บทที่ 317: สิ่งที่ฉันแสวงหา
โรเอลตื่นขึ้นมาจากความฝัน เขาประสบความสำเร็จในการทำข้อตกลงกับราชินีแม่มดผู้ลึกลับ เพื่ออำนาจในการยืนหยัดต่อสู้กับพริสเลย์ แบบที่จะไม่ต้องถูกจัดการในทันทีเหมือนครั้งก่อน เขาขยี้ตาก่อนจะมองไปยังลิเลียนที่กำลังหลับสนิท จากนั้นเสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“หืม ?”
โรเอลปล่อยมือของลิเลียนแล้วออกไปเปิดประตู ข้างนอกมีชายหนุ่มที่เขาคุ้นเคยยืนรออยู่
“คุณแอนโตนิโอ ?”
โรเอลรู้สึกประหลาดใจกับแขกที่ไม่คาดคิดนี้
ในทางกลับกัน แอนโตนิโอไม่ได้แสดงอาการคัดค้านใด ๆ ต่อคำพูดของโรเอล เขามองตรวจสอบดูโรเอลอย่างรวดเร็ว และรู้สึกทึ่งที่เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงกระปรี้กระเปร่า
แอนโตนิโอไม่คิดว่าโรเอลจะฟื้นตัวได้ไวขนาดนี้
เมื่อวานนี้โรเอลนั้นอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตายจากอาการบาดเจ็บสาหัส และแม้ว่าเขาจะอยู่ในห้องนั้นมานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่แสดงอาการอ่อนเพลียออกมาเลย ตรงกันข้ามเขากลับดูสดชื่นราวกับว่าเพิ่งดื่มยาชูกำลังบางอย่างมา
“เรียบร้อยแล้วรึยัง ?”
“หา ? อ่อ ! ครับ เรียบร้อยแล้ว”
“ไปกันเถอะ พวกเราต้องวางแผนการต่อสู้ของเรา”
แอนโตนิโอนำโรเอลไปยังห้องโถงใหญ่ที่แอสตริดพำนักอยู่
เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เธอยังคงลอยอยู่ใต้เพดานกระจกสีรุ้งในห้องโถงใหญ่ รูปร่างที่สวยงามและดวงตาที่ปิดสนิทของเธอให้ความรู้สึกสงบสุขเหมือนนักบุญ ชวนให้นึกถึงความฝันอันเงียบสงบ
“นี่คือ…”
“เรากำลังยืนอยู่ที่แกนหลักของเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน ตอนนี้ท่านได้กลับสู่มิติห้วงความฝันเพื่อพักผ่อน ร่างกายที่เจ้าเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่ร่างจำแลง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีคุณค่ามหาศาล ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นจะต้องปกป้องและรักษามันไว้”
แอนโตนิโออธิบาย
เขาจ้องมองไปยังร่างที่ลอยอยู่เหนือหัวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวของโรเอล จากนั้นก็ถามออกมา
“คุณแอนโตนิโอ ดูเหมือนคุณจะมีความรู้สึกดี ๆ กับบรรพบุรุษของผม พวกคุณรู้จักกันมานานแล้วเหรอครับ ?”
“อืมม ข้าเคยเป็นนักเรียนที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และท่านแอสตริดก็เป็นอาจารย์ของข้า เธอเป็นคนแนะนำให้ข้าเข้าร่วมสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ พวกเราน่าจะรู้จักกันมานานกว่าทศวรรษแล้ว”
“เหตุผลที่คุณเลือกที่จะอยู่ที่เมืองเลนสเตอร์ หลังจากสำเร็จการศึกษาก็เพราะ…”
“ใช่แล้ว เพื่อปกป้องและสนับสนุน ‘นักวิชาการ’ ข้าต้องการช่วยท่านแอสตริดในภารกิจของเธอ”
อา นั่นคือเหตุผลที่เขาใช้นามแฝง ‘ผู้พิทักษ์’ งั้นเหรอ ? ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้สึกบางอย่างกับบรรพบุรุษของเราสินะ
ความรู้สึกอันลึกล้ำที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของแอนโตนิโอเป็นที่ประจักษ์แก่โรเอล ถ้าเขาจำได้ไม่ผิด แอนโตนิโอไม่เคยแต่งงานกับใครเลย แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปกว่าสี่ร้อยปีนับจากนี้
ในประวัติศาสตร์ที่โรเอลไม่ได้เข้าไปแทรกแซง แอนโตนิโอรอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ดูเหมือนว่าแอสตริดจะหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่นานหลังจากนั้น สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำก็พังทลายลง ในยุคของโรเอลจึงแทบไม่มีร่องรอยของสมัชชาหลงเหลืออยู่อีกต่อไป
เมื่อโรเอลลองคิดเกี่ยวกับมันดู เขาก็เริ่มสงสัยว่าทำไมแอนโตนิโอถึงไม่บอกอะไรกับโรเลย ระหว่างที่เขากำลังสืบสวนที่อยู่ของ ‘นักวิชาการ’ ? มีเหตุผลพิเศษบางอย่างรึเปล่า ? หรือแอนโตนิโอไม่ไว้วางใจใครอีกต่อไปหลังจากการล่มสลายของสมัชชา รวมถึงโรเองด้วย ?
น่าแปลกที่ในไม่ช้าโรเอลก็ได้รับคำตอบของเขา
“มันอาจจะน่าอึดอัดสำหรับเจ้าที่จะต้องได้ยินเรื่องนี้ แต่ข้าดีใจมากที่พวกเจ้าสองคนมาที่นี่”
“หืม ?”
“มันอาจจะดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกเจ้า แต่ท่านแอสตริดดีใจมากที่ได้พบพวกเจ้าทั้งสอง”
โรเอลเบิกตากว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของแอนโตนิโอ ซึ่งอีกฝ่ายก็หัวเราะเล็กน้อย
“พูดตามตรง ข้ามีอคติกับคนในตระกูลเจ้า ก่อนที่เจ้าจะมาถึง ในช่วงสองสามศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครแวะมาเยี่ยมท่านแอสตริดเลย แต่ดูเหมือนว่าทางพวกเจ้าเองก็มีปัญหาอยู่เหมือนกันสินะ”
แอนโตนิโอถอนหายใจเบา ๆ พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่เด็ก ๆ ทั้งสองคนถูกราชาจอมเวทย์ไล่ตาม ในทางกลับกัน โรเอลก็หวนนึกถึงสีหน้าแห่งความสุขที่บรรพบุรุษพูดคุยกับเขาก่อนหน้านี้ ทำให้หัวใจของเขารู้สึกหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ
แอสตริดสืบทอดเลือดของมนุษย์และผู้ท่องความฝัน แต่โดยรวมแล้วค่านิยมของเธอก็ยังคงเป็นมนุษย์ เธอเห็นคุณค่าของตระกูลและเครือญาติเป็นอย่างมาก สำหรับคนอย่างเธอการต้องปกป้องห้วงความฝันแห่งความวุ่นวายเพียงลำพังและไม่สามารถเอื้อมมือออกไปหาญาติของเธอได้แม้แต่คนเดียวตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้แม้แต่ลูกหลานของเธอก็ลืมไปแล้วเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเธอ…
… นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการทรมาน !
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแอนโตนิโอถึงรู้สึกเสียใจแทนแอสตริด
แต่มันก็มีข้อดีเช่นกัน
เหตุผลหลักที่แอสตริดสามารถซ่อนตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ เพราะเธอได้ตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลแอสคาร์ด ด้วยที่มีดวงตามากมายจากเงามืดที่จ้องมาตระกูลแอสคาร์ด มันจึงจะปลอดภัยกว่ามากหากแอสตริดจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับแผนของเจ้าแล้ว แต่ท่านแอสตริดไม่ต้องการให้เจ้าเสียสละแบบนั้น เราตั้งใจที่จะปะทะกับพริสเลย์ แม้ว่าเมื่อคืนนี้เจ้าจะพ่ายแพ้ แต่ความพยายามของเจ้านั้นไม่ได้สูญเปล่า ข้าคิดว่าตอนนี้พริสเลย์อยู่ในสถานะที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ที่เคยเป็นมา”
แอนโตนิโอตบไหล่โรเอลเป็นการให้กำลังใจ ซึ่งโรเอลก็ยิ้มตอบ
ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาเนื่องจากอายุที่มากขึ้น หลังจากที่ต้องเอาจริงในการต่อสู้กับโรเอลและลิเลียน อีกทั้งยังต้องปะทะกับแอสตริด ทำให้ราชาจอมเวทย์อ่อนแอลงไปมาก
ยิ่งมีพลังมากเท่าไหร่ ราคาที่ต้องจ่ายก็ยิ่งมหาศาลมากยิ่งขึ้น นี่คือกฎของโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ แม้แต่ราชาจอมเวทย์ผู้ทรงพลังเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อคืนมีการต่อสู้สองครั้ง หนึ่งคือการต่อสู้กับโรเอลและลิเลียน และอีกคนหนึ่งคือกับแอสตริด หากพิจารณาถึงความเหนื่อยของแอสตริดหลังการต่อสู้แล้ว มันก็ค่อยข้างสมเหตุสมผลที่พริสเลย์จะอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่า
แต่ถึงแม้เขาจะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ พริสเลย์ก็ไม่สามารถถอยกลับได้อีก เมื่อมีหลักฐานยืนยันแล้วว่าเขาเป็นบุคคลที่ทรยศต่อมนุษยชาติ เวลาก็จะไม่ได้อยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป เขาจำเป็นต้องยุติสิ่งต่าง ๆ โดยรวดเร็วที่สุด ดังนั้นการต่อสู้ครั้งที่สามน่าจะปะทุขึ้นในคืนนี้
โรเอลมีแผนการอยู่แล้วว่าเขาต้องการจะทำอะไร ซึ่งมันก็ต้องใช้การเตรียมตัวมากมาย เพื่อที่จะทำมันให้สำเร็จ
“คุณแอนโตนิโอ คุณสามารถติดต่อกับท่านบรรพบุรุษได้ไหม ?”
“มีอะไรที่เจ้าต้องการให้ท่านแอสตริดช่วยงั้นเหรอ ?”
“ใช่ครับ ผมต้องการตรวจสอบเรื่องนี้กับท่านบรรพบุรุษ และขอยืมพลังของเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน”
โรเอลกล่าวพร้อมกับกำหมัดแน่น
…
หลังจากที่ได้พบกับแอสตริดและเตรียมการทั้งหมดเอาไว้เรียบร้อย โรเอลก็มุ่งหน้าไปยังห้องว่างห้องหนึ่ง พร้อมหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าของเขา จากนั้นจึงจ้องมองไปยังตัวเลขที่ในระบบของเขาแสดงออกมาอย่างเงียบ ๆ
【การประเมินอย่างละเอียด : ระดับสูง (79 %)】
【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง :104 ชั่วโมง 52 นาที】
คะแนนการประเมินของโรเอลเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เนื่องจากเด็กหนุ่มรอดพ้นเงื้อมมือของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของมนุษยชาติมาได้ แม้ว่าจะทุลักทุเลก็ตาม นี่ถือเป็นการปลอบใจว่า ทุกสิ่งที่เขาทำไปไม่ได้สูญเปล่า แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าตนเองจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป
พริสเลย์คงไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกเขารอดไปได้แน่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พวกเขาสืบสายเลือดมาจากตระกูลเดียวกันกับแอสตริด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องโค่นพริสเลย์ได้สักวันแน่ ไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สิ่งต่าง ๆ กลับซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อโรเอลยังมีศัตรูอีกคน นั่นก็คืออาร์เทเชีย
ก่อนหน้านี้ ตราบใดที่โรเอลเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิต มันก็มีโอกาสที่เขาจะชนะการต่อสู้ ด้วยความช่วยเหลือจากเทพเจ้าโบราณ อย่างไรก็ตามคราวนี้ราชินีแม่มดไม่ได้ต้องการเห็นการเสียสละของเขา เธอต้องการร่างของลิเลียน
นี่ไม่ใช่สิ่งที่โรเอลจะยอมมอบให้กับเธอได้
ถ้าอยากจะปกป้องลิเลียน เขาก็ไม่ควรยอมให้อาร์เทเชียยึดร่างของเธอไป มิฉะนั้นมันก็จะไม่ต่างอะไรจากการหนีจากจุดจบที่เลวร้ายที่สุด ไปสู่อีกจุดจบที่เลวร้ายยิ่งกว่า ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดไร้ความหมาย
การเอาชนะราชาจอมเวทย์และทำลายแผนการของราชินีแม่มด นั่นคือเป้าหมายที่โรเอลต้องทำให้สำเร็จ
การต้องรับมือกับตัวแทนของเผ่าพันธุ์ถึงสองคนพร้อมกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินจินตนาการ แต่คือเส้นทางที่โรเอลไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
【กริ๊ง !】
【กระบวนการเริ่มต้น ‘การสร้างพลังสายเลือดใหม่’ สำเร็จ】
【ตรวจสอบการกลายพันธุ์ของศิลามงกุฏ ดำเนินการประเมินระดับเบื้องต้น】
【การประเมินระบบ: สามารถหลอมรวมได้】
【คำเตือน!】
【คำเตือน!】
【คำเตือน!】
【ผู้ใช้ยังไปไม่ถึงระดับการดูดซึมที่ระบบแนะนำ การดูดซึม ศิลาแห่งมงกุฎที่กลายพันธุ์นั้นมีความเสี่ยง เปิดใช้งานระบบสนับสนุนการดูดซึม】
【ราคาโดยประมาณของระบบสนับสนุนการดูดซึม: 400,000 เหรียญทอง】
【ผู้ใช้มียอดคงเหลือไม่เพียงพอในขณะนี้ เปิดใช้งานระบบเงินกู้ 】
【เนื่องจากนี่ไม่ใช่การใช้ระบบเงินกู้เป็นครั้งแรก อัตราดอกเบี้ย 10% ต่อเดือนจะถูกเรียกเก็บจากเงินต้น】
【ผู้ใช้ต้องการยืม 400,000 เหรียญในอัตราดอกเบี้ย 10% ต่อเดือน】
【ตกลง / ไม่】
400,000… แพงชะมัด อย่างไรก็ตามตราบใดที่เราสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ กับรุ่นพี่ได้ เงินจำนวนนั้นมันก็แค่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ …
“ตกลง”
ด้วยการยืนยันของโรเอล สายลมอันขุ่นมัวก็เริ่มรั่วไหลออกมาจากอัญมณี ก่อนจะใช้เวลาเพียงครู่เดียวที่มันจะกลายเป็นพายุทำลายล้างวนรอบตัวเขา