ตอนที่ 79 ตัดสินใจ

เหล่าหวังหัวเราะแทนคำตอบ เห็นได้ชัดว่าเป็นการปฏิเสธ

ฟางผิงเงียบพักใหญ่ ก่อนจะถามคำถามสุดท้ายออกมา “พี่หวัง ทรัพยากรฟรีที่พูดถึงสามารถให้ทีเดียวเลยได้หรือเปล่า?”

“จะเป็นไปได้ไง!”

หวังจินหยางส่ายหัว “ทรัพยากรมีโควตาจำกัดเหมือนกัน ไม่ใช่ว่านายอยากได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น จะให้ทรัพยากรขั้นพื้นฐานที่ผู้ฝึกยุทธ์ต้องการใช้เพื่อทะลวงขั้นนั้นๆ นอกจากนี้ ถ้านายไม่อาจทะลวงขั้นได้ ประวิงเวลาอยู่นาน สิทธิพิเศษนี้จะถูกยกเลิกเหมือนกัน…”

ฟางผิงคล้ายจะโล่งอก หวังจินหยางเห็นแบบนี้จึงยิ้มขึ้นมา “เลือกได้แล้ว?”

“น่าจะอย่างนั้น”

ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ “ถ้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงให้ทรัพยากรนับสิบล้านกับผมในครั้งเดียว ผมคงจะเลือกไปแล้ว”

สิ่งที่ฟางผิงขาดแคลนคือทุนและทรัพยากรในช่วงแรก พอผ่านช่วงนั้นมาเรื่องความสามารถและเวลาล้วนไม่ใช่ปัญหาทั้งสิ้น

ถ้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงให้ทรัพยากรมากมายกับเขาในครั้งเดียว ค่าทรัพย์สินของฟางผิงคงจะทะลุสิบล้าน ในมือจะมียาบำรุงจำนวนไม่น้อย

ถ้าเป็นแบบนั้นช่วงแรกเขาแทบไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้กับอะไรเลย เคี่ยวเข็ญอย่างช้าๆ ก็ทะลวงขั้นสามได้แล้ว

หลังจากทะลวงขั้นสาม ฟางผิงไม่คิดว่าเขาจะเป็นเหมือนตอนนี้แล้ว

แต่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงกลับแบ่งทรัพยากรให้เขาเป็นรอบๆ ตามลำดับขั้น นี่ไม่สอดคล้องกับความคิดของฟางผิง

เมื่อเป็นแบบนี้ มหาวิทยาลัยชื่อดังเลยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

อันที่จริงฟางผิงรู้สึกเสียดายในใจ เหล่าหวังค่อนข้างมีอำนาจในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง มีเหล่าหวังคอยดูแล คงลดปัญหาไปได้เยอะ

ทั้งพวกอู๋จื้อหาวก็น่าจะสมัครมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงเหมือนกัน มีคนที่สนิทคุ้นเคยต้องสนุกกว่าอยู่แล้ว

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ข้อดีของสองมหาวิทยาลัยกลับทำให้ฟางผิงใจสั่นคลอน

โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยาบำรุง ความคิดจะเป็นนายหน้าขายยาของเขายังไม่จางหายไปไหน

ถ้าอยู่ที่มหาวิทยาลัยหนานเจียงคาดว่าเรื่องแบบนี้คงไม่มีโอกาส แต่ว่าสองมหาวิทยาลัยอาจพอมีลู่ทางอยู่บ้าง

ฟางผิงพูดออกมา หวังจินหยางก็รับรู้ตัวเลือกของเขาทันที

อันที่จริงเขาสามารถพูดข้อดีของสองมหาวิทยาลัยอย่างไม่เอนเอียงได้ นั่นเป็นเพราะมาจากความคิดของเขาส่วนหนึ่งเหมือนกัน

สองมหาวิทยาลัยดังเหมาะกับฟางผิงมากกว่า

เขาเสนอเงื่อนไขออกไป เพราะอยากจะรั้งเมล็ดพันธ์ชั้นยอดไว้ให้หนานเจียงเท่านั้น

ฟางผิงมีตัวเลือกแล้ว หวังจินหยางไม่คิดจะหว่านล้อมอีก เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ต้องพึ่งตัวเองอยู่แล้ว

“เซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง?”

“น่าจะเซี่ยงไฮ้ ธุรกิจค่อนข้างคึกคัก เมืองหลวงมีบรรยากาศการเมืองที่เข้มข้นไปหน่อย”

หวังจินหยางพยักหน้าเล็กน้อย “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว สังคมค่อนข้างยุติธรรมกว่าเมืองหลวง…”

“หื้ม?” ฟางผิงงุนงงเล็กน้อย

หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดง่ายๆ ก็คือในเมืองหลวงจะมีตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ ลูกผู้ลากมากดีอยู่มากกว่า อาจารย์ในมหาวิทยาลัยปักกิ่งจำนวนไม่น้อยต่างมาจากตระกูลพวกนี้ แต่เซี่ยงไฮ้นั้นไม่เหมือนกัน ร้อยพ่อพันแม่ปะปนกันไปหมด สำหรับพวกเราที่ไม่มีเส้นสาย อยู่ในเซี่ยงไฮ้บางเรื่องอาจจะพึ่งความสามารถของตัวเองได้ แต่เมืองหลวงคงไม่ง่ายแบบนั้น กิจการคึกคักรุ่งเรือง นั่นหมายความว่าผู้ฝึกยุทธ์เป็นเจ้าของธุรกิจ นายน่าจะรู้แล้วว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ทำการค้าพูดเก่งขนาดไหน”

ฟางผิงอยากจะพูดว่า เขาไม่รู้จริงๆ

แต่มาคิดดูสังคมของคนทำการค้า บางทีอาจจะเป็นอย่างที่หวังจินหยางว่า พูดง่ายเป็นมิตรกว่า

ทั้งบรรยากาศการค้าขายที่คึกคักของเซี่ยงไฮ้ ทำให้ฟางผิงสามารถทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยเหมือนกัน

ฟางผิงเห็นหวังจินหยางไม่เผยท่าทีขุ่นเคืองอะไร ค่อยโล่งอกเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงรู้สึกผิด “พี่หวัง ผมไม่ได้เลือกมหาวิทยาลัยหนานเจียง…”

“ไม่เป็นไร!”

หวังจินหยางไม่ได้คิดมาก เอ่ยด้วยหน้าเปื้อนยิ้ม “น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ มนุษย์ต่างใฝ่หาความก้าวหน้า นั่นเป็นเรื่องปกติ ถ้าตอนแรกฉันทำคะแนนถึงเกณฑ์สองมหาวิทยาลัยดัง คงจะเลือกสองมหาวิทยาลัยดังเหมือนกัน แต่ในเมื่อนายเลือกเส้นทางนี้เอง ก็อย่าได้ทำคะแนนออกมาให้ขายหน้าฉัน พอจะฝืนพูดได้อยู่บ้างว่าฉันเป็นอาจารย์คนแรกของนาย นายทำขายหน้า ฉันคงต้องขายหน้าไปด้วย แน่นอนว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยถึงฉันในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้…”

เหล่าหวังเตือนออกมาอย่างเรียบนิ่ง ช่วงต้นปีมีบางคนไปเที่ยวเล่นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มาครั้งหนึ่ง

เหล่าหวังไม่คิดสนใจพวกปีสามปีสี่อยู่แล้ว

แต่พวกปีหนึ่งปีสองที่ระดับต่ำกว่าขั้นสอง แทบจะถูกท้าออกมาทั้งหมด

นักศึกษาปีหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ใช่ว่าจะไร้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง แม้แต่ขั้นสามก็ยังมี!

ตอนนั้นเหล่าหวังยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่ใกล้ทะลวงขั้นสอง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดามาหาเรื่องถึงหน้าประตู ใครจะอยากลดตัวไปจัดการเขา?

นี่เป็นหนึ่งในสองมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่ดังที่สุดของประเทศจีน!

พวกเขาเลยคิดว่าเลือกนักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งระดับเดียวกันออกมาสักคน น่าจะพอให้เจ้านั่นลิ้มรสชาติของเลือดได้บ้าง

ปรากฏว่ากลายเป็นฉากที่น่าอเนจอนาถ ถึงกระทั่งต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่หลอมกระดูกสามครั้งลงมือ ท้ายที่สุดยังถูกอัดจนสภาพดูไม่ได้

สุดท้ายต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองลงมือถึงจัดการเจ้านั่นได้

แต่ครั้งนั้นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ก็ขายหน้าไปไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้คนพวกนั้นน่าจะอยู่ปีสองปีสามแล้ว ปกตินักศึกษาปีสี่จะไม่ค่อยรั้งตัวอยู่ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาปีสองปีสามพวกนี้นับว่าอยู่ติดมหาวิทยาลัยมากกว่า

หากฟางผิงเอ่ยถึงเหล่าหวัง หวังจินหยางกลัวว่าฟางผิงจะต้องหลั่งน้ำตา

หวังจินหยางคิดว่าฟางผิงคงไม่เอ่ยถึงเขาหรอก ในความคิดของเขา เมื่อไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แล้ว ฟางผิงคงมีโอกาสน้อยที่จะข้องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยหนานเจียง

หวังจินหยางคิดแบบนั้นเพราะเขาไม่รู้ว่า ฟางผิงลากเขาออกมาข่มขู่คนหลายครั้งแล้ว

ไปมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อาจจะไม่มีโอกาสอ้างชื่อหวังจินหยางอีกแล้ว แต่ถ้ามี ฟางผิงคงไม่ปล่อยไปเหมือนกัน

ฟางผิงมีตัวเลือกแล้ว การนัดพบครั้งนี้จึงเป็นอันสิ้นสุดลง

ตอนที่หวังจินหยางจะไป ยังพูดอะไรบางอย่าง “ไปเซี่ยงไฮ้แล้ว ตั้งใจฝึกวิชาให้ดี บางทีอีกไม่นานพวกเราอาจเจอกันอีก”

ฟางผิงเอ่ยอย่างสงสัย “พี่จะไปทำภารกิจที่เซี่ยงไฮ้?”

“บางทีล่ะนะ”

หวังจินหยางหัวเราะ กลับไม่พูดอะไรอีก

ไปเปิดหูเปิดตาที่เซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่งสักหน่อย นี่เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนเคยทำกันทั้งนั้น

แต่เขาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์หนานเจียง เป็นตัวแทนของนักศึกษา หากไปเซี่ยงไฮ้จริงๆ คงไม่อาจไปเที่ยวดูอย่างเดียวเสมอไป

ผู้ว่าจางทะลวงขั้นเจ็ด คิดอยากจะฟื้นฟูสังคมผู้ฝึกยุทธ์ในหนานเจียง

หลังจากนี้คงจะเคลื่อนไหวเพื่อหนานเจียงไม่น้อย เขาที่เป็นประธานสมาคมต้องเข้าไปมีส่วนร่วมอยู่แล้ว

แน่นอนว่า ตอนนี้ฟางผิงยังไม่มีคุณสมบัติจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องภายใน

หวังจินหยางจากไปแล้ว จากไปง่ายๆ แบบนี้

ฟางผิงไม่รู้ว่าตกลงตัวเลือกของเขามันถูกหรือผิด เขาชั่งน้ำหนักของข้อดีข้อเสีย ถึงได้ตัดสินใจเลือกไปมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้

อันที่จริงเขารับรู้ได้ว่า หวังจินหยางอยากให้เขาไปเรียนที่หนานเจียงเหมือนกัน แค่เหล่าหวังไม่พูดออกมาเท่านั้น

เขาเสนอเงื่อนไข นั่นเพราะต้องการพูดแทนมหาวิทยาลัย ไม่ได้มาจากความคิดส่วนตัวของเขาเอง

หากเหล่าหวังเอ่ยปากรั้งเขาจริงๆ แม้ฟางผิงจะลังเลอยู่บ้าง คาดว่าคงจะตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงไปแล้ว

เหมือนที่หวังจินหยางพูด เขาพอจะพูดได้ว่า เป็นอาจารย์คนแรกของฟางผิงเช่นกัน

ในสายตาของฟางผิง การเริ่มต้นเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ของเขา มาจากการชี้แนะของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมากพรสวรรค์คนนี้จริงๆ

เคล็ดวิชาต่อสู้ จวงกง เคล็ดหลอมกระดูก สามอย่างนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ และยังมาจากหวังจินหยางทั้งหมด

นอกโรงยิม

นีนีได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนพูดกันทั้งหมด

ตอนนี้ออกมาจากโรงยิมแล้ว สาวน้อยอดเอ่ยไม่ได้ “ทำไมไม่ให้เขาไปหนานเจียงล่ะ?”

หวังจินหยางเดินจูงมือเธอ เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “แล้วทำไมต้องให้เขาเรียนที่นี่ล่ะ?”

“นาย…นายไม่ใช่บอกว่า จะไปหาพ่อฉันเหรอ เขาก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ต้องช่วยนาย…”

“เรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้”

หวังจินหยางส่ายหัว เอ่ยเสียงแผ่ว “เขามีทางของเขา ฉันมีทางของฉัน ฉันจะไปตามหาอาจารย์ในเวลาที่เหมาะสมพร้อมผู้ช่วยอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะฝืนใจใครไป สิ่งที่ฉันต้องการคือเพื่อนร่วมต่อสู้ที่มีเป้าหมายเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนี้เขายังอ่อนแอเกินไป…”

พูดจบ หวังจินหยางก็เงยหน้ามองนีนี เอ่ยนุ่มนวลว่า “วางใจเถอะ ฉันจะหาอาจารย์ให้พบ”

“พะ…พ่อฉัน เขา…หรือว่าเขา…”

สาวน้อยดวงตาแดงก่ำ อายุน้อยไม่ได้หมายความว่าจะไร้เดียงสาหรือไม่รู้อะไร

พ่อออกทำภารกิจไกลถึงเทียนหนาน นักศึกษาและพวกคุณลุงคุณอาที่พาไปด้วยล้วนกลับมาหมด

แต่พ่อของเธอไม่ได้กลับมา!

พวกคุณลุงคุณอาต่างบอกว่าพ่อสูญหายไป พ่อของพวกนักศึกษา รวมทั้งแม่ของเธอก็พูดแบบนี้เหมือนกัน

แต่การสูญหายแบบนี้จะกลับมาได้จริงๆ เหรอ?

นักศึกษาที่พ่อภาคภูมิใจที่สุด ชายหนุ่มตรงหน้าบอกเธอว่าจะตามหาพ่อให้ได้!

แต่นีนีกลับรู้ว่า นี่เป็นแค่คำปลอบใจเธอเท่านั้น

พ่อที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าสูญหายไป แล้วนับประสาอะไรกับรุ่นพี่ขั้นสามล่ะ?

อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงที่สนิทกับปู่คนนั้น ตอนที่เขามาเยี่ยมเธอถึงบ้าน นีนีขอให้เขาช่วยตามพ่อกลับมา

แต่ครั้งนี้อธิการบดีที่สนิทกับปู่กลับพูดลวกๆ กับเธอ

ใช่แล้ว พูดลวกๆ!

สาวน้อยไม่ใช่คนโง่ เธอเกิดจากครอบครัวที่มีพ่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า ประสบพบเจอเรื่องราวมามาก กระทั่งฟางผิงยังรู้ไม่เท่าเธอด้วยซ้ำ

เรื่องจริงหรือโกหก เธอสัมผัสได้ทั้งนั้น

ตอนที่รู้ว่าฟางผิงใช้เวลาหลอมกระดูกครั้งที่สองภายในเวลาสองเดือน มีพรสวรรค์กว่ารุ่นพี่ อันที่จริงสาวน้อยนั้นคาดหวังให้รุ่นพี่เอ่ยปากรั้งเขาไว้

เธอมองออกว่า พี่ชายเมื่อครู่เชื่อใจรุ่นพี่อย่างมาก

ขอแค่รุ่นพี่เอ่ยปาก ก็ทำให้อีกฝ่ายรั้งตัวอยู่หนานเจียงได้แล้ว ใช้เวลาไม่นาน บางทีพี่ชายคนนั้นคงจะทะลวงขั้นสามหรือขั้นสี่ได้ด้วยซ้ำ…

น่าเสียดายที่รุ่นพี่ไม่ได้ทำแบบนั้น

หวังจินหยางเอ่ยว่า “วางใจเถอะ อาจารย์ไม่เป็นอะไรแน่ แค่ตอนนี้ตามหาไม่เจอเท่านั้น รอฉันทะลวงขั้นสี่แล้ว จะไปตามหาเขา ขั้นสี่ยังไม่พอ จะทะลวงขั้นห้า…”

หากขั้นห้าไม่พออีก งั้นคงต้องเป็นปรมาจารย์!

คำพูดนี้ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ ปรมาจารย์นั้นยากเกินไป!

ตอนนี้พูดออกมา ไม่เป็นผลดีอะไร กลับจะทำให้นีนีสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม

ปรมาจารย์ถึงจะมีหวัง?

นั่นต้องรอถึงเดือนไหนปีไหนกัน!

ถึงเวลานั้นคนยังจะมีชีวิตอยู่จริงๆ งั้นเหรอ?

จุดนี้ อันที่จริงตอนที่จางชิงหนานติดอยู่ในถ้ำใต้ดิน คนส่วนมากต่างพากันคาดเดาได้แล้ว คำว่า ‘สูญหาย’ นั่นเป็นแค่คำปลอบใจลูกสาวตัวน้อยเท่านั้น

ฟางผิงไม่ทราบถึงบทสนทนาที่หวังจินหยางคุยกับนีนีอยู่แล้ว

เขาไม่รู้เรื่องจางชิงหนาน ยิ่งไม่รู้ว่าชายแขนขาเรียวยาวที่อยู่ในคลิปการฝึกเคล็ดต่อสู้นั้นจะเป็นจางชิงหนาน

ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ฟางผิงก็ไม่นึกถึงรางวัลของเจียงหนานอีก

ทุกครั้งที่คิดจะปล่อยมือจากเงินก้อนใหญ่ ฟางผิงยังคงเจ็บปวดในใจ

“หวังว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง!”

ฟางผิงพึมพำ ก่อนจะคำนวณทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือตอนนี้

วันหยุดนี้ต้องวางแผนให้ละเอียดสักหน่อย

มั่นใจเรื่องมหาวิทยาลัยแล้ว ควรจะขบคิดต่อว่า ไปเซี่ยงไฮ้จะหาเงินยังไง

เงินทอง ยาบำรุง ทั้งค่าทรัพย์สินที่มีอยู่คงจะใช้ได้ไม่นานเท่าไหร่แล้ว

——————–