บทที่ 313: เรามีเวลาเหลือไม่มาก ไป!

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 313: เรามีเวลาเหลือไม่มาก ไป!

‘อนาคต’ เป็นคำที่คลุมเครือมาก มันอาจหมายถึงช่วงเวลาที่อยู่หลังจากปัจจุบัน หรือแนวคิดนามธรรมของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และเมื่อคำนี้ถูกใช้กับมวลมนุษยชาติ คำนี้ก็กลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาเป็นพิเศษในทันใด

อนาคตของมนุษยชาติในที่นี้หมายถึงอะไรกันแน่ ?

คำถามดังกล่าวผุดขึ้นในหัวของโรเอล เมื่อเขาเริ่มฟื้นคืนสติอย่างช้า ๆ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะสลบแวบวาบไปทั่วหัวของเขา ในที่สุดเมื่อเด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องนอนที่สะอาดสะอ้าน เด็กหนุ่มกะพริบตาอย่างว่างเปล่าก่อนจะลุกขึ้นในทันที

“… นี่เราอยู่ที่ไหนกัน ?”

โรเอลกำร่างกายอันเจ็บปวดเอาไว้ ก่อนจะเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว มีเฟอร์นิเจอร์มากมายอยู่ในห้อง แต่การไม่มีของส่วนตัวที่บ่งบอกว่าที่นี่เป็นที่ไหนก่อนที่เขาจะมาถึง

ที่นี่เป็นห้องพักชั่วคราวงั้นเหรอ ? โรเอลสงสัย

ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร วิญญาณที่เปล่งประกายก็ลอยลงมาจากท้องฟ้า วนเวียนอยู่เหนือเขาครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้า

มันบอกให้เราตามไปงั้นเหรอ ?

โรเอลเดินลงจากเตียง เดินออกไปจากห้องนอน ข้างนอกมีเพียงทางเดินที่มืดและว่างเปล่า หลังจากเลี้ยวไปไม่กี่โค้ง ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางอาคาร

ทันใดนั้นวิญญาณก็บินขึ้นไปบนจุดนี้ ซึ่งดวงตาของโรเอลก็ขยับตามมันไปด้วย ทำให้เขามองเห็นร่างที่ลอยอยู่ใจกลางห้องโถง

เธอเป็นผู้หญิงผมดำที่สวมชุดยาว คนที่โรเอลขอความช่วยเหลือไว้เมื่อคืนนี้ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แอสตริดนั้นดูเหนื่อยกว่าเล็กน้อย

บางทีเธออาจสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของโรเอล แอสตริดจึงลืมตาขึ้นจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าเดินได้แล้วงั้นเหรอ ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะหายดีแล้วสินะ”

แอสตริดลอยลงมาจากท้องฟ้าขณะที่เธอพูด

โรเอลอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะถามอย่างกังวลถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหมดสติไป แอสตริดหัวเราะเบา ๆ และอธิบายให้เขาฟังถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

หลังจากแยกทางจากโรเอลเมื่อคืน แอสตริดก็ไปถึงสนามรบได้ทันเวลาและช่วยลิเลียนเอาไว้จากการโจมตีของพริสเลย์ เธอถูกบังคับให้ปะทะกับพริสเลย์ ในระหว่างการทำเช่นนั้น การต่อสู้ของพวกเขาจบลงด้วยการเปลี่ยนครึ่งหนึ่งของเลนสเตอร์เป็นซากปรักหักพัง

ปัจจุบันทั้งแอสตริดและพริสเลย์ต่างอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการต่อสู้ของพวกเขา

“ถ้าเราต่อสู้ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ข้าก็จะสามารถใช้เกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน เพื่อปกป้องอาคารในบริเวณใกล้เคียงได้ ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสียหายให้กับเมืองเลนสเตอร์”

“เกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน ?”

“ใช่ มันช่วยให้ข้าสามารถซ้อนทับมิติห้วงความฝันเอาไว้เหนือความเป็นจริงได้ และการทำลายใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตของเกราะพลังเวทย์จะหายไปเมื่อเกราะพลังเวทย์คลายออก”

แอสตริดกล่าว

โรเอลเบิกตากว้าง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นี้ จึงไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ในสถาบันเซนต์เฟรย่าในยุคปัจจุบัน ก่อนจะถามต่อว่าลิเลียนอยู่ที่ไหน และคำตอบที่เขาได้รับก็คือเธอหลับไปแล้วหลังจากได้รับการรักษา

ในที่สุดหัวใจของโรเอลก็สงบลงเมื่อได้ยินข่าว แอสตริดยิ้มให้กับสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ทั้งคู่มีร่วมกัน อย่างไรก็ตามโรเอลนั้นไม่ได้จากไปในทันที แต่กลับถามคำถามสำคัญกับเธอแทน

“ฉันขอถามได้ไหมว่าคนที่มีอำนาจระดับเธอกำลังปกป้องอะไรอยู่ที่นี่ ?” โรเอลถามอย่างสนใจ

ความจริงที่ว่าแอสตริดสามารถต่อสู้กับราชาจอมเวทย์ได้อย่างสูสีและถอยกลับมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใด ๆ แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีความสามารถระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย ซึ่งเป็นระดับแก่นแท้ 1 และมันก็ทำให้เขาสับสน เมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งที่สำคัญมากที่นี่ จนจำเป็นต้องถูกปกป้องโดยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1

แอสตริดหยุดครุ่นคิดไป เมื่อได้ยินคำถามของโรเอล เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเริ่มอธิบาย

“ข้ากำลังปกป้องวัตถุโบราณที่ยืนยันการมีอยู่ของพันธมิตรไตรภาคีในยุคโบราณ ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย”

“พันธมิตรไตรภาคี ? ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย ?”

“ใช่ พันธมิตรไตรภาคีประกอบด้วยทูตสวรรค์ มังกร และไฮเอลฟ์ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันผู้ยิ่งใหญ่ที่สืบเชื้อสายมาจากความบ้าคลั่ง ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายถูกสร้างขึ้นด้วยความพยายามของทั้งสามเผ่าพันธุ์ โดยอีกชื่อหนึ่งของมันก็คือ ห้วงความฝันแห่งผู้กอบกู้”

“ผู้กอบกู้ ?!”

ชื่อที่คุ้นเคยนี้ทำให้โรเอลประหลาดใจ

แอสตริดพยักหน้าตอบก่อนจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เธอปกป้องมาตลอดหลายศตวรรษ

ผู้กอบกู้เป็นหนึ่งในตัวตนอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ เป็นตัวตนที่อยู่เหนือกว่าเหล่าทวยเทพ ครั้งหนึ่งเขาได้นำโลกไปสู่ยุครุ่งเรือง ทว่าทั้งแสงและเงาต่างก็เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน เขาได้ตกลงสู่ความเลวทราม สร้างความหายนะนับไม่ถ้วน ส่งผลให้เกิดความเสื่อมโทรมและส่งผลให้เกิดการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์โบราณจำนวนมาก

ผู้กอบกู้เข้าสู่โหมดจำศีลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ถึงกระนั้น การดำรงอยู่ของเขาก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่

ประการหนึ่งผู้กอบกู้ไม่ได้อยู่ในสภาวะหลับสนิท เพียงจิตใต้สำนึกของเขาก็มีพลังมากพอแล้วที่จะหลอกล่อบุคคลให้เข้าสู่ความเลวทราม และขยายศรัทธาของเขาออกไป ทุก ๆ สองสามศตวรรษ เขาจะแสดงสัญญาณของการตื่นขึ้นมา ซึ่งระดับและระยะเวลาของการตื่นจะแตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง แต่ก็ส่งผลให้เกิดการนองเลือดที่น่าสลดใจอยู่เสมอ ๆ

“ขณะที่เสียงพึมพำอันบ้าคลั่งของเขาดังก้องอยู่ในห้วงความคิด มังกรจะจมเขี้ยวเข้าไปในเนื้อพี่น้องของพวกเขา ทูตสวรรค์จะชักดาบเข้าหากัน และแม้แต่ไฮเอลฟ์ที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าก็ยังแสดงอาการบ้าคลั่ง เพื่อที่จะปลดปล่อยตัวเองจากวัฏจักรแห่งฝันร้ายอันไม่สิ้นสุด สามเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดจึงได้รวมพลังของพวกเขาเข้าด้วยกันเพื่อสร้างห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย และมอบความไว้วางใจให้เหล่าผู้ท่องความฝันคอยดูแลปกป้อง”

ผู้ท่องความฝันเป็นเผ่าพันธุ์ที่แปลกประหลาดในทวีปเซีย พวกเขามีร่างกายที่ไม่เหมือนใคร ร่างกายของพวกเขาจะไร้รูปร่างในตอนกลางวัน และมีรูปร่างในตอนกลางคืน ดังนั้นพวกเขาจะสามารถลบล้างบาดแผลและสถานะผิดปกติได้ทุก ๆ ครึ่งวัน ร่างกายนี้ทำให้พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวที่ไม่ใช่ผู้แสวงหาราชาในสมัยโบราณที่สามารถต้านทานการล่อลวงของผู้กอบกู้ไปสู่ความเลวทรามได้

นั่นก็เพราะ ผู้ท่องความฝันระดับสูงมีความยืดหยุ่นทางร่างกายมากเพียงพอที่จะต้านทานความวิกลจริตของผู้กอบกู้ได้เป็นเวลาครึ่งวัน และสถานะผิดปกติของพวกเขาที่เกิดจากความเลวทรามก็จะหายไปเมื่อรุ่งสาง ยิ่งไปกว่านั้นธรรมชาติของพวกเขายังช่วยให้พวกเขาควบคุมห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายได้อย่างอิสระ

พันธมิตรไตรภาคีทำงานร่วมกับผู้ท่องความฝัน ส่งผู้กอบกู้หลับลึกเป็นเวลานานภายใต้การควบคุมของห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย

แต่เช่นเดียวกับภูเขาสูงที่ในที่สุดที่ต้องกลายเป็นทรายในสักวันหนึ่ง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป เผ่าพันธุ์โบราณก็ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไป และมรดกแห่งห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายก็หายสาญสูญไป เมื่อถึงช่วงเวลาที่มนุษยชาติรุ่งเรืองขึ้นมา ผู้กอบกู้ก็หลุดพ้นจากการจำศีลแล้ว ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่หายไปในยุคโบราณจึงกลับมาอีกครั้งคุกคามความอยู่รอดของทุกเผ่าพันธุ์

จนกระทั่งการปรากฏตัวของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำในยุคที่สอง… สิ่งต่าง ๆ จึงเปลี่ยนไป

“ตระกูลอาร์เด้ ตระกูลเดียวที่มีมรดกตกทอดได้นำผู้ลี้ภัยจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ออกสำรวจ และนำห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายกลับมาได้สำเร็จ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาแพง ลูเซนด์ อาร์เด้ ผู้นำคนแรกของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำได้เสียชีวิตระหว่างการเดินทาง และสมาชิกผู้ก่อตั้งเกือบทั้งหมดก็ต้องพบกับจุดจบ นอกจากนี้ในขณะที่ตระกูลอาร์เด้กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุด พวกเขาก็ต้องเผชิญการไล่ล่าจากผู้ศรัทธาในผู้กอบกู้เพราะความฝันแห่งความโกลาหล”

“ผู้บูชาผู้กอบกู้ได้แผ่ขยายอย่างเงียบ ๆ ในเงามืดมาเป็นเวลานานกว่าพันปี อิทธิพลของพวกเขายิ่งใหญ่มากจนซึมซับไปทั่วทุกซอกทุกมุมของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ตระกูลแอคเคอร์มันน์ถูกกดดัน จนในที่สุดพวกเขาก็เลือกที่จะทิ้งตระกูลอาร์เด้เพื่อรักษาอาณาจักรของตนเอาไว้ ท้ายที่สุดตระกูลอาร์เด้ ที่จนมุมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องยอมแยกตัวออกเป็นเจ็ดตระกูล ส่งผลให้ความรุ่งโรจน์ของพวกเขาจบลง”

เสียงของแอสตริดดูอึดอัดเล็กน้อยเมื่อพูดถึงจุดนี้ โรเอลหมดคำพูดต่อสิ่งนี้ เขาไม่เคยคิดว่าชะตากรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาอารยธรรมมนุษย์

“บิดาของข้า บอริส อาร์เด้ เป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ในขณะที่เอสเตอร์มารดาของข้าเป็นลูกหลานของผู้ท่องความฝัน ทั้งสองเสียชีวิตท่ามกลางความโกลาหลนั้น แต่ถึงกระนั้น พวกเราก็ยังคงยึดมั่นและปฏิเสธที่จะมอบห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายให้แก่เหล่าสาวกของผู้กอบกู้ นั่นทำให้มนุษยชาติยังสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้”

แอสตริดกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

เธอมีหลักฐานสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทำให้โรเอลแปลกใจมาก

พูดง่าย ๆ ก็คือห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายมีความสามารถในการระงับการเคลื่อนไหวของพวกกลายพันธุ์

“หรือก็คือพฤติกรรมของพวกกลายพันธุ์นั้นมีความสัมพันธ์กับระดับการตื่นของผู้กอบกู้ เราคาดเดาว่าพวกกลายพันธุ์อาจเป็นเผ่าพันธุ์โบราณที่ตกสู่ความต่ำทราม หรือกลุ่มผู้ที่ศรัทธาในผู้กอบกู้ นอกจากนั้นห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายยังมีพลังในการสกัดกั้นพลังของผู้กอบกู้และป้องกันไม่ให้ผู้คนจำนวนมากตกสู่ความเลวทรามและความบ้าคลั่งได้ สาเหตุที่ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เองก็เป็นเพราะสงครามกับกับพวกกลายพันธุ์”

“สงครามกับพวกกลายพันธุ์ ?”

โรเอลถาม

แอสตริดพยักหน้าแทนคำตอบ

“ถูกต้อง ห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ มันมีตัวตนอยู่ในมิติห้วงความฝันเท่านั้น ข้าต้องเข้าไปในส่วนลึกของมิติห้วงความฝัน เพื่อนำผู้กอบกู้เข้าสู่การหลับใหล ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของข้าต้องหยุดลงด้วยเช่นกัน สิ่งที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงแค่ร่างจำแลงของข้า”

“เข้าใจแล้ว นี่มันเหลือเชื่อมากจริง ๆ…”

คำตอบที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างฉับพลันของความลึกลับที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในอดีตทำให้โรเอลตกตะลึง ถ้าสิ่งที่แอสตริดพูดเป็นความจริง เธอก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนที่ยืนอยู่ตรงแนวหน้าของมนุษยชาติเพียงคนเดียว

ในที่สุดโรเอลก็เข้าใจว่าแอนโตนิโอหมายถึงอะไร ตอนที่เขากล่าวว่าแอสตริดกำลังปกป้องอนาคตของมนุษยชาติอยู่ เช่นเดียวกับใบหน้าอันเศร้าโศกเมื่อเขาพูดคำเหล่านั้น

การเสียสละของแอสตริดนั้นช่างสูงส่ง

แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับเกียรติจากการเสียสละนี้ แต่เธอก็ยังคงดำดิ่งสู่มิติห้วงความฝัน เพื่อปกป้องมนุษยชาติผ่านห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย เพื่อให้แน่ใจว่าศัตรูจะไม่พบเธอ แอสตริดจึงได้ฝังตัวตนลงไป จำกัดตัวเองให้อยู่ในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเป็นเวลาหลายศตวรรษราวกับนักโทษ

แอสตริดไม่มีทางเลือกอื่น ความฝันแห่งความโกลาหลนั้นสามารถคงอยู่ได้ด้วยความฝันของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจำนวนมาก และที่เดียวในโลกที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ก็คือเมืองเลนสเตอร์

โรเอลสัมผัสได้ว่าแม้ว่าแอสตริดจะมาจากตระกูลอาร์เด้ แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้ครอบครองพลังสายเลือดแอสคาร์ด ซึ่งหมายความว่าเธอกำลังปกป้องกองไฟสุดท้ายของความรุ่งโรจน์ที่ตระกูลอาร์เด้มีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นเพียงแค่สมาชิกธรรมดา ๆ ในตระกูลก็ตามที

หัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกหนักอึ้งกับความคิดนั้น ทำให้เขามองแอสตริดด้วยดวงตาที่รื้นขึ้นด้วยน้ำตา

“คุณ… ทนมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน ?”

เขาถาม

“… ข้าเองก็ไม่รู้ มันคงมาจากความขุ่นเคืองในใจข้า ข้าทนดูตระกูลของสูญสิ้นไปแบบนั้นไม่ได้ ข้าไม่สามารถทนต่อความคิดที่ว่าเลือดของบรรพบุรุษของข้าต้องหลั่งไหลไปอย่างเปล่าประโยชน์ ข้ารับไม่ได้กับความคิดที่ว่าไม่มีใครได้รู้เรื่องราวของพวกเรา”

แอสตริดหลับตาด้วยใบหน้าอันขมขื่น

“บางครั้งข้าก็กลัว ข้าค่อย ๆ สูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอก ข้าต้องตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดออก เพื่อปกปิดตัวตนของตัวเอง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลแอสคาร์ดในรุ่นปัจจุบันเป็นอย่างไร… หรือเรื่องที่มีผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมเช่นเจ้าถือกำเนิดขึ้นบนโลกนี้”

แอสตริดวางมือบนศีรษะของโรเอลเบา ๆ แล้วยิ้ม

ดวงตาของโรเอลเริ่มเอ่อล้นด้วยน้ำตา เขารู้สึกอยากที่จะแจ้ง แอสตริดถึงที่มาของเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่ทันทีที่เขาพยายามจะพูด เขาก็ถูกควบคุมโดยกฎของสถานะผู้เฝ้ามอง

“เอาล่ะ เลิกคุยกันถึงเรื่องของข้าเถอะ ตอนนี้มีบางสิ่งสำคัญกว่ามากที่เจ้าต้องทำ”

แอสตริดใช้ผ้าเช็ดหน้าตาที่เปียกชื้นของโรเอล ก่อนจะชี้ไปที่ห้องที่ลิเลียนอยู่ จากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว เจ้าควรทิ้งลูกหลานเอาไว้นะ”