บทที่ 314: อย่าลืมกินยาก่อน
หลังจากที่แอสตริดเล่าถึงประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าของตระกูลอาร์เด้ โรเอลก็พบว่าหัวใจของเขาเริ่มหนักขึ้นด้วยบรรยากาศอันเศร้าโศกและเคร่งขรึม ทว่าบรรยากาศดังกล่าวก็พังทลายลงทันทีเมื่อแอสตริดชี้นิ้วไปที่ห้องของลิเลียน
เดี๋ยวนะ คุณหมายความว่ายังไง ? ทิ้งลูกหลานไว้ข้างหลัง ?
ลูกของใคร !
โรเอลจ้องไปที่แอสตริดด้วยสีหน้าอันตกตะลึง สมองของเขาล้มเหลวในการประมวลผลจากสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไป
สิ่งหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวโดยแท้จริงสำหรับตระกูลอาร์เด้ก็คือการสูญสิ้นเชื้อสายอันยาวนานของพวกเขา แล้วอะไรคือเหตุผลที่ทำให้เชื้อสายของตระกูลสูญสิ้นได้กันล่ะ ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ก็คือการไม่มีลูกหลาน
ไม่ว่าตระกูลขุนนางชั้นสูงจะมีมรดกที่มั่งคั่งหรือทรงพลังมากเพียงใด หากไม่มีลูกหลานที่จะสืบทอดมันก็ไม่มีประโยชน์
ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ที่มีสายเลือดอันยอดเยี่ยม มักจะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีทายาททิ้งเอาไว้ก่อนที่จะออกไปสู่สนามรบ นี่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขาที่มีต่อเผ่าพันธุ์และตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลชนชั้นสูงที่มีลูกหลานเพียงไม่กี่คนเช่นตระกูลแอสคาร์ด
แม้ว่าแอสตริดจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ โรเอลเกือบจะต้องตายไปพร้อมกับลิเลียนแล้วด้วยฝีมือของพริสเลย์ ทางที่ดีที่สุดเขาจึงควรที่จะทิ้งลูกหลานเอาไว้ข้างหลังเสียก่อน
“ค…คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ? ลิเลียนเป็นพี่สาวของ…”
“ข้าได้คุยกับเด็กคนนั้นแล้ว แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนจะมีพลังทางสายเลือดเดียวกัน แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด”
“… นั่นก็จริงอยู่ แต่พวกเราสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น !”
โรเอลปฏิเสธคำแนะนำของแอสตริดด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ
กลับกันแล้ว แอสตริดดูเหมือนจะตกตะลึงกับคำพูดเหล่านั้น เธอจ้องมองโรเอลอย่างตั้งใจ ด้วยความประหลาดใจกับความจริงที่ว่าพวกเขาไม่ใช่คู่รักกัน อันที่จริงเธอคิดว่าบริบท ‘น้องชาย’ กับ ‘พี่สาว’ ระหว่างพวกเขาเป็นแค่คำเรียกระหว่างคู่รักเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่
“อย่ากังวลไปเลย ความรู้สึกที่พวกเจ้ามีต่อกันนั้นเพียงพอแล้ว เรียกได้ว่าดีกว่าเหล่านักรบที่ต้องต่อสู้ในแนวหน้าในยุคของข้าเสียอีก”
แอสตริดตั้งข้อสังเกต
เธอได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ผ่านยุคสมัยอันวุ่นวาย ความจริงที่ว่าโรเอลและลิเลียนเต็มใจเสียสละตัวเองเพื่อกันและกันแสดงให้เห็นว่าความรู้สึกที่พวกเขามีให้กันนั้นเหนือกว่าคู่รักทั่ว ๆ ไปมาก และเธอก็มองว่าความรู้สึกนั้นมากเกินพอแล้วสำหรับความสัมพันธ์ของคู่รัก
ในอดีตทหารที่พยายามจะทิ้งลูกหลานเอาไว้ก่อนเดินทัพออกไปยังแนวหน้า มักจะต้องจบลงกับคู่สมรสที่พวกเขาไม่เคยพบกันมาก่อน
แอสตริดมองไปที่โรเอลที่กำลังหน้าแดงจนถึงปลายหู ก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ระหว่างทั้งสองคนได้ในทันที ในฐานะที่เป็นคนโสดเธอเองก็ไม่มีข้อแนะนำดี ๆ ที่จะสามารถบอกเล่าให้เด็ก ๆ ทั้งสองฟังได้ ทั้งหมดที่เธอทำได้จึงมีเพียงการตบไหล่เขาและให้คำแนะนำดาษ ๆ บางอย่างแก่เขา
“ตระกูลแอสคาร์ดเป็นสายเลือดหลักที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอาร์เด้ของข้า เจ้าควรจะทิ้งลูกหลานไว้ข้างหลัง ไม่จำเป็นจะต้องกังวลกับเรื่องนี้ให้มากจนเกินไป เจ้าควรจะบอกเธอไปตรง ๆ ข้าเชื่อว่าเธอจะยอมรับมัน”
“บอกเธอตรง ๆ งั้นเหรอ ?”
โรเอลพูดคำนั้นซ้ำด้วยความตกตะลึง
จะให้เราพูดออกไปแบบนั้นได้ยังไงเล่า ?
‘รุ่นพี่ ช่วยมีลูกกับผมได้ไหม ?’
คงจะแปลกมากแน่ ๆ ถ้ามีคนเห็นด้วยและตอบรับคำถามนี้… เดี๋ยวนะ ถ้าพูดถึงรุ่นพี่ล่ะก็ ไม่แน่ว่าเธออาจจะ…
โรเอลนึกถึงความรักและการปกป้องที่ลิเลียนได้มอบให้กับเขาตลอดวันที่ผ่านมา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในความสับสน
ตอนแรกเขาไม่ได้วางแผนที่จะตายที่นี่ด้วยซ้ำ สถานะผู้เฝ้ามองมักจะมีทางออกให้แก่เขาเสมอ และเขาเองก็กำลังวางแผนที่จะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดออกจากที่นี่ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ต้องมาทิ้งชีวิต แล้วทำไมเขาจะต้องรีบทิ้งลูกหลานไว้เบื้องหลังด้วยล่ะ ?
นอกจากนี้ทำไมบรรพบุรุษของเขาทุกคนถึงได้หมกมุ่นอยู่กับครรภ์ของลิเลียนกัน ?
โรเอล รู้สึกปวดหัวกับสิ่งนี้
อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็จำน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามก่อนหน้านี้ของแอสตริดได้เมื่อเธอพูดถึงตระกูลแอคเคอร์มันน์ ทำให้จิตใจอันร้อนรนของเขาเย็นลงอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนเลือกจะใช้คำพูดแก้ตัว
“มีบางอย่างที่ฉันต้องแจ้งให้คุณทราบ อันที่จริงแล้ว… ลิเลียนเป็นสมาชิกของราชวงศ์แอคเคอร์มันน์”
“…”
อย่างที่คาดไว้ความแค้นอย่างสุดซึ้งของแอสตริดที่มีต่อตระกูลแอคเคอร์มันน์ที่ทอดทิ้งตระกูลอาร์เด้ ทำให้เธอขมวดคิ้ว แต่หลังจากเงียบไปสักพัก เธอก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“หนึ่งพันปีผ่านไปแล้ว ความขุ่นเคืองจากยุคก่อนควรถูกฝังไปในทรายแห่งประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือเด็กคนนั้น ข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกจริงจังที่เธอมีต่อเจ้า จะมีกี่คนบนโลกเชียวที่กล้ายืนหยัดต่อสู้กับราชาจอมเวทย์เพื่อคนอื่น ? นอกจากนี้เจ้าเคยคิดไหมว่าเมื่อเกิดมาแล้วลูกของเจ้าจะใช้ชื่อสกุลอะไร ?”
“อา ? เขาก็ควรจะใช้สกุล ‘แอสคาร์ด’ ใช่ไหมล่ะ ?”
โรเอลตอบอย่างไม่มั่นใจต่อคำถามที่ทำให้สับสนของแอสตริด ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจราวกับว่ามันคือคำตอบของคำถามทั้งหมดในที่นี้
“นั่นจะแก้ปัญหาทุกอย่าง เจ้าคือคนของแอสคาร์ด และเธอเองก็จะกลายเป็นแอสคาร์ด หลังจากที่ได้แต่งงานกับเจ้า ลูกที่เจ้าสองคนจะมีเองก็จะเป็นคนของแอสคาร์ดด้วย ไม่มีที่ใด ๆ สำหรับตระกูลแอคเคอร์มันน์ที่นี่”
ว้าว ตรรกะที่บิดเบี้ยวนี่มัน… เธอทำให้เราไม่รู้จะเถียงกลับยังไงดีเลยทีเดียว
โรเอลตกตะลึงกับการใช้เหตุผลอันทรงพลังของบรรพบุรุษ เขาไม่เคยคิดว่าแอสตริดจะมีความเอนเอียงต่อลิเลียนมากจนเธอเต็มใจที่จะละทิ้งอคติที่มีต่อตระกูลแอคเคอร์มันน์
อย่างไรก็ตามมันก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
“ใช่แล้ว ฉันพบเอกสารเมื่อหลายศตวรรษก่อน ซึ่งดูเหมือนว่าจะมาจากผู้ปกครองคนสุดท้ายของจักรวรรดิออสทีนโบราณ จักรพรรดิชาร์ลส์ มีบรรทัดหนึ่งที่ระบุเอาไว้ว่า ‘เมื่อสายเลือดของนกอินทรีทั้งคู่ได้มาบรรจบกัน ประตูจะเปิดออกและรัศมีจะกลับคืนสู่โลก’ คุณรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร ?”
นี่เป็นคำพูดที่แม้แต่โรเอลก็ยังไม่เข้าใจ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจถามแอสตริดผู้รอบรู้ ทว่าอีกฝ่ายกลับขมวดคิ้วอย่างสับสน
“ถ้าตีความจากคำพูดแล้ว ดูเหมือนว่าชาร์ลส์ต้องการจะผลักดันให้เกิดการรวมตัวระหว่างตระกูลแอสคาร์ดและตระกูลแอคเคอร์มันน์”
“คุณเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้งั้นเหรอ ?”
โรเอลถาม
แอสตริดส่ายหัวก่อนจะอธิบายสถานการณ์ภายในของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำในตอนนั้นให้เขาฟัง
จุดมุ่งหมายของสมัชชาคือการรวมพลังของมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เพื่อจัดการกับภัยอันตรายที่คุกคามการอยู่รอดของพวกเขา ปัญหาคือมีอันตรายนั้นมีมากเกินไปจนพวกเขาไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยสายคำสั่งเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงแยกออกเป็นหลายกลุ่ม
แอสตริดเป็นผู้รับผิดชอบการปกป้องห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักในกลุ่มที่รับผิดชอบเรื่องผู้กอบกู้ แต่ก็มีหลายกลุ่มที่คล้ายคลึง บางกลุ่มก็ประสบความสำเร็จในขณะที่บางกลุ่มก็ล้มเหลว แต่การกระทำทั้งหมดของพวกเขาต่างก็ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์
“ชาร์ลส์… ช่างเป็นชื่อที่ชวนให้คิดถึง เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดในหมู่แอคเคอร์มันน์โดยแท้จริง เขาพยายามผลักดันให้ตระกูลของตนเป็นพันธมิตรกับตระกูลแอสคาร์ดอย่างแข็งขันในขณะที่ยืนหยัดต่อต้านผู้ศรัทธาในลัทธิผู้กอบกู้ที่บ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ”
“ในตอนนั้นสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำได้รับผลกระทบครั้งใหญ่และจบลงด้วยการแตกสลาย สมาชิกจึงติดต่อกันได้ยากขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ทราบสถานการณ์รอบ ๆ ตัวชาร์ลส์ แต่ข้าเองก็คิดว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมัชชาด้วยเช่นกัน”
“เอกสารที่เจ้าพบข้าว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับแผนบางอย่างจากฝั่งของแคโรไลน์ ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเธอพยายามจะขอความร่วมมือจากตระกูลแอคเคอร์มันน์ แต่ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดมากเท่าไหร่”
“…”
โรเอลตกอยู่ในห้วงความคิดลึก ๆ หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของแอสตริด
เขาเคยได้ยินชื่อ ‘แคโรไลน์’ มาก่อน เธอเป็นผู้นำของตระกูลแอสคาร์ด ระหว่างช่วงส่งผ่านระหว่างยุคที่สองสู่ยุคที่สาม ซึ่งเป็นเวลานานกว่าพันปีมาแล้วจากยุคปัจจุบันของโรเอล ทำให้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาเบาะแสจากยุคนั้น
ด้วยความคิดนี้ โรเอลจึงส่ายหัวพลางมองโลกในแง่ร้าย โดยคิดว่าสิ่งนี้จะยังคงเป็นปริศนาต่อไปชั่วนิรันดร์สำหรับเขา อย่างไรก็ตามแอสตริดค่อนข้างมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้
“มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นหาบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนนี้ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องหมดหวังไป เราสามารถคิดในมุมย้อนกลับเพื่อหาคำตอบได้เหมือนกันนะ”
“คิดในมุมย้อนกลับ ?”
“ใช่ อย่างแรก เจ้าน่าจะได้เบาะแสหลังจากลองมีลูกกับเด็กสาวคนนั้นใช่ไหมล่ะ ?”
“หา ?”
โรเอลตกตะลึงกับคำแนะนำของแอสตริด เขาไม่เคยคิดเลยว่าหัวข้อนี้จะวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะปฏิเสธคำแนะนำอีกครั้ง แอสตริดก็คว้ามือของเขาไว้แล้วดึงเข้าไปที่ห้องของลิเลียน เธอล้วงกระเป๋าและหยิบขวดเล็ก ๆ ที่สวยงามออกมา
“ให้เธอดื่มนี่ก่อนเริ่ม มันน่าจะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จได้”
“อัตราความสำเร็จ ?”
“อืม นอกจากนี้เจ้าควรจะทำอีกสักสองสามครั้งเพื่อความปลอดภัย”
“ด…เดี๋ยวก่อน ฉ…ฉัน…”
“หยุดลังเลได้แล้วน่า ! เวลาของพวกเรามีจำกัดนะ !”
แอสตริดยัดขวดลงในมือของโรเอลก่อนจะผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง เสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจเบา ๆ
“ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดข้าก็ได้ทำสิ่งสุดท้ายที่พึงจะทำได้สำหรับตระกูลแล้ว”
แอสตริดกล่าวพลางสวดอ้อนวอนให้แผนการนี้สำเร็จในนัดเดียว