เอ๋? ไม่กี่วันนี้องค์ชายสามล้มป่วยหรือ อวี๋ซื่อประหลาดใจ จึงรีบพูด “ได้ๆ ข้าจะไปจัดการให้เอง!” สวนผลซิ่งนี่ก็เป็นแนวหลังใหญ่ที่พักฟื้นและที่เพาะปลูกสมุนไพรรักษาลับๆ ของฉินอ๋อง ยาทุกเดือนที่ส่งให้จวนฉินอ๋องล้วนมาจากที่นี่ ไฉนจะไม่มียาเตรียมเอาไว้เล่า
ซว่าโหวซือถิงรู้ว่านางน่าจะได้ยินความคิดเห็นของหรุ่ยจือก่อนหน้า เลยเดาออกได้ จึงเอ่ยเสียงต่ำอย่างฉับพลัน “ข้าไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรก็ต้องดื่ม” อวิ๋นหว่านชิ่นให้สัญญาณอวี๋ซื่อให้ไปก่อน แล้วหันศีรษะไปอีกครั้งพร้อมกับกล่าวอย่างมีเหตุผล “องค์ชายสามไม่กลัวตายก็ไม่เป็นไร ทว่าข้าก็ไม่อยากจะเป็นหม้าย”
แววตาส่วนลึกของซย่าโหวซื่อถิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แช่งเรารึ” แต่ไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจจนแทบหลอมละลาย นางไม่โทษตนแล้ว!
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยแผ่วเบา “ข้าไหนเลยจะกล้าแช่งองค์ชายสาม กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกจากหมู่บ้านนี้รึ ภายในสวนผลซิ่งก็เป็นอวี๋ซื่อคนเดียวที่คอยให้ชาให้น้ำ ซึ่งก็มาจากจวนจิ่งหยางอ๋อง ทั่วร่างประดับประดาด้วยห่วงหยกนี่”
ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่านางสนใจหมู่บ้านแห่งนี้ ครั้งนั้นน้องแปดและเหยากวงเหย้าพานางมาที่นี่ นางก็แน่ชัดว่าชาวบ้านภายในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนเป็นคนอย่างไร ก็ไม่คิดที่จะปิดบัง “สถานะของอวี๋ซื่อ แท้จริงแล้วก็มิใช่คนธรรมดาทั่วไป”
หัวใจอวิ๋นหว่านชิ่นโลดเต้น คาดเดาเล็กน้อย เพียงได้ยินที่เขาถาม “แต่เจ้าก็รู้จักนายท่านจวนจิ่งหยางอ๋องนี่ เป็นคนอย่างไรรึ”
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยๆ ตอบว่า “จิ่งหยางอ๋องเป็นลูกคนโตพระอนุชาที่สองนามว่าซ่งอ๋องขององค์ฮ่องเต้หนิงซี และก็เป็นลูกคนเดียว ได้ข่าวมาว่าการตายของซ่งอ๋องก็นับว่าเป็นบุคคลในระดับตำนานเช่นกัน เป็นองค์ชายที่สง่าผ่าเผย ผัวเดียวเมียเดียว แม้กระทั่งนางสนมหรืออนุภรรยาคนเดียวก็ไม่มี มีเพียงพระชายาองค์เดียว ซ่งอ๋องพระชายารักใคร่กันดี จิ่งหยางอ๋องผู้นี้เป็นลูกชายเพียงหนึ่งเดียวของสองคนนี้ สามคนพ่อแม่ลูก ปรองดองสุขสันต์ ยามหนุ่มก็ได้ตำแหน่งรัชทายาทต่อ ช่วงอายุสิบแปดปีที่ดำรงตำแหน่งจวิ้นอ๋องดันถูกโจมตี จึงพึ่งพาครอบครัวตัวเอง ช่างคล้ายคลึงกับเสด็จพ่อของเขา ที่กล้าหาญแต่กำเนิด เกลียดชังความชั่วประหนึ่งเป็นศัตรู ด้านความดีความชอบทางทหารแม้กระทั่งราบคาบปราศจากข้าศึก ทั้งยังรับองครักษ์ส่วนตัวไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนนายที่ซ่งอ๋องทิ้งไว้ให้ ทุกพื้นที่ต่างก็มีผู้สนับสนุนอยู่ทั่วประเทศ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพระญาติที่ปรีชาสามารถอันดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งฝ่าบาทให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ข้าได้ยินมาว่า ที่ราชสำนักมีคำกล่าวที่ว่า ‘ฝ่ายบุ๋นมีตระกูลอวี้ ฝ่ายบู๊มีจิ่งหยาง’ จวนจิ่งหยางอ๋องย่อมคึกคักดุจไฟ ครอบครัวที่ฟูเฟื่อง ขุนนางหรือปัญญาชนที่เลี้ยงไว้ปรึกษาคิดอยากประจบสอพลอจิ่งหยางผู้นั่นมีไม่น้อยเลย ปัจจุบันนี้จิ่งหยางอ๋องมีทั้งลูกชายทั้งลูกสาว ได้รับความสนใจจากเบื้องบน คนเบื้องล่างก็ประจบประแจง มีเงินมีอำนาจ คงจะเป็นผู้เพรียบพร้อมจิตใจฮึกเหิม ในโลกนี้ คงไม่มีใครทำได้เช่นเขาแล้ว” พอกล่าวจบ ก็ยั่วเย้าขึ้นอีกครา “พอพูดขึ้นมา จวิ้นอ๋องผู้นี้ กลับเป็นองค์ชายมากกว่าท่านเสียอีก นอกจากนี้ยังทำงานเก่งอีกด้วยนะ”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่สนใจวาจาที่สัพยอกตนของนาง “ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด เพียงนิดเดียว จิ่งหยางอ๋องก็มิใช่คนสมบูรณ์แบบ มีเรื่องที่เก็บไว้ใจ ก่อกวนมาหลายปี พะวงใจอยู่เสมอมา”
“เอ๋”
“ซ่งอ๋องและฮูหยินที่รักใคร่ต่อกันนั้น กลับไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ซ่งอ๋องจากลาพระชายาซ่งอ๋องไปเสียก่อน ก่อนจะสิ้นลมก็ได้กำชับให้ลูกเลี้ยงดูพระชายาให้ดี อย่าให้พระชายาไม่สบายใจ มิเช่นนั้นตนเองที่อยู่ยมโลกจะตายตาไม่หลับ เดิมทีจิ่งหยางอ๋องก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับท่านแม่พระชายาซ่งอ๋อง กตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง กอปรสิ่งที่ท่านพ่อกำชับไว้ บัดนี้ก็ได้ทำตามคำสาบาน หลังจากซ่งอ๋องจากโลกนี้ไป พระชายาซ่งอ๋องก็ตรอมตรม ร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน ส่วนจิ่งหยางอ๋องก็เจ็บปวดใจเรื่องมารดา และไม่เคยลืมเลือนคำมั่นสัญญาต่อบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วเช่นกัน จึงพาพระชายามาที่จวนจวิ้นอ๋อง คนเป็นลูกก็คอยปรนนิบัติดูแล สองแม่ลูกก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จิตใจพระชายาจึงค่อยๆ ดีขึ้น ทว่าผ่านไปไม่กี่ปี เยี่ยจิงเกิดการระบาดแพร่เชื้อติดต่อกันเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งโรคระบาดครั้งใหญ่ได้ถูกแพร่ระบาดไปถึงชาวบ้านจำนวนนับไม่ถ้วน…”
พอพูดถึงจุดนี้ แววตาซย่าโหวซื่อถิงก็มืดหม่นลงเล็กน้อย จึงกล่าวต่อว่า “โชคไม่ดีที่พระชายาติดโรคไปด้วย เนื่องจากโรคระบาดนี้ยังไม่มียารักษา โรคระบาดรุนแรงมาก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดในราชสำนัก สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนในเมืองหลวง จึงบีบบังคับให้พระชายาและคนป่วยอื่นๆ ที่ติดโรคระบาดเหมือนกัน แยกตัวไปอยู่ชานเมือง ปล่อยตามยถากรรม แล้วแต่งตั้งจิ่งหยางอ๋องให้มีอำนาจและอิทธิพลมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ใหญ่พอที่จะขัดคำสั่งห้ามหรือความประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ จึงทำได้เพียงมองดูมารดาผู้ให้กำเนิดโดนขุนนางลากออกจากจวนไปที่ชานเมือง สุดท้ายก็ไปรับกลับมา ทว่ากลับกลายเป็นศพปนกับกระดูกคนป่วยคนอื่นที่เผาพร้อมกันจนแยกไม่ออก เลยหมดสติไประยะหนึ่ง ล้มป่วยจนหนึ่งเดือนจึงจะลุกจากเตียงได้ ตั้งแต่ตอนนั้นมา พอจิ่งหยางอ๋องกล่าวถึงหรือได้ยินพระชายาซ่งอ๋อง ไม่ว่าจะสถานการณ์อะไร คนที่แกร่งกล้าดุจเหล็กก็สามารถร้องไห้ได้ทั้งนั้น เอาแต่ขอโทษต่อเสด็จพ่อ ขอโทษต่อพระชายาซ่งอ๋อง ที่รักษาสัญญาไว้ไม่ได้ ไร้ซึ่งความกตัญญูรู้คุณ ไม่เพียงแต่ไม่ดูแลเสด็จแม่ให้ดี ยังทำให้เสด็จแม่ตายอย่างอนาถเช่นนี้อีก จนเวลาล่วงเลยไป กลายเป็นโรคหัวใจเข้า เจ้าว่า คนเช่นนี้ จะนับว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบได้อย่างไรกัน ต่อให้มีลาภยศอันรุ่งโรจน์ แต่ในใจก็มีรอยแผลเป็นที่ยากจะพรรณนาได้อยู่เสมอมา”
ที่จริงแล้วอวี๋ซื่อก็คือพระชายาของซ่งอ๋องนี่เอง เป็นพี่สะใภ้ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ซึ่งมารดาผู้ให้กำเนิดของจิ่งหยางอ๋องมีอำนาจทางการทหารครึ่งหนึ่งของต้าเซวียน
อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจ ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง แต่ก็ถามขึ้นว่า “เช่นนั้นองค์ชายสามเล่า”
คิ้วหนาที่ราวกับภูผาก็มิปานของชายหนุ่มกระตุกขึ้น
“…องค์ชายสามไม่ใช้ยาจากในวัง ไม่ต้องการหมอหลวงจากวัง กลับสร้างสวนผลซิ่งเป็นการส่วนตัว เพาะปลูกสมุนไพรล้างพิษแก่ตัวเอง แล้วให้เหยากวงเหย้าพัฒนายาสำหรับตนคนเดียว ในใจก็มีเรื่องที่ยากจะอธิบายเช่นเดียวกันใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ คนที่ทำร้ายท่านในปีนั้นคงเป็นคนในวังนะสิ ต้องเป็นผู้มีอำนาจแน่ๆ องค์ชายสามในตอนนี้ยังป้องกันตัวจากคนคนนั้นใช่หรือไม่ ดังนั้นจึง…”
พูดไม่ทันจบ มืออันบอบบางก็ถูกเขาจับไว้แน่น อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขา ก็เห็นเพียงมุมปากของฉินอ๋องที่กำลังแย้มยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน “พระชายายอดรักแสนเจ้าเล่ห์ผู้นี้ เมื่อวานซืนยังโกรธอยู่เลย พอมาวันนี้เป็นห่วงเป็นใยข้าขนาดนี้เลยรึ”
เสียงตีมือดัง เพี๊ยะ อวิ๋นหว่านชิ่นบุ้ยปาก “แค่ถามดูเท่านั้น ชายายอดรักอันใดกัน” แต่ก็เดาออกได้เสมือนหนึ่งว่าเขากำลังเลี่ยงอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ยอมพูดเสียที ก็ยิ่งไม่ต้องถามให้มากความอีก
**
ภายในห้องมืดมิด ราวกับไม่มีโคมไฟ
กระสอบผ้าถูกคนดึงขึ้นมา มู่หรงไท่ขยี้ตา แล้วปรับสายตาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแสงสลัว
ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นห้องธรรมดาห้องหนึ่ง มีโต๊ะ มีม้านั่ง มีประตูหน้าต่าง แม้กระทั่ง…กระทั่งยังมีเตียงหลังคาขนาดใหญ่หนึ่งหลัง
ก็เพราะปกติเกินไป ทำให้หัวใจของมู่หรงไท่เต้นรัวกระหน่ำขึ้นมา!
ฉินอ๋องนั่น ตกลงเล่นลูกไม้อะไรกันแน่!
พอเห็นทหารที่คุมตัวเองมากำลังจะจากไป มู่หรงไท่ก็ตะบึงคว้าคนหนึ่งเอาไว้อย่างรวดเร็ว “ที่นี่มันที่ไหนกัน”
อารักขาคนสนิทคนหนึ่งก็หันหน้ามา และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งที่แล้วก็คิดจะล่วงเกินว่าที่พระชายาของพวกเรา คุณชายรองรู้หรือไม่จะมีจุดจบอย่างไร”
ในใจของมู่หรงไท่เย็นวาบ รีบพุ่งออกจากห้องโดยไม่คิด อารักขาก็จับกดเขาไว้ แล้วใช้แรงมหาศาลดันกลับไป
“องค์ชายสามเคยพูดไว้ว่า ไม่ให้เส้นผมหรือเนื้อหนังมังสาท่านตกหล่นแม้แต่น้อย คุณชายรองจะหวาดกลัวอะไรกัน!”