บทที่ 318: โล่ของผู้พิทักษ์
พระอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงสีส้มอันน่าหดหู่ลงมาเหนือซากปรักหักพังของเมืองเลนสเตอร์ ราวกับพยากรณ์จุดจบของอาณาจักรแห่งการศึกษาที่กำลังใกล้เข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นการอพยพประชาชน สงครามหรือการสังหารหมู่ เลนสเตอร์ก็ได้กลายเป็นเมืองที่รกร้างไปแล้ว ภาคีแห่งนักบุญสาขาเลนสเตอร์ถูกกำจัดทิ้งไปในฐานะของตัวหมาก เช่นเดียวกับที่ผู้บริหารได้วางแผนเอาไว้ แต่กลุ่มภราดรภาพแห่งการกอบกู้เองก็ได้รับความเสียหายอย่างมากเช่นกัน
ศพกองเกลื่อนไปทั่วถนน กลิ่นเลือดและซากศพที่เน่าเปื่อยโชยไปทั่ว ท้าทายขีดจำกัดความอดทนของระบบรับรู้กลิ่นของผู้คนที่ยังเหลือรอด
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีผู้รอดชีวิตซึ่งโชคดีที่สามารถอดทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง แต่บุคคลที่แข็งแกร่งเหล่านั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวต่อดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
สายลมยามค่ำคืนปกคลุมเมืองด้วยหมอกสีเลือดอันน่าขนลุก เงาเริ่มสั่นคลอนข้างในอาคารที่เหลืออยู่รอบ ๆ ทหารชุดเกราะดำจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากมุมที่มืดมิดที่สุดของเมือง เคลื่อนทัพภายใต้การนำของร่างในชุดคลุมสีดำ
เลนสเตอร์เป็นเมืองที่จมอยู่กับความสิ้นหวัง แต่ไม่ใช่ความหวังทั้งหมดจะสูญสิ้นไป
บนกำแพงของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า มีทหารและนักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนยืนอยู่ ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวไปพร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้าน มันยากที่พวกเขาจะไม่รู้ถึงความกลัว เมื่อพวกเขาตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดของโลกภายนอก ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงยืนหยัดอย่างกล้าหาญ
ภายในสถานศึกษาด้านหลังพวกเขา อาจารย์ที่เหลืออยู่ไม่กี่คนกำลังอพยพประชาชนไปยังป่าหมอกด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณนำทาง ในหมู่พวกเขามีทั้งผู้หญิงและเด็กผู้ไร้เดียงสา ซึ่งหลายคนต่างก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา
แทนที่จะหลบหนีด้วยความระส่ำระสาย อาจารย์และนักเรียนเหล่านี้ได้แสดงแผ่นหลังอันสง่างามของพวกเขาให้คนรุ่นหลัง และปกป้องอนาคตของมนุษยชาติ
การปกป้องและการเสียสละ ความสิ้นหวังและความหวัง สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นหลักของยุคนี้ มีนักรบเพียงไม่กี่คนที่กล้าจะก้าวไปสู่ความตายได้ด้วยความกล้า และเผชิญหน้ากับความกลัวของพวกเขา
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่นี่ ที่พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง
ภายใต้ดวงอาทิตย์ยามพลบค่ำ แอนโตนิโอจ้องไปยังห้องโถงใหญ่ที่แอสตริดอาศัยอยู่ ขณะที่อารมณ์ต่าง ๆ วาบผ่านดวงตาของเขา ความรู้สึกมากมายที่เขาเก็บสะสมไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจ
ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดลงในตอนกลางคืน ศัตรูเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก้าวออกมาจากเงามืดของเมืองและเดินเตร่ไปตามท้องถนน ท่ามกลางพวกเขา มีชายชราถือตะเกียงสีเขียวอันน่าสยดสยองปรากฏตัวขึ้นในระยะไกล
พริสเลย์แต่งกายด้วยชุดสีดำตามปกติ รูปร่างผอมบางของเขาเหมือนจะหลอมรวมเข้ากับความมืด ต่างจากก่อนหน้านี้ ราชาจอมเวทย์ท่ามกลางสัตว์ประหลาดมีบรรยากาศอันน่ากลัว ตะเกียงสีเขียวที่เขาถืออยู่ฉายแสงอันน่าขนลุกส่องมายังใบหน้าและดวงตาของเขา มันไร้ซึ่งความอบอุ่นโดยสิ้นเชิง เป็นรูปลักษณ์ที่เย็นชาโดยแท้จริง
แม้แต่คนที่โง่เขลาที่สุดก็ยังรู้ได้ถึงการทรยศของพริสเลย์จากสภาพในปัจจุบันของเขา แต่ชายชราก็ไม่ได้สนใจ คนที่ใกล้ถึงแก่กรรมเช่นเขาจะต้องใส่ใจอะไรอีก ?
เปลวเพลิงสีเขียวซีดในตะเกียงสั่นไหวไปพร้อมกับสายลมยามค่ำคืน ปล่อยหมอกยาวเป็นสายออกมา เงาเริ่มปรากฏขึ้นจากหมอกเหล่านั้นทุก ๆ วินาทีราวกับว่ามันมาจากอีกมิติหนึ่ง
รัศมีที่ปล่อยออกมาจากตะเกียงชี้นำทหารชุดเกราะดำที่กระจัดกระจายกันให้มาบรรจบรอบ ๆ พริสเลย์
จากมุมมองของข้างบนกำแพงสถานศึกษา พริสเลย์ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลแห่งความมืดที่ดิ้นไปมา เสียงสวดลอยอยู่ในอากาศถูกส่งไปที่หูของทหารยามที่ประจำการอยู่บนกำแพง ทำให้พวกเขาขมวดคิ้วด้วยความประหม่า
ตอนนั้นเองที่ชายชราท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดได้ยกตะเกียงของเขาขึ้นมาเบา ๆ และแล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น
ไม่มีธงโบกสะบัดหรือเสียงแตรสงครามใด ๆ ทะเลแห่งความมืดพุ่งเข้าหากำแพงสถาบันการศึกษาภายใต้การชี้นำของตะเกียง และทำให้เหล่าทหารยามตอบโต้การรุกรานของพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“พร้อม โจมตีได้ !”
ในเสี้ยวสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง กองทหารรักษาการณ์ดึงสายธนู ยิงคมศรลงไปใส่กองทัพอสูรที่หนาแน่นเบื้องล่าง
ลูกธนูจะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อศัตรูรวมตัวกันเป็นฝูง
ลูกศรที่ยิงโดยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเจาะทะลุเกราะสีดำของสัตว์ประหลาดอย่างง่ายดาย ระเบิดหัวใจของพวกมัน ก่อนจะกระแทกเข้ากับพื้นคอนกรีตอย่างแรง ทำให้เกิดก้อนฝุ่นเล็ก ๆ ไประเบิดหัวของร่างชุดดำที่อยู่รอบ ๆ ต่อ ทำให้เลือดและสมองของพวกมันกระจายไปทั่ว
การโจมตีระลอกแรกของกองทหารรักษาการณ์ประสบความสำเร็จ และเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเขา เผยให้เห็นจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าสัตว์ประหลาด นั่นก็คือการโจมตีระยะไกล
ร่างชุดดำนั้นสามารถสร้างระเบิดพลังเวทย์เพื่อยิงสวนได้ แต่ทหารชุดเกราะดำธรรมดา ๆ ไม่มีทางโจมตีระยะไกลได้แบบเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันขาดสติปัญญา ทำให้ไม่สามารถวางกลยุทธ์ใด ๆ ได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกมันทำได้จึงมีเพียงการพุ่งเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
ในขณะที่ทหารรักษาการณ์กำลังยิงสัตว์ประหลาดด้วยลูกศรของพวกเขา เหล่านักเรียนก็ปล่อยคาถาเวทย์ด้วยจังหวะที่ประสานกัน ไฟอันโชติช่วงรวมกันเป็นพายุไฟปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่นอกเกราะพลังเวทย์ของสถาบันการศึกษา เผาสัตว์ประหลาดที่สัมผัสกับมันกลายเป็นเถ้าธุลี
แม้ว่าพวกเขาจะร่ายคาถาเวทย์ทำลายล้างออกมา แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ควรในการต่อสู้กับกองทัพสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนจะมีจำนวนไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่สัตว์ประหลาดหลายพันตัวตกอยู่ภายใต้การจู่โจมเหล่าของทหารและนักเรียน สัตว์ประหลาดระลอกต่อมาก็เข้ามาแทนที่
มันเป็นคลื่นโจมตีของสัตว์ประหลาดที่ดูหยาบ แต่ก็ได้ผลดีอย่างไม่ต้องสงสัย
ลูกศรถูกใช้จนหมดอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าของทหารและนักเรียนซีดลงในทันที เสียงหอบเหนื่อยเริ่มดังขึ้นมาเรื่อย ๆ บนกำแพงของโรงเรียน
กระนั้นเสียงบทสวดอันน่ารังเกียจเหล่านั้นกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ เหล่าสัตว์ประหลาดค่อย ๆ ปิดช่องว่างเข้ามา
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ เหล่านักรบที่เหนื่อยล้าก็ยังไม่จมสู่ความสิ้นหวัง พวกเขาเพียงแต่หันกลับไปหาผู้บังคับบัญชาอย่างคาดหวัง
แอนโตนิโอไม่ตอบสนองต่อการจ้องมองของพวกเขา แต่เลือกที่จะรอจังหวะ จนกระทั่งเมื่อเกราะของสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนพร้อมกับเสียงบทสวด ในที่สุดเขาก็ออกคำสั่ง
“เปิดใช้งานดาบกางเขนแห่งแสง จัดการให้ครอบคลุมพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ยิงพลุขึ้นไป”
“ยิงพลุขึ้นไป !”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของทหาร เปลวพลังเวทย์พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ห่อหุ้มเลนสเตอร์ด้วยแสงที่ทำให้ตาพร่ามัวราวกับเป็นเวลากลางวัน
ขณะเดียวกันกลไกการป้องกันของสถาบันการศึกษาก็เริ่มทำงาน หินหลากสีที่ฝังอยู่ในกำแพงเริ่มส่องแสงเจิดจ้าภายใต้กระแสพลังเวทย์ที่ไหลเข้ามา ก่อตัวเป็นไม้กางเขนอันสวยงาม
“ยิงได้ !”
ดาบกางเขนแสงกว่าร้อยเล่มถูกปล่อยออกมาพร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนทหารบนกำแพงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องจับกันไว้เพื่อไม่ให้ล้มลง
ไม้กางเขนพุ่งออกจากกำแพงอย่างรวดเร็วด้วยแรงส่งอันน่าสะพรึงกลัว ฉีกผ่านทะเลแห่งความมืดและสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนที่พวกมันจะสามารถตอบสนองต่อการโจมตีได้ เลือดสีขุ่นกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ทิ้งรอยไว้ในสนามรบอันกว้างใหญ่ ราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายขนาดมหึมา
ภายใต้อำนาจอันล้นหลามของดาบกางเขนแห่งแสง กำแพงของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าดูเหมือนจะสูงขึ้นอีกชั้น ซากศพที่ถูกทำลายกระเด็นไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง บรรเทาทุกข์ให้แก่ฝั่งมนุษย์ทุกคนที่กำลังปกป้องสถาบันการศึกษา
“โอ้วว !”
ความหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดจากดาบกางเขนแห่งแสง ทำให้เหล่าทหารยามกู่ร้องอย่างร่าเริงสนุกสนาน ส่วนฝั่งนักเรียนเองก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามใบหน้าของแอนโตนิโอนั้นกลับเคร่งขรึม
เขารู้แล้วตั้งแต่แรกว่ากุญแจสำคัญในการชนะสงครามครั้งนี้ไม่ใช่การเอาชนะสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ชายหนุ่มจึงไม่ได้จ้องมองไปที่สนามรบ แต่เป็นชายชราผู้ถือตะเกียงสีเขียวที่อยู่ไกลออกไป แม้ว่าการต่อสู้ในปัจจุบันจะรุนแรงมากเพียงใด สงครามก็ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจริง ๆ จนกว่าพริสเลย์จะเคลื่อนไหว
ราวกับถูกคุกคามโดยความสามารถของดาบกางเขนแห่งแสง ในที่สุดพริสเลย์ก็เคลื่อนไหว เขาจ้องไปที่กำแพงของสถาบันการศึกษาด้วยดวงตาอันสงบสุข
ขณะที่แอนโตนิโอคิดว่านี่เป็นการต่อสู้เพื่อซื้อเวลา แต่ในความจริงแล้วคือทหารชุดเกราะดำเหล่านั้นเป็นเพียงตัวหมากใช้แล้วทิ้ง เป็นเพียงเครื่องมือที่สะดวกจนเขาคงจะรู้สึกเหมือนเสียเปล่าหากไม่ได้ใช้มัน พริสเลย์ไม่เคยคาดหวังอะไรจากทหารเกราะดำพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเขาก็คิดถูก
พริสเลย์ส่ายหัวด้วยความผิดหวังก่อนจะยกมือขึ้น พลังเวทย์เริ่มรวมตัวกันรอบ ๆ ตัวเขา แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าแลบ การปะทุของพลังเวทย์ที่มาจากเขานั้นรุนแรงมาก จนเหนือกว่าดาบกางเขนแห่งแสง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังต้องสั่นคลอนต่อหน้าพลังของเขา
ราชาจอมเวทย์ยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังของเขาออกมา แต่ความกดดันในสนามรบได้มาถึงจุดเดือดแล้ว ราววกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์
ประกายสายฟ้าอันเจิดจ้าเผยให้เห็นใบหน้าอันซีดเซียวของทหารและนักเรียนที่กระสับกระส่ายอยู่บนกำแพง ส่วนใบหน้าของแอนโตนิโอเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมกว่าที่เคย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของระดับแก่นแท้ 1 ซึ่งเป็นขั้นพลังสูงสุดของมวลมนุษยชาติ
เมื่อคืนวานนี้ พวกเขาทั้งสองคนต่อสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้จริง ๆ งั้นเหรอ ?
แอนโตนิโอนึกถึงเด็กสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อวานนี้ และเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแอสตริดถึงพยายามอย่างแน่วแน่ที่จะรักษาสายเลือดแอสคาร์ดเอาไว้
“ถ้านั่นคือศักยภาพที่พวกเขามี มันก็คุ้มค่าแล้วสำหรับพวกเราที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องพวกเขา”
‘ผู้พิทักษ์’ แอนโตนิโอกล่าวขณะที่เขาเริ่มปล่อยพลังเวทย์ออกมา
หลังจากการเผชิญหน้ากันครั้งก่อน แอสตริดก็ไม่สามารถออกมาจากมิติห้วงความฝันได้อีกสักพักใหญ่ ๆ ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า แอนโตนิโอถือเป็นเกราะป้องกันด่านสุดท้ายสำหรับปกป้องโรเอลและลิเลียน
แสงสีเงินจาง ๆ เริ่มกระจายเบา ๆ จากด้านบนกำแพงของสถาบันการศึกษาลงไปที่พื้นเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเกราะเวทย์แผ่นบาง ๆ ที่มีความแข็งแกร่งยิ่งว่าเกราะนับพัน
“อย่างน้อย ๆ ก็ต้องถ่วงเวลาไว้จนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ…”
ตู้ม !
คำพูดของแอนโตนิโอถูกตัดขาดจากเสียงระเบิดอันดังสนั่นของสายฟ้าที่ปะทะเข้ากับเกราะเวทย์
ขณะเดียวกัน ณ ห้องมืดในสถาบันการศึกษาด้านหลังแอนโตนิโอ ดวงตาสีทองคู่หนึ่งได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของศัตรู และเปิดออกอย่างกะทันหัน เรืองแสงแวววับราวกับเป็นสีเหลืองแห่งเวลาพลบค่ำ !!
ตอนต่อไป →