ตอนที่ 128-4 กอบกู้ชีวา กากเดนมนุษย์

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ไม่นึกว่าเขาจะได้ยิน! ยังจะได้ใจอีก…ได้อย่างไรกัน นี่ตนคืนดีกับเขาแล้วหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นที่ซึมซับฤทธิ์ยาจนหนังตาที่แดงระเรื่อเปิดขึ้นเล็กน้อย “นั่นก็เพื่อห้ามใจมู่หรงไท่” 

 

 

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของซย่าโหวซื่อถิงยังยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาเดิมทีไม่อยากปล่อยมือ จึงเอ่ยขึ้นเพียง “มีน้ำเย็นหรือไม่…”  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรีบตะโกนเรียก คนขับรถก็หยิบขวดน้ำสะอาดและยังไม่ได้เปิดออกจากกระเป๋าหนัง แล้วหันตัวนำไปให้ในม่าน 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเปิดขวด แล้วเอียงปากขวดลง เล็งไปที่ริมฝีปากสีแดงที่ขยับอ้าออกของอวิ๋นหว่านชิ่น ตั้งท่าทางให้นางราวกับเป็นทารกไร้เดียงสาก็มิปาน นางเบ้ปากเล็กน้อยพลางรับมาด้วยริมฝีปากที่ตะกละตะกลาม 

 

 

หลังจากดื่มน้ำเย็นเพียงไม่กี่อึก ฤทธิ์ของยาในร่างกายก็บรรเทาลงไปมาก อวิ๋นหว่านชิ่นก็ฟื้นตัวมีพละกำลังเล็กน้อย มีสติมากขึ้น และรู้สึกได้ถึงความเขินอายในขณะนี้ แทบจะนอนในอ้อมกอดเขา เดิมทีก็ใกล้จะแต่งงานอยู่แล้ว ที่จริงแล้วก็ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ จึงขยุกขยิกร่างกายไปมา จับเสื้อคลุมตัวใหญ่เอาไว้แน่น แล้วขยับออกอย่างเงียบเชียบ 

 

 

“หายาก ยังเขินอายอยู่อีก” ชายชาตรีที่ไหนจะไม่สังเกตเห็น 

 

 

“ข้ากลัวว่าโรคท่านจะกำเริบอีกครั้ง” อวิ๋นหว่านชิ่นโต้กลับ ทั้งสองใกล้ชิดไปมาหาสู่กันมาหลายครั้งแล้ว นางจะไม่รู้ปฏิกิริยาของร่างกายของเขาได้อย่างไร หากอยู่ใกล้เกินไป กระดูกที่ประหนึ่งแมลงมดกัด อาจจะมีความอันตรายต่อการกำเริบของโรคได้ 

 

 

พอพูดจบ แรงก็หมดสิ้นอีกครั้ง แล้วร่างของนางไถลอีกครา ซย่าโหวซื่อถิงงอแขน โอบนางไว้แน่นมั่งคง เป็นอีกครั้งที่ให้มือนางขาวดุจหยก คล้องคอตนเอง แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ “ยังโกรธข้าอยู่หรือ” 

 

 

เมื่อได้รับลมหายใจร้อนที่บุรุษพ่นออกมา ภายในร่างกายนางก็รู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง ช่างน่าเกลียดเสียจริง กลัวแค่ว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้โดยเจตนา แต่นางกลับทำได้เพียงซบลงในอ้อมกอดเขา ไม่ง่ายนักที่จะสงบจิตลง “องค์ชายสามทำเพื่อจะดึงตัวญาติผู้พี่ข้า จึงไปหาฝ่าบาทเพื่อขอแต่งงานหรือ”  

 

 

“ข้าบอกว่าไม่ใช่ เจ้าจะเชื่อหรือเปล่า” เสียงชายหนุ่มที่อ่อนโยนจนคล้ายคลึงความเย็นชา ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยากจะอธิบาย “หากข้าพูดว่า หลังจากพบเจ้าครั้งแรกที่เรือนตะวันตกเฉียงเหนือในจวนโหว เจ้าและญาติผู้พี่ของเจ้า มิได้เกี่ยวข้องกันเลย เป็นคนละเรื่อง เจ้าจะเชื่อหรือไม่”  

 

 

เขาไม่ใช่คนชอบอธิบาย ทว่าก็ไม่ใช่คนจะยอมโดนปรักปรำโดยไม่มีสาเหตุเช่นกัน จึงยินยอมจะแก้ไม่ให้คนเข้าใจผิดต่อไป 

 

 

โดยเฉพาะกับนาง  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้พูดอะไร 

 

 

เขาได้รับความเงียบจากนาง จึงพอใจยิ่ง พลันกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่ห่อหุ้มนางเข้ามาอีก ไม่มีคำถามอื่นใด เพียงก้มหน้าลง หายใจอย่างหนักหน่วง พ่นใส่นาง ในตอนที่รู้สึกว่านางกำลังหน้าแดงตัวสั่นระริกยากจะควบคุมความรู้สึกตนเอง จึงยิ้มยียวนอีกครั้ง “ไฉนจึงแนบชิดข้าขนาดนี้เล่า…เอ๋ ที่เอวข้าไยถึงมีมือโอบไว้ด้วยเล่า”  

 

 

ไอ้หมอนี่ เจตนาชัดๆ! อวิ๋นหว่านชิ่นถลึงจ้องมองที่เขา  

 

 

แต่เพื่อที่จะสะสมแรง และหลีกเลี่ยงฤทธิ์ของยากำเริบอีกรอบ จึงสงบปากสงบคำตลอดทาง 

 

 

ฝีเท้าม้าวิ่งโฉบเฉี่ยวว่องไวใช้ทางลัด ไม่นานนักก็มาถึงหมู่บ้านที่รกร้างไร้ผู้คนที่อวิ๋นหว่านชิ่นเคยมา 

 

 

เนื่องจากเข้าสู่ฤดูเหมันต์แล้ว ชาวบ้านที่ทำพืชไร่เกษตรในที่นาและซักผ้าตกปลาที่ริมแม่น้ำก็น้อยลงไปเยอะทีเดียว ทั้งหมู่บ้านจึงเงียบสงบกว่าครั้งก่อนที่มาหลายโข 

 

 

รถม้าหยุดลงที่ทางเข้าสวนผลซิ่ง เหยากวงเหย้าไม่ได้มาในวันนี้ อวี๋ซื่อที่ต้อนรับอยู่ที่ประตูทางเข้า พอเห็นฉินอ๋องก็ไม่แสดงอาการตกใจใดๆ แต่พอเห็นฉินอ๋องอุ้มคุณหนูอวิ๋นลงจากรถกลับตื่นตะลึง “องค์ชายสาม คุณหนูอวิ๋นเป็นอะไรไป…”  

 

 

ซือเหยาอันและหรุ่ยจือนำทหารขี่ม้าตามหลังมา  

 

 

หรุ่ยจือเคยมอบงานให้กับอวี๋ซื่อครั้งหนึ่ง อวี๋ซื่อก็รีบมาเบื้องหน้าของฉินอ๋อง “เข้ามาเร็วเจ้าค่ะ เข้าไปพักที่ห้องตรวจก่อน ไม่เป็นไร ข้าจะไปต้มแกงสมุนไพรที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งก่อนนะเจ้าคะ”  

 

 

แม้ว่าอวี๋ซื่อจะมิใช่หมอ ทว่าก็สามารถช่วยทำงานข้างเคียงเหยากวงเหย้าได้ รับมือไข้ทั่วไปได้ไม่มีปัญหา โชคดีที่ไม่ว่าจะสมุนไพรอะไรสวนผลซิ่งแห่งนี้ก็ล้วนมีครบครัน แล้วรีบไปชั่งตวงยามาลงครัวปรุงยา  

 

 

ในห้องตรวจ ซย่าโหวซื่อถิงนำอวิ๋นหว่านชิ่นมานอนพักบนเตียงเตี้ยยาวของผู้ป่วยเตียงหนึ่ง แล้วสั่งให้หรุ่ยจือไปในตัวหมู่บ้านหาเสื้อผ้าอาภรณ์ดีๆ สักชุดมา  

 

 

หรุ่ยจือหอบเสื้อผ้ากลับมา แล้วเชิญให้ฉินอ๋องออกไปก่อน เพื่อจะช่วยอวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนเสื้อ แล้วจะตะโกนเรียกฉินอ๋องให้เข้ามาใหม่  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางแต่งชุดเรียบร้อยดีแล้ว จึงโบกมือ ให้หรุ่ยจือออกไป  

 

 

หรุ่ยจือเห็นนายท่านยุ่งมาแทบครึ่งค่อนวัน แม้นว่าจะมีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยม ทว่าสีหน้าก็ยังดูแย่อยู่เล็กน้อย กลัวโรคจะกำเริบอีกครา จึงก้าวไปข้างหน้า “องค์ชายสาม มิสู้ให้บ่าวดูแลคุณหนูอวิ๋น แล้วท่านก็ไปพักผ่อนเสียก่อน เลี่ยงไม่ให้…”  

 

 

“ไม่ต้อง เจ้าและเหยาอันไปดูแลที่ด้านนอกเถอะ” 

 

 

หรุ่ยจือที่กำลังจะโน้มน้าวอีกครั้ง ซือเหยาอันก็ดึงนางไว้ แล้วใช้สายตา ลากออกไป 

 

 

ทั้งสองเดินออกไปข้างนอก หรุ่ยจือสะบัดแขนเสื้อให้หลุด แล้วเขม้นมองซือเหยาอัน “เจ้าจะลากข้ามาทำไม เจ้าก็รู้ว่าสองสามวันนี้เป็นช่วงที่โรคเก่าองค์ชายสามกำเริบ ช่วงเช้าวันนี้ยังใช้โอสถอสรพิษอีก ขยับตัวไปมาขนาดนี้ หากโรคกำเริบอีกจะให้ทำเช่นไรกันเล่า!”  

 

 

ซือเหยาอันมองหรุ่ยจือ แล้วกอดอก “เช่นนั้นแล้วเจ้าว่าจะทำอย่างไรดีละ รีบพาองค์ชายสามออกไปรึ ไม่ใช่คนตาบอดก็ดูออกทั้งนั้น ตอนนี้องค์ชายสามเครียดอย่างกับอะไร จะอยู่ห่างคุณหนูอวิ๋นแม้ครึ่งก้าวได้อย่างไรกัน เจ้าอยู่กับองค์ชายสามมาก็ใช่จะแค่หนึ่งปีสองปี ตอนนี้องค์ชายสามคิดอะไร เจ้าจะมองไม่ออกหรือ”  

 

 

ที่ปีกจมูกของหรุ่ยจือบานเข้าบานออก “ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว!” แล้วหันศีรษะก่อนจะออกไป  

 

 

ซือเหยาอันมองด้านหลังของหรุ่ยจือ แล้วส่ายศีรษะไปมา สาวใช้ผู้นี้ นับวันนิสัยยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ  

 

 

ภายในห้อง อวี๋ซื่อเข้ามานำแกงสมุนไพรที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมาส่ง เดิมทีคิดว่าจะป้อนยาและถอดเสื้อผ้าให้อวิ๋นหว่านชิ่น กลับไม่นึกว่าฉินอ๋องจะยกมือทั้งสอง ดื้อดึงชิงแย่งไป แล้วป้อนยาด้วยตนเอง  

 

 

อวี๋ซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาเบิกโพลงเล็กน้อย พร้อมกับยิ้มแก้มปริ เห็นเพียงฉินอ๋องป้อนแกงสมุนไพรทีละช้อน คอยดูแลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  

 

 

จนกระทั่งเห็นก้นชามแกงที่เหลือเพียงกากยาเท่านั้น ซย่าโหวซื่อถิงจึงนำช้อนและชามวางไว้ด้านข้าง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสองสามผืนที่อวี๋ซื่อได้วางเอาไว้ มาเช็ดปากอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างระมัดระวัง  

 

 

ท้ายที่สุดแล้วอวี๋ซื่อก็อดไม่ได้ จนส่งเสียงหัวเราะออกมา แล้วพยายามปกปิดรอยยิ้มไว้ แม้ว่าจะปิดปากได้ทัน แต่รอยยิ้มเส้นบางก็ยังโผล่ออกมาอยู่ดี ทำเอาใบหน้าอันหล่อเหลาของซย่าโหวซื่อถิงกึ่งไม่พอใจกึ่งเขินอาย 

 

 

แม้ว่าอวี๋ซื่อจะซาบซึ้งที่ฉินอ๋องมีบุญคุณช่วยชีวิตเอาไว้ แต่ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าว่า “สองวันก่อนเหยาย่วนพั่นปลีกตัวมาหา ข้าก็ได้รู้ว่าฉินอ๋องจะแต่งกับคุณหนูอวิ๋นแล้ว ดูมาวันนี้ ช่างรักใคร่กันดียิ่ง พอมองเช่นนี้ รอหลังแต่งงานจะทำเช่นไรนะ” 

 

 

สันจมูกโด่งของซย่าโหวซื่อถิงก็ถูกแต่งเติมด้วยสีแดงระเรื่อ ยิ่งเสริมเค้าโครงเดิมขององคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าอันวิจิตรประณีตดั่งสตรีในแสงยามวสันตฤดูให้เด่นขึ้น แต่กลับมีแววตาดุดัน อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่มีความเขินอายใดๆ ดื่มแกงสมุนไพรไป ร่างกายก็สดชื่นมากขึ้น จึงลุกขึ้นนั่ง แย้มยิ้มว่า “แม่อวี๋ ไม่กี่วันมานี้องค์ชายสามอาการบาดเจ็บกำเริบอีกครั้ง วันนี้ออกจวนโดยฉับพลัน เกรงว่าจะมีปัญหา ไม่ทราบว่าสวนผลซิ่งนี่มียาประจำตัวขององค์ชายสามหรือไม่ แม่อวี๋โปรดไปต้มมาสักถ้วย ให้องค์ชายสามได้ยับยั้งอาการเอาไว้”