บทที่ 316: คำสัญญาของแม่มด
สิ่งแรกที่โรเอลสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของชาอันเย้ายวนในอากาศ มีความรู้สึกเบาสบายอยู่ข้างใต้เขา มันสบายมากเสียจนเขาอดไม่ได้ที่จะทิ้งความระมัดระวังทั้งหมดไป
ในที่สุดเมื่อโรเอลลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่โต๊ะอันเต็มไปด้วยขนมแสนอร่อย โดยมีแม่มดผมขาวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับกาน้ำชาในมือ สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือทัศนคติที่อ่อนโยนจนน่าประหลาดใจของอาร์เทเชีย
เธอไม่ได้ชักชวนให้เขาอยู่ในตำแหน่งแปลก ๆ หรือล่อลวงใจ เขาให้ทำอะไร เธอเพียงแค่นั่งอย่างสง่างาม ต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม
“ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้พบเจ้าในค่ำคืนอันแสนวิเศษนี้ วีรบุรุษของข้า”
“ใช่ ขอบคุณมากที่พาฉันมาที่นี่”
โรเอลตอบ
เขามองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนนอกหน้าต่างพลางจิบชาอย่างสบาย ๆ
นี่เป็นการพบกันครั้งที่สามของพวกเขา โรเอลจึงสงบนิ่งกว่าที่เคย หลังจากผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขารู้ว่ายิ่งสถานการณ์ตึงเครียดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องใจเย็นมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะสามารถเอาชนะมันได้
ท่าทีอันสงบของโรเอลทำให้แม่มดผมขาวที่นั่งตรงข้ามเขาสนใจ อาร์เทเชียอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย
“ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ ข้านึกว่าเจ้าจะโวยวายใส่ข้าเสียอีก”
“หืม? อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้น ?”
“คาถาเวทย์ที่ข้ามอบให้เจ้าไร้ผลในเวลาที่เจ้าต้องการมันมากที่สุด นั่นไม่ทำให้เจ้าโกรธงั้นเหรอ ?”
“อืม…”
โรเอลหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่ฉันโกรธ แต่ความโกรธนั้นมุ่งตรงมาที่ตัวฉันเองมากกว่า”
“มุ่งตรงมาที่ตัวเจ้าเองงั้นเหรอ ? ทำไมกันล่ะ ?”
อาร์เทเชียถาม
โรเอลวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ
“เธอเป็นแม่มด เป็นศูนย์รวมของความไม่แน่นอนและความลึกลับ การเชื่อมั่นในคาถาเวทย์ที่เธอมอบให้ฉันในฐานะไพ่ตายใบสุดท้ายเป็นเรื่องที่โง่เขลา นอกจากนี้คาถานั้นยังไม่ใช่การเสริมพลัง แต่เป็นการอัญเชิญ ซึ่งหมายความว่ามันเป็นไปได้ที่เธอจะปฏิเสธการอัญเชิญ มันเป็นสิทธิ์ของเธอที่จะเลือกว่าจะรับการอัญเชิญนั้นหรือไม่”
โรเอลเงยหน้าขึ้นและมองไปยังอาร์เทเชียอย่างเฉยเมย
“นอกจากนี้ เธอก็ไม่เคยพูดซะหน่อยว่าเธออยู่ข้างฉัน”
คำพูดเหล่านั้นทำให้อาร์เทเชียเม้มปากพร้อมเผยสีหน้าที่ไม่พอใจออกมา
“วีรบุรุษของข้า เจ้ามองว่าข้าเป็นศัตรูงั้นหรือ ?”
“ไม่ ฉันไม่ได้มองเธอเป็นศัตรู ฉันแค่ไม่เชื่อใจเธอ ตอนนี้ฉันตระหนักได้แล้วว่าตัวเองมองสิ่งต่าง ๆ ง่ายเกินไป”
โรเอลกล่าวพร้อมกับถอนหายใจขณะที่เขานึกถึงคำพูดของพริสเลย์
เด็กหนุ่มคิดว่าอันตรายที่เกิดจากสถานะผู้เฝ้ามองเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง แต่ในขณะเดียวกัน ประสบการณ์ของเขาในการเอาชนะมันมาสองครั้งได้ในอดีต ก็ทำให้เกิดความลำพองขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ส่งผลให้การตัดสินใจของเขาบกพร่องโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือความเย่อหยิ่งที่พริสเลย์พูดถึง
โรเอลจะได้พบกับเทพเจ้าโบราณในมิติผู้เฝ้ามอง แต่มันก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ เลยว่าเทพเจ้าโบราณจะอยู่ฝั่งเดียวกันกับเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับราชินีแม่มดอาร์เทเชีย เขารู้มาก่อนแล้วว่าแม่มดมีระบบความคิดที่ไม่แน่นอน และเป็นไปได้ว่าเธอจะเล่นตุกติกบางอย่างในช่วงเวลาสำคัญ
“ตั้งแต่วินาทีที่ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับลิเลียนและได้รู้ว่าเธอมีสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด ฉันก็เริ่มพึ่งพาเธอ ฉันลดความระแวดระวังลง และแบ่งปันภาระของฉันให้กับเธอโดยไม่รู้ตัว จนท้ายที่สุดเธอก็เกือบจะต้องสละชีวิตเพื่อช่วยฉัน”
“ความล้มเหลวในการใช้คาถาเวทย์อัญเชิญได้ทำลายความหวังของฉัน แต่มันก็ทำให้ฉันได้ฉุกคิดถึงจุดยืนของตัวเองใหม่ และลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงอีกครั้ง ในแง่หนึ่งฉันควรจะขอบคุณเธอด้วยซ้ำ”
โรเอลกล่าว
ดวงตาสีทองของเขาที่ไม่มีการหลอกลวงใด ๆ ทำให้อาร์เทเชียตกตะลึง จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมาร่างของราชินีแม่มดเริ่มสั่นสะท้าน ก่อนที่เธอจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่า ฮ่า ! ฮ่า ๆๆๆ ! ดูเหมือนว่าเราจะเข้ากันได้ดีจริง ๆ วีรบุรุษของข้า ความปรารถนาที่จะพึ่งพาผู้อื่นเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั่ว ๆ ไปที่คนในสังคมของเจ้าต้องเผชิญ แต่ข้าคงต้องชี้แจงก่อนว่ามันไม่ใช่ความตั้งใจของข้าที่จะปล่อยให้เจ้าตกอยู่ในสภาพนั้น”
“เชื่อข้าเถอะว่าข้าไม่ใช่แม่มดที่ชั่วร้าย ถึงรูปลักษณ์ของข้าจะไม่มีผลสำหรับการตัดสินของเจ้า แต่ถ้าเจ้าอัญเชิญข้าออกมาด้วยสภาพร่างกายในตอนนั้น มันก็มีแต่จะทำให้เจ้าตาย”
อาร์เทเชียวางมือลงบนแก้มและจ้องมาที่โรเอลด้วยดวงตาที่มึนเมา
“ข้ารักเจ้ามากวีรบุรุษของข้า อย่างน้อย ๆ ก็อย่าได้สงสัยในความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า”
“รักฉันงั้นเหรอ ? นั่นคือเหตุผลที่เธอมีความสุขเวลาเห็นฉันได้ต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกใช่ไหม ?”
“โอ้ มันไม่สุภาพเลยที่เจ้าจะถามคำถามแบบนี้กับผู้หญิง มันไม่ต่างอะไรจากการให้ข้าสารภาพเหตุผลที่รักเจ้าเลยไม่ใช่เหรอ ? ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ วีรบุรุษของข้า”
อาร์เทเชียพูดอย่างเขินอาย
แต่เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา รอยยิ้มอันเบิกบานก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเธอ
“ข้าไม่ปฏิเสธว่าข้าชอบสิ่งนั้น แต่ข้าก็หวังอย่างจริงจังว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะอุปสรรคไปได้ จะให้ข้าทำอย่างไรได้ล่ะ ? เผ่าพันธุ์ของเจ้ามักจะติดหล่มอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบหรืออันตราย ความเด็ดขาดหรือความลังเลใจ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหล่านี้มักจะทรมานเจ้าและเผ่าของเจ้าราวกับคำสาป ซึ่งเจ้าก็เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรื่องนี้ วีรบุรุษของข้า”
“ในตอนที่ข้าพูดว่าเราเข้ากันได้ดี ข้าจริงจังเกี่ยวกับมันถึงก้นบึ้งของหัวใจ บุคลิกของเราเสริมซึ่งกันและกัน นี่เป็นเรื่องหายากสำหรับแม่มดเช่นข้า”
อาร์เทเชียกล่าวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
คิ้วของโรเอลเลิกขึ้น
“ดูเหมือนว่าแม่มดจะเป็นพวกที่เลวทรามจริง ๆ สินะ”
“เดี๋ยวสิ ต้องใช้คำรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ ? ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าข้าไม่ใช่แม่มดที่ชั่วร้าย”
อาร์เทเชียตอบพร้อมกับทำหน้าบึ้ง
“เธอคงรู้เหตุผลที่ฉันมาอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม ?”
โรเอลถามอย่างเคร่งขรึม
อาร์เทเชียหยุดครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากของเธอจะพุ่งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“อืม ข้าก็พอจะเดาได้อยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะยืนหยัดต่อหน้าศัตรูของเจ้าได้โดยที่ยังไปไม่ถึงระดับแก่นแท้ 3 ฉะนั้นแล้ว…”
อาร์เทเชียกัดริมฝีปากของเธออย่างแรง ทาเลือดที่ไหลออกมาด้วยลิ้นของเธอ ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนถ้วยน้ำชาเบา ๆ ทิ้งรอยเปื้อนเลือดบนริมฝีปากเอาไว้ หลังจากนั้นก็ยื่นถ้วยให้กับโรเอล
“เจ้าเพียงแค่ต้องทาบริมฝีปากแล้วดื่มมันลงไป แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าเลือดของแม่มดจะทำอะไรกับร่างกายของเจ้า ถ้าเจ้าได้รับมันมากเกินไป”
“…”
เมื่อมองไปที่อาร์เทเชียผู้ยิ้มแย้ม โรเอลก็ดื่มชาที่เหลืออีกครึ่งถ้วยอย่างใจเย็น เขาอดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าใบหน้าของแม่มดค่อย ๆ แดงขึ้น
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ?”
“อะไร ?”
“รสชาติของเลือดและจูบของข้า”
“…”
โรเอลเลือกที่จะวางถ้วยลงเงียบ ๆ และปฏิเสธที่จะตอบคำถามอันเย้ายวนนั้น ทำให้อาร์เทเชียขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้สนใจเธอ
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าสละเลือดเพื่อคนอื่นเลยนะ ไหนจะจูบทางอ้อมอีก เจ้าไม่คิดว่าอย่างน้อย ๆ ก็ควรจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยงั้นเหรอ ?”
“ฉันแค่คิดว่าเลือดและการจูบของผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่ควรจะแสดงความคิดเห็น”
“!”
คำตอบที่ไม่คาดคิดของโรเอลทำให้อาร์เทเชียเบิกตากว้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะลงม้วนผมอย่างเขินอาย
“อา พิธีกรรมยังไม่สมบูรณ์ เจ้าจะต้องมีตัวจุดประกายเพื่อเปิดใช้งานมัน”
“ตัวจุดประกาย ?”
“ถูกต้อง เจ้าจะต้องได้รับเลือดจากเด็กสาวที่มากับเจ้า เพียงไม่กี่หยดเท่านั้น ดื่มมันลงไปเพื่อเปิดใช้งานคาถา แค่จำไว้ด้วยล่ะว่ามันจะเจ็บปวดมาก”
แม้ว่ามันจะฟังดูเหมือนเป็นคำเตือนจากอาร์เทเชีย แต่โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยในเจตนาของเธอ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาที่สงสัยของเด็กหนุ่ม อาร์เทเชียก็ถอนหายใจเบา ๆ และเริ่มอธิบายเพิ่มเติม
“เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าข้าเป็นแม่มด คาถาเวทย์ของข้าไม่ได้มีไว้สำหรับการเสริมพลัง เลือดของข้าเป็นเพียงตัวกลางในการยกระดับแก่นแท้ของเจ้าให้เท่าเทียมกับเด็กสาวคนนั้นผ่านการสั่นพ้องของพลังทางสายเลือด ดังนั้นเลือดของคนอื่นจะไม่ได้ผลในกรณีนี้ ถึงมันจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เจ้าจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดระหว่างนั้นก็เถอะ”
โรเอลใช้เวลาในการไตร่ตรองคำอธิบายของอาร์เทเชีย ซึ่งเขาก็ไม่พบทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงพยักหน้า
บาดแผลบนริมฝีปากของอาร์เทเชียหายไปภายในชั่วพริบตา ทว่าเธอยังคงจ้องมองมาที่โรเอลด้วยท่าทางไม่พอใจ
“เจ้านี่มันไม่มีความเห็นอกเห็นใจเลยจริง ๆ วีรบุรุษของข้า ทำเอาข้าเริ่มรู้สึกเหมือนผู้หญิงข้างทางที่กวักมือเรียกหาเจ้าเพียงเพื่อที่จะไม่ได้อะไรตอบแทน”
“ฉันจะตอบแทนเธอแน่”
“ตอบแทนงั้นเหรอ ?”
“ใช่”
เมื่อเผชิญหน้ากับราชินีแม่มดที่กำลังงุนงง โรเอลก็มองตรงเข้าไปในดวงตาสีแดงของอาร์เทเชียและพูดคำที่เคร่งขรึมออกมาราวกับคำสาบาน
“อาร์เทเชีย ฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่”
“!”
อาร์เทเชียพูดอะไรไม่ออกต่อหน้าดวงตาสีทองของโรเอลที่กะพริบตามแสงเทียน เธอพยายามอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ท้ายที่สุดเธอจึงทำได้เพียงแค่เบือนหน้าหนีเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองของโรเอล
“… มันยังไม่จบเลยนะ มันเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ ที่เจ้าจะให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่ตอนนี้ ? ถ้าข้าหันหลังให้กับเจ้าอีกครั้งล่ะ ?”
“ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องมาอยู่กับเธอในโลกนี้หลังความตาย”
“!”
รูม่านตาของอาร์เทเชียเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำตอบนั้น เธอหันศีรษะกลับไปจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ไม่นานนักเธอก็หันกลับมามองเขาอีกครั้งด้วยแก้มที่แดงก่ำด้วยความลนลาน
“… เกลี้ยกล่อมข้าด้วยคำพูดเช่นนั้น เจ้ามันชั่วร้ายจริง ๆ วีรบุรุษของข้า ถ้าเจ้าชิงหัวใจของข้าไปได้จริง ๆ ขึ้นมาจะทำยังไงดีล่ะ ?”
“ฉันยังพูดไม่จบ ฉันไม่มีทางมอบร่างกายของรุ่นพี่ลิเลียนให้เธอแน่ ต่อให้ฉันต้องตายก็ตาม”
“… ฮึ่ม คิดไว้แล้วเชียว เจ้ารักนางมากจริง ๆ สินะ รุ่นพี่ของเจ้าน่ะ” อาร์เทเชียบ่นอย่างไม่พอใจ
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย คาถาเวทย์นั้นจะใช้ไม่ได้ผลกับใครนอกเสียจากจะเป็นนาง สิ่งที่เจ้าคิดและทำช่างขัดแย้งกันเสียจริง”
“… ใช่ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่มันเป็นปัญหาที่ฉันต้องแก้ไข และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เธอควรจะตั้งตารอไม่ใช่รึไง ?”
โรเอลยิ้มอย่างมั่นใจเพื่อตอบสนองต่อคำเตือนของอาร์เทเชีย แม่มดผมขาวประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเต็มอิ่ม
“เข้าใจแล้ว ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความคิดดี ๆ อยู่สินะ หึหึ เจ้าช่างรู้วิธีกระตุ้นความคาดหวังของข้าจริง ๆ”
อาร์เทเชียปรบมือเข้าหากันขณะที่ริมฝีปากของเธอขดตัวด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าอย่างนั้น ข้าเองก็ขอให้คำมั่นสัญญา ตราบใดที่เจ้าใช้เด็กสาวคนนั้นเป็นเครื่องบรรณาการ ข้าจะปรากฏตัวและนำเจ้าไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน”
“โอ้ ? นั่นคือคำสัญญาของแม่มดงั้นเหรอ ?”
“ใช่แล้ว มันเป็นคำสัญญาของแม่มด มันเป็นสัญญาอันน่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่ข้าก็ต้องจ่ายราคาอันสูงลิ่วถ้าข้าฝ่าฝืนมัน” อาร์เทเชียกล่าว
วิสัยทัศน์ของโรเอลค่อย ๆ เลือนรางไป เมื่อความฝันเริ่มใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายของอาร์เทเชีย
“แสดงให้ข้าเห็นสิว่าเจ้าวางแผนที่จะเอาชนะอุปสรรคนี้อย่างไร วีรบุรุษของข้า”
ด้วยคำพูดแห่งความคาดหวังที่ดังก้องอยู่ในหู และแล้วจิตสำนึกของโรเอลก็จางหายไป