ตอนที่115 ลูกพี่ลูกน้อง
ผู้จัดการร้านเริ่มหวั่นวิตกรู้สึกผิดขึ้นมาทันใด แต่ผู้ช่วยผู้จัดการร้านรีบมากระซิบข้างหูทันทีว่า
“อย่าไปฟังมันโม้ค่ะผู้จัดการ เด็กหนุ่มอายุแค่นี้จะไปใช้เงินหลักล้านจริงๆ ได้ยังไง? ดิฉันว่ามันขู่เพื่อให้พนักงานของเรากลัวเท่านั้น”
ผู้จัดการร้านระเบิดหัวเราะลั่นทันที และตอบผู้ช่วยไปว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันแผนสูง แต่น่าเสียดายที่ผู้ช่วยของเขารู้ทัน และอีกอย่างเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องกลัวด้วย เพราะตัวผู้จัดการเองก็พอมีเส้นสายในแวดวงธุรกิจอยู่บ้าง
ผู้จัดการ้านรู้สึกมั่นใจขึ้นมากและหันไปกล่าวเย้ยจ้าวเฉียนว่า
“พ่อหนุ่ม แค่สมุดเช็คเล่มเดียวใครๆ ก็หาซื้อมาเขียนเล่นได้ เราไม่ใช่เด็กนะที่จะมาหลอกให้กลัวกับเรื่องแค่นี้ แล้วอีกอย่างพนักงานทุกคนของร้านแห่งนี้ถือคติความซื่อสัตย์ อย่ามายัดเหยียดให้พนักงานคนอื่นลำบากใจโดยเปล่าเลย คุณเป็นแม่เขาแท้ๆ สั่งสอนลูกตัวเองยังไงให้โกหกคนอื่นแบบนี้ เขียนเช็คเป็นล้านมาเที่ยวหลอกคนอื่นไปทั่ว ไม่ต้องเช็คก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอม หรือสันดานมันเป็นทั้งแม่ทั้งลูกกันครับ?”
จ้าวเฉียนเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยนิสัยของแม่กับพวกหวานเจียงไม่มีทางขโมยของแน่นอน นับประสาอะไรกับแค่ผ้าพันคอ? ตอนนี้เขามั่นใจแน่แล้วว่า ร้านนี้จะต้องโกงพวกเธอเพื่อขู่รีดเงินค่าชดเชยแน่นอน ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงยังยืนยันคำเดิม เลื่อนเช็คมูลค่าหนึ่งล้านตรงหน้าออกไป และกล่าวย้ำว่า
“ตาดีได้ตาร้ายเสีย จะเช็คหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้ว ใครสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ให้แม่ผมได้ เอาเช็คใบนี้ไปขึ้นเงินได้เลย”
เห็นเช็คมูลค่าหนึ่งล้านพร้อมลายเซ็นยินยอมต่อหน้าทุกคน พนักงานเหล่านั้นถึงกับนั่งไม่ติดก้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังหวาดกลัวว่า การทำแบบนี้จะทำให้เจ้านายของพวกเขาเกลียดขี้หน้าได้
เมื่อเห็นว่าพนักงานแต่ละคนเริ่มอกสั่นขวัญหาย จ้าวเฉียนก็ยังกล่าวปลอบพร้อมวาดฝันอนาคตอันสดใสมอบให้แก่พวกเขาต่อว่า
“ด้วยเงินจำนวนหนึ่งล้านตรงหน้า พวกคุณสามารถเปิดร้านและกลายมาเป็นนายตัวเองได้เลยนะ ทำไมต้องก้มหัวทำงานหนักให้คนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้อะไรเลยล่ะ? โอกาสแบบนี้มีแค่ครั้งเดียว ถ้าพลาดไปแล้วก็คงต้องก้มหน้าทำงานใต้เท้าคนอื่นไปตลอดชีวิต”
พอได้ยินจ้าวเฉียนพูดแบบนั้น กลับมีพนักงานสาวคนหนึ่งวิ่งไปคว้าเช็คใบนั้นและไปหลบอยู่หลังจ้าวเฉียนทันที ทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายให้ผู้จัดการร้านอีกว่า
“ผู้จัดการค่ะ ดิฉันเองก็ไม่ค่อยพอใจกับวิธีหลอกเงินลูกค้ามาอยู่แล้ว หนูจะเป็นคนเปิดเผยทุกอย่างเอง!”
สีหน้าการแสดงออกของผู้จัดการคนนั้นมืดทมิฬลงทันใด
“แน่ใจแล้วเหรอ? เธอยังมีภาระค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ที่ต้องรับผิดชอบตลอดทั้งปีอีกนะ แน่ใจเหรอว่าจะเอาชีวิตพ่อแม่ของเธอแลกกับเงินแค่ล้านเดียว? เป็นเช็คจริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย?”
“ผู้จัดการ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าถ้าไม่มีเงินล้านก้อนนี้ ดิฉันก็จะเผิดเผยเรื่องของคุณในไม่ช้าอยู่ดี ตอนนี้ดิฉันไม่สามารถทนกับการทำงานแบบนี้ได้ไหวอีกแล้ว! ต้องขอโทษพวกเธอทุกคนด้วยนะ ฉันรู้ว่านี่มันไม่ส่งผลดีสำหรับพวกเธอ แต่ยังไงความก็ต้องแตกในไม่ช้าอยู่แล้ว!”
ผู้จัดการรีบกล่าวให้เธอใจเย็นลงทันที เพราะเขาทราบดีว่าตนไม่สามารถปล่อยพนักงานที่เก็บความลับของทางร้านไว้เยอะขนาดนี้ได้
“เสี่ยวหง เธอจะต้องเสียใจภายหลังแน่นอน เอาอย่างงี้แล้วกัน ฉันจะขึ้นเงินเดือนให้เธอเอง เอ่ออ…ให้ทุกคนเป็นสองเท่าเลย! ด้วยรายได้ที่มั่นคงแบบนี้ ไม่เพียงจะช่วยจ่ายหนี้สินที่ค้างชำระกับทางโรงพยาบาลได้เท่านั้น แต่เธอยังเหลือเงินเก็บไว้ในอนาคตอีกนะ ไม่ดีกว่าเหรอ?”
เสียงหัวเราะจ้าวเฉียนดังขึ้น เขาเอ่ยถามเสี่ยวหงไปว่า
“พ่อแม่ของเธอป่วยเป็นอะไร? รักษาอยู่โรงบาลไหน?”
เสี่ยวหงทราบดีว่า คนที่สามารถเขียนเช็คใบละล้านได้โดยไม่เสียดายแม้แต่น้อยแบบนี้ เขาไมใช่คนธรรมดาแน่นอน บางทีชายหนุ่มคนนี้อาจจะมีเส้นสายกับทางโรงพยาบาลอยู่บ้าง เธอกล่าวตอบทันทีว่า
“ต้องฟอกไตเป็นประจำในโรงพยาบาลน่ะค่ะ เป็นโรงพยาบาลรัฐในเมือง”
“โรงพยาบาลรัฐประจำเมืองนี้หรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ!”
“ฮ่าฮ่า…งั้นไม่ต้องห่วงเลย ฉันรู้จักกับคณบดีของโรงพยาบาลรัฐแห่งนั้นพอดี หลังจากจบเรื่องนี้เดี๋ยวฉันต้องแวะไปทักทายเขาหน่อย แล้วจะฝากเคสของพ่อแม่เธอให้เป็นผู้ป่วยระดับพิเศษเอง บางทีอาจจะได้ส่วนลดค่ารักษามาบ้าง ว่าไงดีไหม? หรือถ้าพ่อแม่ของเธอต้องการปลูกถ่ายไตใหม่ ฉันจะลองไปคุยกับคณบดีคนนั้นให้เอง ทั้งหมดฉันจัดการให้เอง ส่วนเธอไม่ต้องออกเงินสักสตางค์”
เสี่ยวหงไม่ลังเลและตอบตกลงกับจ้าวเฉียนทันที
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณโทรหาตำรวจได้เลยตอนนี้ แล้วฉันจะอธิบายทุกอย่างให้ทางตำรวจฟังเอง อย่างไรก็ตามฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งค่ะ คุณต้องพาฉันออกจากร้านแห่งนี้ รวมไปถึงช่วยจัดการเรื่องค่าฉีกสัญญาว่าจ้างให้ด้วย”
จ้าวเฉียนระเบิดหัวเราะอย่างไร้กังวล และตอบกลับไปว่า
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเธอพูดทุกอย่างที่ควรพูดออกไปให้กับทางตำรวจ เธอถือเป็นผู้มีบุญคุณกับฉัน และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเธอเอง”
พนักงานทุกคนต่างจับจ้องมาทางจ้าวเฉียน เคียงประดับคู่กับแววแสงสุดหม่นหมองในสายตา มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกเธอกำลังหวาดกลัวอยู่
ผู้จัดการร้านรีบเกลี้ยกล่องเสียงอ่อนทันทีว่า
“พ่อหนุ่มสุดหล่อ ทำไมถึงต้องจริงจังถึงขั้นนั้นด้วย? ผมคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น ดูจากภูมิฐานคุณกับแม่ของคุณแล้ว ต่อให้ตาบอดก็รู้ว่าร่ำรวยแค่ไหน จะไปขโมยของที่ร้านได้ยังไงจริงไหมครับ? ผมจะทำการตรวจสอบพนักงานพวกนี้เองว่า มีใครแกล้งคุณแม่ของสุดหล่อหรือเปล่า เรื่องนี้ผมจัดการเองครับไม่ต้องห่วง”
จ้าวเฉียนแสยะยิ้มเย็นยะเยือกพร้อมกล่าวว่า
“มันสายไปแล้วที่จะแก้ตัว ผมเขียนเช็คออกไปแล้ว ไม่รับตีคืนครับ”
หลังจากพูดจบจ้าวเฉียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือโทรแจ้งตำรวจทันที
ผู้จัดการร้านคนนั้นโกรธมาก จึงโอกาสจังหวะทีเผลอพุ่งตัวออกไป หวังฉกโทรศัพท์ในมือจ้าวเฉียน
ปฏิกิริยาจ้าวเฉียนเองก็ไวใช่ย่อย แววตาปราดวาบแสงเย็นสะท้อนนัยน์ตาจับจ้อง พร้อมเหลียวตัวหลบเลี่ยงจากฝ่ามือของผู้จัดการคนนั้นได้อย่างว่องไว
“นี่คุณกำลังทำบ้าอะไร? คิดจะปล้นกันต่อหน้าสาธารณชนเลยงึไง?”
“ไอ้เวร! มึงต้อนให้กูจนมุมเองนะ ถ้าหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นก็โทษความดื้อด้านของตัวเองเถอะ!”
“โอ๊ะ? ข่มขู่กันเหรอครับ? เพิ่มข้อหาอีกสักกระทงดีไหม?”
“อย่าทำตัวอวดดีให้มากนะมึง! ลูกพี่ลูกน้องกูเป็นผรอผู้จัดการทั่วไปของห้างแห่งนี้! ถ้ามึงกล้ายั่วโมโหกู เรื่องไม่จบแค่นี้แน่นอน!”
สิ่งที่พูดจัดการร้านพล่ามออกไปล้วนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจ้าวเฉียนโดยธรรมชาติ แต่สำหรับอวีกุ้ยเฟิง เธอจะไม่ทนแน่นอนที่มีเดนมนุษย์มาด่าลูกชายเธอแบบนี้
“ก็แค่รองผู้จัดการห้างกระจอก คิดว่าตัวเองใหญ่มากแล้วรึไง?”
ผู้จัดการร้านตอบกลับด้วยความมั่นใจว่า
“กูไม่จำเป็นต้องต่อปากต่อคำกับพวกมึงแล้ว! พวกมึงรู้ไหมว่าห้างแห่งนี้เป็นของบริษัทไหน? ที่นี่เป็นทรัพย์สินของบริษัทซินหงจิง เรียลอีสเตอร์นะเว้ย! คิดหรือว่าตำรวจจะเข้าข้างพวกมึง? เดี๋ยวเจอลูกพี่ลูกน้องกูเล่นงานแน่!”
และก็เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน มีคนรู้จักของรองผู้จัดการห้างเดินผ่านหน้าร้ามาพอดี แลเห็นภายในทะเลาะกันเสียงดังก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“อ้าวลูกพี่ มีอะไรหรือเปล่า?”
พอผู้จัดการร้านเห็นว่าเจอคนรู้จักก็รีบยกมือขึ้นทักทายทันที และบ่นระหว่างเดินไปหาว่า
“น้องพี่ อีแก่นี่กับลูกของมันแอบขโมยผ้าพันคอในร้านน่ะสิ แถมพอเรียกค่าชดเชยก็ไม่ยอมจ่าย ยิ่งบไปกว่านั้นลูกชายของป้านั่นยังใช้วิธีสกปรก ซื้อตัวลูกน้องฉันด้วยเงินหนึ่งล้านหยวน กะให้มาใส่ร้ายและเอาผิดฉัน! นายไปตามคนมาเดี๋ยวนี้เลย!”
ทันทีที่อวีกุ้ยเฟิงได้ยินว่า ไอ้หนุ่มแว่นสี่ตาเรียกเธอว่า อีแก่ เธอก็อารมณ์ขึ้นทันที
“ไอ้แว่น! แกเรียกใครอีแก่ห๊ะ?!!”
“ฮ่าฮ่า…แล้วใครแก่สุดในนี้ล่ะ?”
“แก…ฉันจะฉีกปากแกไอ้แว่น!!”
อวีกุ้ยเฟิงอยากจะพุ่งไปซัดหน้าผู้จัดการสักหมัดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่เธอกลับถูกจ้าวเฉียนหยุดไว้เสียก่อน
“แม่ไม่ได้บอกเองเหรอว่า จะปล่อยให้ผมจัดการ? รอดูเงียบๆ อยู่ตรงนี้ไปก่อน เดี๋ยวรอดูอะไรสนุกๆ ได้เลย โอเคไหม?”
อวีกุ้ยเฟิงเค้นเสียงหึด้วยความโกรธจัด ก่อนจะพยักหน้ากลับไปยืนเงียบๆ ที่ด้านหนึ่ง
ลูกพี่ลูกน้องคนของผู้จัดการร้านเหลือบมองมาทางจ้าวเฉียน พร้อมสีหน้าและแววตาอันแสนดูถูก เขากล่าวยิ้มแย้มขึ้นว่า
“ที่นี่มันห้างหรูที่สุดภายในเมืองตงไห่ของเรา ไม่ต้องห่วง มีสถานที่ตำรวจประจำอยู่ในบูธหน้าห้าง ดังนั้นไม่ต้องใจร้อนไปเลยลูกพี่”
จ้าวเฉียนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับไอ้พวกไร้สาระ จึงหันกลับมากล่าวกับเสี่ยวหงว่า
“เธอแน่ใจนะว่ามีหลักฐานมัดตัวเขา?”
เสี่ยวหงเริ่มลังเลแล้วในขณะนี้ ใครมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งกว่าย่อมมีชัย ลูกพี่ลูกน้องของผู้จัดการร้านเป็นถึงรองผู้จัดการห้างแห่งนี้ ซึ่งห้างแห่งนี้ดป็นทรัพย์สินของบริษัท ซินหงจิน เรียลอีสเตอร์ ถ้าเธอยังช่วยจ้าวเฉียนต่อไป นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอที่เป็นเพียงหญิงสาวตัวน้อยๆ กำลังยั่วยุบริษัทยักษ์ใหญ่อยู่หรอกเหรอ?
เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว เสี่ยวหงก็ตีดสินใจได้แล้วว่า ถ้ายังเข้าข้างจ้าวเฉียนต่อไป เรื่องนี้จบไม่สวยแน่นอน
เสี่ยวหงวางเช็คคืนลงบนเคาน์เตอร์และรีบเดินกลับไปหาผู้จัดการ เธอกล่าวว่า
“ฉัน…ฉันไม่มีหลักฐานหรอก แค่อยากโกรธคุณเฉยๆ ว่าเช็คเป็นของจริงหรือเปล่า ฉันว่า…ฉันไม่เสี่ยงดีกว่า คุณก็สู้ๆ นะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ …”
ผู้จัดการระเบิดหัวเราะยั่น ในความเห็นของเขา ถ้าฝ่ายจ้าวเฉียนไม่มีเสี่ยวหง มันก็ไม่มีพิษสงอีกต่อไป