บทที่ 315:เข้าใกล้หัวใจ
แอสตริดรออยู่ข้างนอกห้องพลางสวดอ้อนวอนขอลูกหลานมากมาย
ทว่าที่อีกด้านหนึ่งของประตู โรเอลไม่รู้ว่าเขาควรทำอย่างไรดีกับขวดยานี้ เด็กหนุ่มใช้เวลาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในห้องต่อ
ห้องนี้คล้ายกับห้องพักที่โรเอลตื่นขึ้นมาก่อนหน้านี้ ที่นี่ขาดแคลนสิ่งของอำนวยความสะดวกอย่างเห็นได้ชัด นาฬิกาบนกำแพงเองก็หยุดเดินไปแล้ว ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือความอุดมสมบูรณ์ของวิญญาณแห่งความฝันที่กระพือปีกบินไปทั่วห้อง
“รุ่นพี่ ?”
โรเอลกล่าวเรียกออกมาเบา ๆ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
การที่ได้รู้ว่าลิเลียนนั้นยังไม่ตื่นช่วยให้เด็กหนุ่มโล่งใจลงได้นิดหน่อย หัวใจที่ประหม่าของเขาเริ่มสงบลงเล็กน้อย เขาเดินเข้าไปในห้องลึก จนได้เจอกับเด็กสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียง
ใบหน้าและริมฝีปากของลิเลียนดูซีดกว่าปกติมาก เนื่องจากเธอเสียเลือดไปค่อนข้างมาก ผมสีดำสนิทของเธอก็กระจัดกระจายไปทั่วหมอน หน้าอกของเธอขยับขึ้นลงเป็นจังหวะพร้อมกับการหายใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่โรเอลนั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างออกไปรอบตัวเธอ
เขาโล่งใจขึ้นมากที่ได้เห็นว่าลิเลียนปลอดภัยดี แต่ในขณะเดียวกันเรือนร่างของเธอก็ทำให้คอของเขารู้สึกแห้งลง
โรเอลใช้เวลาสงบสติอารมณ์สักครู่ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปที่เตียง เช่นเดียวกับคืนก่อน เขาดึงเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ เตียงของเธอ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะลังเลเล็กน้อยที่จะเอื้อมไปจับมือของเธอ
นิ้วที่เล็กและบอบบางของลิเลียน ทำให้เขาหวนนึกถึงตอนที่เธอหักพวกมันเพื่ออัญเชิญป้อมปราการสิบทิศ ตอนนี้แม้ว่านิ้วของเธอจะได้รับการรักษาโดยแอสตริดแล้ว แต่หัวใจของเขาก็ยังสั่นสะท้านเมื่อได้มองไปที่พวกมัน
เด็กหนุ่มโอบแขนของเธอแล้วหายใจออกเบา ๆ ทว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ยังปลุกจิตสำนึกของลิเลียนให้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นได้อยู่ดี
“!”
ตาของลิเลียนแดงก่ำเมื่อได้เห็นโรเอล ทั้งสองสบตากันอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรเลย พวกเขาใช้การกระทำแทนคำพูด ก่อนจะดึงกันและกันเข้ามากอดแน่น
เมื่อได้รับความอบอุ่นและกลิ่นหอมของลิเลียน โรเอลก็รู้สึกราวกับว่ามีก้อนเนื้อก่อตัวขึ้นในลำคอ ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย ทางลิเลียนเองก็เต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้นและอารมณ์มากมายเช่นกัน เธอลูบหลังผู้เป็นเสมือนน้องชายเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเขา
ความจริงที่ว่าทั้งสองคนรอดชีวิตมาจากการเผชิญหน้ากับพริสเลย์ ผู้เป็นถึงราชาจอมเวทย์ระดับแก่นแท้ 1 ได้นั้นเป็นดั่งเรื่องมหัศจรรย์ หัวใจของโรเอลพองโตด้วยความพึงพอใจ และลิเลียนเองก็มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อารมณ์อันพลุ่งพล่านกระตุ้นการสั่นพ้องทางพลังสายเลือดของพวกเขา หลอมรวมร่างกายที่โอบกอดกันไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว โรเอลฟังเสียงหัวใจของลิเลียนอย่างเงียบ ๆ พลางคิดว่ามันเป็นจังหวะที่ไพเราะที่สุดในโลก
ขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความสุขที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะขอโทษแอสตริดในใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแอสตริดได้เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการหยิบยกประเด็นนั้นขึ้นมา ทั้งสองคนต่างรู้สึกถึงอารมณ์อันท่วมท้นเมื่อได้กลับมาพบกันอีกครั้ง อีกทั้งเธอยังเตรียมยาเพิ่มอัตราความสำเร็จเอาไว้อีกด้วย
น่าเสียดายที่โรเอลไม่รู้สึกถึงอารมณ์ตัณหาใด ๆ ในตอนนี้
ความรู้สึกของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมากหลังจากผ่านพ้นวิกฤติไปได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาเช่นนี้รั้งแต่จะทำให้รู้สึกแย่เท่านั้น
เมื่อใจของคน ๆ หนึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย ตัณหาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องนั่งเบาะหลังหลบไป นี่ทำให้โรเอลเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนจึงมักจะโอบกอดกันในเวลาเช่นนี้ เพราะมันทำให้หัวใจของพวกเขาทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
หลังจากกอดกันไปพักใหญ่ ๆ ในที่สุดโรเอลและลิเลียนก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง โดยลิเลียนเป็นคนแรกที่กล่าวทำลายความเงียบ
“… ถ้าเรากลับไปแล้ว พวกเราน่าจะใช้เวลาร่วมกันข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราวนะ”
“เอ๋ ?”
คำขออย่างกะทันหันนี้ทำให้โรเอลไม่ทันระวังตัว เขาเงยหน้าขึ้นมองลิเลียนและกะพริบตาด้วยความสับสน
“หมายความว่าอย่างไรครับรุ่นพี่ …”
“พวกเราน่าจะไปสักที่ที่พวกเราสามารถใช้เวลาร่วมกันได้โดยไม่มีใคร หรือสิ่งใดมาพรากเราไปจากกัน”
“!”
โรเอลเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เขาเข้าใจคำขอของลิเลียนในทันทีและพยักหน้าเห็นด้วย
ก่อนหน้านี้ฝ่ายที่รู้สึกไม่สบายใจที่ต้องแยกทางกับอีกคนคือลิเลียน แต่หลังจากที่ได้เผชิญหน้ากับพริสเลย์ และลิเลียนได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเขา ความไม่สบายใจแบบเดียวกันก็เริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจของโรเอลเช่นกัน อันที่จริงมันกลายเป็นแผลใจของเขาเลยก็ว่าได้
“คราวนี้ผมจะรักษาสัญญาของคุณแน่ รุ่นพี่”
“แน่นอน ฉันเองก็จะไม่ผิดสัญญาอีกเป็นครั้งที่สอง”
ลิเลียนตอบด้วยรอยยิ้ม
โรเอลเองก็ยิ้มเช่นกัน
ทั้งสองยังคงกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ลิเลียนจะเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อม ไม่นานนักเธอก็สังเกตเห็นขวดแปลก ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ เตียง
“นั่นยาของฉันเหรอ ?”
“หา ? ยา ?”
โรเอลสับสนเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่เมื่อเขาเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง ขวดนั้นก็อยู่ในมือของเธอแล้ว ทำให้รูม่านตาของเขาพองโตด้วยตื่นตระหนก
“เดี๋ยวก่อน ! รุ่นพี่ อย่าเพิ่งดื่มมันนะ ! นั่นมันยาเพิ่ม… แค่ก แค่ก !”
“หืม ?”
“ไม่ ผมหมายถึง…”
เมื่อมองไปที่ขวดยาเพิ่มอัตราการสืบพันธุ์ในมือของลิเลียน ใบหน้าของโรเอลก็สว่างไสวด้วยความล้นลาน เขาหยิบขวดขึ้นมาและพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“นี่มันเป็นของผมน่ะ”
“ของเธอ ?”
“ใช่ ๆ ผมเองก็เพิ่งตื่นมาไม่นานมานี้ ผมรีบมาที่นี่เพื่อตรวจสอบดูว่าคุณปลอดภัยดีไหม หลังจากพูดคุยกับท่านบรรพบุรุษ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ดื่มมัน”
โรเอลกำลังจะวางยาลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นลิเลียนก็คว้ามือของเขาและหยุดเด็กหนุ่มไว้
“ฉันดีใจกับความรู้สึกของเธอนะ แต่เธอควรให้ความสำคัญกับสุขภาพของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เธอควรดื่มยานั้นเดี๋ยวนี้”
“… อา ?”
โรเอลได้แต่ตกตะลึง เด็กหนุ่มมองไปที่ลิเลียนที่จ้องมองมาทางเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กดื้อที่ไม่ยอมกินยา ก่อนจะเหลือบไปเห็นยาเพิ่มอัตราการสืบพันธุ์ในมือ
แก้มของเด็กหนุ่มเริ่มกระตุก
เดี๋ยวนะ เธอกำลังขอให้เราดื่มยาเพิ่มอัตราการสืบพันธุ์เหรอ ?
แต่มันก็คงไม่น่ามีผลอะไรกับผู้ชายหรอกมั้ง แต่ก็นะ…
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านแอสตริดพาฉันมาที่นี่ ฉันเห็นแล้วว่าความสามารถน้ำแข็งของเธอมีผลข้างเคียง”
แค่คิดถึงห้องแช่แข็งที่โรเอลนอนอยู่ก็ทำให้ลิเลียนขมวดคิ้วอย่างกังวล
แม้ว่าโรเอลจะสามารถลบล้างผลข้างเคียงนั้นได้ด้วยความสามารถของแอสตริด แต่มันก็อาจจะยังมีอาการบาดเจ็บทางร่างกายหลงเหลืออยู่ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรจะรีบรักษามันให้ได้โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นมันอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนได้
“เธอดูลังเลมากที่จะดื่มมัน เป็นห่วงเรื่องยางั้นเหรอ ?”
ลิเลียนถามด้วยความสงสัยเมื่อสังเกตเห็นแก้มที่กระตุกของโรเอล เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นข้อเสนอ
“ทำไมไม่ให้ฉันลองดื่มก่อนล่ะ ? ฉันเคยเรียนวิชาปรุงยามาก่อน และน่าจะสรุปผลของยาได้ด้วยการชิม…”
“!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้โรเอลสั่นสะท้าน เขาเปิดขวดและกลืนยาลงคอไปโดยไม่ลังเล
ไชโย !
โรเอลกำจัดหลักฐานอย่างบ้าคลั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ลิเลียนรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายรู้สึกประหลาดใจกับการเคลื่อนไหวที่กระฉับกระเฉงของเขา แต่เธอก็ดีใจที่เขายอมดื่มยาแต่โดยดี แม้ว่าการแสดงออกที่ขัดแย้งกันของเขาจะทำให้เธองุนงงเล็กน้อยก็ตามที
“ทำไม ? รสชาติมันไม่ดีงั้นเหรอ ?”
“ไม่ครับ รสชาติมัน… ดีจนน่าประหลาดใจเลย”
โรเอลตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนล้าเล็กน้อย
…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ลิเลียนก็กลับไปนอนบนเตียง ส่วนโรเอลยังคงจับมือเธออยู่ขณะมองดูนาฬิกาที่หยุดนิ่งอย่างครุ่นคิด เขากำลังไตร่ตรองเรื่องบางอย่าง
ตอนนี้ลิเลียนไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
โรเอลอาจจะอยู่ในสภาพที่แย่กว่าในแง่ของอาการบาดเจ็บ แต่ลิเลียนได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่ออัญเชิญป้อมปราการสิบทิศทำให้ยากที่จะฟื้นตัว
เมื่อมองไปที่หญิงสาวที่กำลังหลับใหลอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของโรเอลก็แดงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คำพูดของโรดูเหมือนจะก้องอยู่ในหูของเขาไม่หยุด และขวดเล็ก ๆ ของแอสตริดเองก็วางอยู่ข้าง ๆ
หัวใจที่เต้นระรัวทำให้โรเอลรู้ว่าเขามีความรู้สึกบางอย่างกับลิเลียน แต่เด็กหนุ่มไม่คิดว่ามันจะเหมาะสมเท่าไหร่หากพวกเขาจะทำเรื่องแบบนั้นในตอนนี้
ประการหนึ่งโรเอลไม่คิดว่ามันเป็นเวลาที่เหมาะสม พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนัก และความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันเองก็ยังไม่ได้ไปถึงจุดนั้น การพยายามบังคับสิ่งต่าง ๆ ในตอนที่มันยังไม่สุกงอมรั้งแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาพังทลาย
นอกจากนี้โรเอลยังกลัวว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาเสียความตั้งใจในการต่อสู้ไป
เป้าหมายหลักของเขาคือการหลบหนีออกจากสถานะผู้เฝ้ามองครั้งนี้กับลิเลียนอย่างปลอดภัย และเขาต้องการมุ่งความสนใจไปที่เรื่องนี้
จนถึงตอนนี้โรเอลเข้าใจสถานการณ์ในสถานะผู้เฝ้ามองได้อย่างชัดเจนแล้ว
เขาถูกนำเข้ามาในประวัติศาสตร์ของเมืองเลนสเตอร์เมื่อสี่ร้อยปีก่อน เพื่อเป็นสักขีพยานเหตุการณ์ที่ถูกละเลยในบันทึกทางประวัติศาสตร์ ราวกับว่ามีคนจงใจลบมันทิ้งไป ในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งแทบไม่มีใครสนใจ จักรพรรดิสองคนได้ปะทะกันเพื่อตัดสินชะตากรรมของมนุษยชาติ
แอสตริดได้ปะทะกับราชาจอมเวทย์พริสเลย์ เม็กเวลผู้ตกลงสู่ความต่ำทรามมาเป็นเวลากว่าร้อยปี ด้วยเหตุผลที่ว่าพริสเลย์ไม่สามารถแบกรับความเป็นจริงที่เขากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปได้
อันที่จริงพริสเลย์ผู้ทรงพลังนั้นกำลังอยู่ในวัยที่เสื่อมโทรม แม้ว่าเขาจะแสดงพลังอันท่วมท้นออกมา แต่คำพูดและการกระทำของเขาก็แสดงให้เห็นว่ากำลังเร่งรีบ ซึ่งดูเหมือนว่านั่นคงจะเป็นเพราะเขาได้ทำข้อตกลงบางอย่างกับผู้กอบกู้เอาไว้
อย่างไรก็ตามเขาได้เฝ้ารอหาจังหวะอย่างสุขุมแม้ว่าจะตกลงสู่ความชั่วช้า เพื่อค่อย ๆ ใช้เวลาในการเปิดเผยตัวตนของ ‘นักวิชาการ’ และที่ตั้งของห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย
การทำสงครามกับพวกกลายพันธุ์ หมายความว่าผู้กอบกู้อยู่ในช่วงเวลาที่จิตสำนึกของเขากำลังจะตื่นขึ้น สิ่งนี้บังคับให้แอสตริดทุ่มเทความพยายามและเวลาให้กับห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย และทำให้เธอตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง
พริสเลย์จึงคว้าโอกาสนี้และสั่งให้ภราดรภาพแห่งการกอบกู้ก่อการจลาจล ซึ่งจะทำให้เขามีเหตุผลในการกลับมายังเมืองเลนสเตอร์ และบรรลุขั้นตอนสุดท้ายของแผน นั่นคือการทำลายห้วงความฝันแห่งความวุ่นวาย
ทั้งหมดก็เพื่อที่พริสเลย์จะได้ปลุกผู้กอบกู้ขึ้นมาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่ภาคีแห่งนักบุญสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติและตัดสินใจเข้ามาแทรกแซง ส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายมากขึ้น
โรเอลไม่รู้ว่าพริสเลย์จะได้อะไรจากการปลุกผู้กอบกู้ และเขาก็ไม่สนใจที่จะรู้เช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ ชายชราคนนั้นจะต้องจู่โจมอีกครั้งในไม่ช้า และแอสตริดก็ยุ่งกับมิติห้วงความฝันเกินกว่าที่จะสามารถหยุดเขาได้
พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่มาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าสิ้นหวัง
โรเอลหยิบกล่องที่เขาเก็บไว้ในเสื้อขึ้นมา ขณะที่แผนการค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ เด็กหนุ่มรู้ว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องไปพบกับใครซักคนในตอนนี้
ดังนั้นเขาหลับตาลงและดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา