำนักเอียนหลัว—หลัวกุ่ย กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “มู่เฉียนซีฆ่าพี่น้องของข้าไปมากมาย ไม่เพียงเท่านั้นนางยังฆ่าน้องรองของข้าตายในที่ลับใต้ดิน วันนี้หากข้าไม่ล้างเลือดล้างแค้น ก็จะไม่ยอมหยุดเป็นแน่! ทางที่ดีพวกเจ้าอย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยว มิเช่นนั้นกระบี่ในมือพวกเราไม่มีทางยั้งมือ ดาบในมือพวกเราไม่มีทางแสดงความปราณี ”
สีหน้าของทุกคนตกตะลึง ที่แท้ผู้นําตระกูลมู่ได้ไปล่วงเกินพันธมิตรเอียนหลัวเอาไว้ ทำให้พันธมิตรเอียนหลัวมาก่อความวุ่นวายในงานเลี้ยงฉลองการเป็นผู้ใหญ่ของนาง
วันนี้จวนตระกูลมู่อาจจะกลายสภาพเป็นนรกบนดิน พวกเขาอาจจะตกอยู่ในอันตราย เหล่าผู้มาร่วมงานล้วนหวั่นกลัวอยู่ในใจ
ทันใดนั้นเอง มู่อวู่ซวงตะโกนเน้นคำพูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ไปทางพวกนักฆ่าทีละคำ “หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องตัวซีเอ๋อร์ ก็ลองดู!”
จิตสังหารอันเย็นยะเยือกนั้นทําให้ผู้คนราวกับจมลงไปในแดนแห่งภูตผี คุณชายที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำไหลแผ่วเบา กลับปลดปล่อยพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
หลัวกุ่ยสงบสติอารมณ์ลง ระงับความตกใจในใจแล้วกล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยาม “มู่อวู่ซวง พรสวรรค์ของเจ้าท้าทายฟ้าดินนัก ทว่าเจ้าเป็นคนพิการผู้หนึ่ง วันนี้เลิกหวังที่จะมาหยุดยั้งข้าไม่ให้ฆ่ามู่เฉียนซีเสียจะดีกว่า” กล่าวจบกรงเล็บของเขาพุ่งอย่างดุดันไปทางมู่เฉียนซี — ตูม! —
ในตอนนี้เอง มู่อวู่ซวงออกโรง เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นเบา ๆ คนของพันธมิตรเอียนหลัวปลิวลอยออกไป
ทุกผู้คนในที่นั้นพลันตกใจ “สวรรค์! นายท่านสามแห่งตระกูลมู่ยังคงร้ายกาจ หลังจากที่เขาพิการ พลังของเขาหยุดนิ่งไม่พัฒนาแล้วมิใช่หรือ ?”
“จักรพรรดิยอดยุทธระดับสาม มู่อวู่ซวงกลับเป็นจักรพรรดิยอดยุทธระดับสามแล้ว”
หลัวกุ่ยเช็ดเลือดที่มุมปาก กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “มู่อวู่ซวง ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินผู้พิการอย่างเจ้าต่ำไป แต่ว่าเจ้าผู้ที่ไม่สามารถไปไหนมาไหนเองได้ ทั้งยังดวงตามองไม่เห็น ต่อให้เป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์ระดับสามก็อย่าได้คิดที่จะมาขวางทางข้า”
คำที่หลัวกุ่ยกล่าวออกมาช่างดูถูกดูแคลน คำก็พิการสองคำก็พิการ ดวงตาของมู่เฉียนซีฉายแววอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นมู่อวู่ซวงออกตัวมาสู้กับพวกเอียนหลัว เขาสู้ไปทว่ายังหันมากล่าวกับมู่เฉียนซีอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้โกรธเคืองเหล่าคนไม่ได้เรื่องพวกนี้เลย ขอแค่เจ้าไม่รังเกียจข้า ข้าก็ไม่เคยติดขัดเรื่องร่างกายที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกนี้”
ขณะที่เขาต่อสู้ไปด้วย ก็กล่าวอย่างอ่อนโยนราวกับสายลมพัดอ่อนกับหลานสาวตนไปด้วย สองอารมณ์ที่ต่างกันสุดขั้วนี้ ไม่มีใครสัมผัสถึงความขัดแย้งของมันได้แม้แต่คนเดียว
— ตูม! —
เสียงระเบิดดังสนั่น เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วพื้น
หลายคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“อา… สมแล้วที่เป็นการต่อสู้ของระดับจักรพรรดิ ช่างน่ากลัวเสียจริง! ”
“แข็งแกร่งยิ่งนัก! ขนแขนข้าตั้งชันแล้วเจ้าดูสิ!”
หลัวกุ่ยตะโกนสั่งเสียงเหี้ยม “ข้าจะสู้ถ่วงเวลามู่อวู่ซวงเอาไว้ พวกเจ้าจงไปฆ่าคนในตระกูลมู่ให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
แม้วันนี้จะฆ่ามู่อวู่ซวงไม่ได้ แต่ก็จะต้องทำให้งานเลี้ยงฉลองของมู่เฉียนซีนองไปด้วยเลือดแดงฉานให้ได้ นางกล้าดีมาล่วงเกินพันธมิตรเอียนหลัว เช่นนั้นจะต้องได้พบจุดจบที่เลวร้าย
.