บทที่ 8 ไม่มีปัญหาใดที่สมองแก้ไม่ได้

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ก็มีร้านอาหารเช้าพื้นที่สิบตารางเมตรเกิดขึ้น และเมื่อเอกสารทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ร้านก็เปิดกิจการได้อย่างราบรื่น

ดังนั้นฟางหนิงจึงลาออกจากงาน เพื่อมาทำงานกับจ้าวอิ๋งในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนก็ใช้เวลาดีๆ ด้วยกัน…

ซะที่ไหนกันล่ะ เพราะเป็นไปไม่ได้หรอก ตอนกลางคืนเขาต้องออกไปไล่ฆ่าปีศาจกับเจ้าบ้าระบบนั่นทั้งคืน…

ส่วนเรื่องการเก็บกวาดปีศาจอย่างปลอดภัยที่ฟางหนิงเคยพูดถึง ตลอดหนึ่งสัปดาห์มานี้เจ้าระบบนั่นก็เริ่มพูดคุยกับเขาอย่างเป็นมิตรขึ้นแล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงให้เห็นว่าหลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างลึกซึ้ง (เปิดสมอง) ผลลัพธ์สุดท้ายนั้นน่าทึ่งมาก มันบรรลุผลลัพธ์ได้ดีที่สุดและเป็นธรรมสำหรับทั้งสองฝ่ายซึ่งบ่งบอกได้ว่าการสื่อสารย่อมดีกว่าความขัดแย้ง และการสื่อสารนั้นก็ยังดีกว่าการต่อต้าน

ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายรักษาทัศนคติในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างในตอนนี้ต่อไปได้ พวกเขาก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข

แต่ปัญหาหลักๆ ตอนนี้ก็คือเรื่องลายนิ้วมือ ดีเอ็นเอ และความเกี่ยวข้องระหว่างตัวตนที่แท้จริงของฟางหนิงกับตัวตนของพี่ชายสุดหล่อหลังการปลอมตัว การถูกเปิดเผยหนึ่งในสามข้อนี้จะนำไปสู่การค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพี่ชายสุดหล่อซึ่งจริงๆ แล้วคือฟางหนิงนั่นเอง

เรื่องลายนิ้วมือ เจ้าระบบนั่นบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล ตอนที่มันครองร่างเขาแล้วออกไปกำจัดปีศาจ มันจะรักษาปราณแท้ของร่างกายให้อยู่ในสภาวะป้องกันร่างกายโดยอัตโนมัติ ช่วงเวลานั้นหากสัมผัสสิ่งใดก็จะเหมือนมีฟิล์มเคลือบอยู่ที่มือเพื่อเป็นการป้องกัน

ความจริงแล้วนี่ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ระบบถูกลอบโจมตีจากศัตรูบางตัวที่มีพิษด้วย

ถึงอย่างไรในอดีตก็เคยมีคนถูกพิษเพียงแค่สัมผัสผ่านผิวหนังไม่น้อย นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่สถานการณ์ค่อยๆ เปลี่ยนไปล่ะ

แต่ปัญหาเรื่องดีเอ็นเอ ระบบเองก็ไร้หนทาง ถ้าเปลี่ยนดีเอ็นเอของฟางหนิงหลังจากปลอมตัวแล้ว ตัวฟางหนิงก็คงจะตายเพราะเซลล์ภายในตีกันแน่นอน

สุดท้ายระบบจึงทำได้เพียงดูแลร่างกายของฟางหนิงให้ดีที่สุด ห้ามบาดเจ็บ มีเลือดออก ถ่มน้ำลาย หรือผมร่วง (ซึ่งค่อนข้างจะยากสักหน่อย เว้นแต่จะเป็นพระ)…

ฟางหนิงไม่ได้คาดหวังในเรื่องนี้มากนัก เพราะช่วงเวลาของการต่อสู้ ไม่มีอะไรมารับประกันได้หรอก

สุดท้ายฟางหนิงก็พยายามเค้นความคิดให้มากที่สุด และหลังจากสอบถามอย่างละเอียดยิบว่าระบบมีทักษะอะไรอีกบ้าง เขาก็เกิดความคิดหนึ่งที่จะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดีเอ็นเอได้

วิชากำลังภายในของระบบมีอยู่ไม่น้อย และประเภทใหญ่ๆ คือวิชายั่วโทสะ วิชายั่วโทสะพวกนี้เวลาใช้จะทำให้เกิดปราณแท้โทสะ ซึ่งเป็นปราณแท้ที่ร้ายกาจมาก เอามาใช้ทำปืนไฟจากเหล็กกล้าอาจยังมีความร้อนต่ำ แต่ถ้าจะใช้เผาคนล่ะก็…ไม่มีปัญหา

ระบบสามารถใช้ปราณแท้โทสะนี้เปลี่ยนเป็นปราณแท้ปกป้องร่างกายได้ และเมื่อใดที่ร่างกายฟางหนิงกำลังจะปริแตก ด้วยความเร็วในการคิดของระบบและมุมมองรอบด้านจะทำให้มันสามารถรับรู้ล่วงหน้าได้ทันที ปราณแท้โทสะรอบร่างกายก็จะถูกระบบกระตุ้นและเผาผิวเนื้อส่วนนั้นที่กำลังจะหลุดจากร่างกายออกไป

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องยากที่ปรมาจารย์ด้านการต่อสู้คนใดจะทำได้ และมักจะกลายเป็นช่องโหว่เสมอ แต่สำหรับระบบ มันเป็นเพียงการเปิดเธรดที่มีทักษะมอนิเตอร์รอบตัวแบบเรียลไทม์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฟังก์ชันเท่านั้น แน่นอนว่าสำหรับระบบด้านศิลปะการต่อสู้จะเรียกมันว่ามัลติทาสก์

ในกรณีนี้ต่อให้ผมจะร่วงก็ไม่ต้องกังวล เพราะหลังจากผมร่วงจากหนังศีรษะแล้วก็จะถูกเผาเป็นขี้เถ้าไปอย่างเงียบๆ และเมื่อทั้งหมดกลายเป็นขี้เถ้า ก็จะไม่มีทางตรวจพบดีเอ็นเอไปโดยปริยาย

ส่วนเลือดหรือเสมหะอื่นๆ ก็เช่นกัน กล่าวโดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอของฟางหนิงจะไม่ตกหล่นไปที่ไหนสักแห่งระหว่างช่วงเวลาที่เขาเป็นอัศวินแน่นอน

หลังจากฟังความคิดของโฮสต์แล้ว ระบบก็ต้องยอมรับช่องว่างไอคิวระหว่างทั้งสองฝ่าย ยอมรับว่าสมองของโฮสต์เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว

แม้ความคิดนี้จะจำกัดระบบให้ใช้วิชายั่วโทสะเพื่อป้องกันตัวเองเป็นเวลานาน แต่อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเผยตัวตนลงได้จึงนับว่ายอมรับได้อย่างสมบูรณ์

หากเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ก็ต้องเปลี่ยนไปใช้วิชาอื่นเพื่อให้ระบบสามารถหลบหนีได้ทันเวลา…เพราะยังไงมันก็ยังยืนกรานจะเก็บกวาดปีศาจพวกนั้นให้ได้ เจ้าระบบนี่ไม่มีทางลบภารกิจที่ทำไม่สำเร็จให้ตัวเองหรอก…

หลังจากพบทางออกเรื่องลายนิ้วมือและดีเอ็นเอแล้ว การจะยืนยันตัวตนของฮีโร่สุดหล่อผู้ลึกลับคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่มีสองสิ่งที่สำคัญที่สุดมาใช้ยืนยันอยู่ดี

แต่ยังมีปัญหาสุดท้ายคือความเกี่ยวข้องของตัวตนฟางหนิงและตัวตนของฮีโร่สุดหล่อหลังปลอมตัว ฟางหนิงคิดว่ามันแก้ไขไม่ได้จึงโบกสองมือบอกตาลุงระบบ เว้นแต่มันจะเปลี่ยนเป็นใครอีกคนได้อีก…

พูดจบ ระบบก็แปลงร่างเป็นอีกคนจริงๆ…

“นี่ นี่ เจ้านี่เชื่อถือได้เหรอ” ฟางหนิงมองไปที่ผู้ชายคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่ของระบบ

การปรากฏตัวของชายคนนี้ทำเขาตกใจมาก เพราะรูปร่างหน้าตาและความสูงของอีกฝ่ายเหมือนกับเขาไม่มีผิด นั่นเกือบทำให้ฟางหนิงคิดว่าเขามีร่างโคลนนิ่งแล้ว แต่ระบบที่เป็นประเภทต่อสู้มาตลอดสร้างร่างโคลนนิ่งที่เป็นประเภทเทคโนโลยีได้ด้วยหรือ เป็นไปได้ยังไงกัน

จนกระทั่งระบบเด้งข้อความแจ้งเตือน ความสงสัยของเขาจึงได้รับการแก้ไข

หุ่นยนต์ระดับต่ำ: มีทักษะช่างไม้ ค่าประสบการณ์ 700 แต้ม ไม้และหนังบางส่วนที่รวบรวมจากโลกภายนอกสามารถสร้างได้ ความสามารถปัจจุบัน: สนทนาอย่างง่าย เลียนแบบการกระทำระดับเริ่มต้น

ฟางหนิงดูความสามารถของหุ่นยนต์ จากนั้นก็ประเมินรูปลักษณ์และความสูงของมัน สุดท้ายก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

“ยังไงก็เถอะ ฉันเป็นโอตาคุมาตลอด ทำกิจกรรมน้อยอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาอยู่บ้านตลอดเวลาก็ไม่มีใครจับผิดอะไรได้หรอก เว้นแต่จะมีใครมาโจมตีฉันโดยตรงถึงจะมองออก แต่ถึงตอนนั้นฉันก็มีข้ออ้างมาจัดการได้ ไม่มีทางสาวตัวถึงพี่ชายสุดหล่อแน่นอน”

…………

เมื่อปัญหาหลักสามข้อได้รับการแก้ไขแล้ว ระบบจึงเริ่มเดินไปบนเส้นทางแห่งการเก็บกวาดปีศาจได้อย่างสบายใจ

ส่วนธุรกิจร้านอาหารของฟางหนิงก็เป็นไปได้ดีเช่นกัน

ธุรกิจร้านอาหารเช้าได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรอาหารก็ต้องอาศัยคำพูดปากต่อปากและลูกค้าที่กลับมาซื้อซ้ำ

มีร้านที่สามารถฮิตติดลมบนได้จริงๆ โดยไม่ต้องโฆษณาอะไรเลย ตราบใดที่พึ่งเว่ยป๋อและโมเมนต์ต่างๆ ไม่นานก็สามารถทำให้ผู้คนละแวกนั้นรู้จักมันได้ การกินเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และอย่าได้ประมาทจิตวิญญาณของการแบ่งปันและการตามรอยของนักชิมทั้งหลายเด็ดขาด

เพิ่งจะเปิดได้สัปดาห์เดียว คนต่อคิวที่หน้าร้านก็ใกล้จะไปถึงถนนแล้ว

แม้แต่คนขับรถหรูบางคนก็ซื้ออาหารเช้าจากร้านเขา นอกจากนี้ผู้คนมักจะขอให้พนักงานจัดเตรียมอาหารกลางวันและอาหารเย็นไปด้วยเลย ฟางหนิงจึงตัดสินใจเปิดบริการแบบเดลิเวอร์รี่

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฟางหนิงต้องเพิ่มกำลังคน แน่นอนว่า เขาขี้เกียจเกินกว่าจะจัดการกับคนจำนวนมากจึงโยนทุกอย่างให้จ้าวอิ๋งจัดการ ส่วนจ้าวอิ๋งก็ได้ขึ้นเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการร้านและเริ่มเดินไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต ก้าวแรกสู่การเป็นเศรษฐินีแสนสวย

ผลที่ได้คือฟางหนิงที่ซึ่งถูกค้นพบศักยภาพแล้วเริ่มมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น และเรื่องพวกนี้เขาไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสมันเลยเมื่อครั้งยังเป็นโอตาคุ

“เถ้าแก่ คุณดูสิวันนี้ฉันแต่งตัวสวยไหม ดูดีหรือยัง”

เช้านี้ ‘ไซซีมื้อเช้า’ ที่เริ่มมีชื่อเสียงในละแวกใกล้เคียงหรือก็คือจ้าวอิ๋งเปลี่ยนเป็นชุดกะลาสีเรือสีฟ้าสลับขาว แต่งหน้าบางๆ เจ้าหล่อนแต่งตัวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและอาศัยช่วงเวลาว่างวิ่งเข้าไปอ่อย ‘ฟางหนิง’ ที่ยุ่งอยู่ในครัว

‘ฟางหนิง’ มองจ้าวอิ๋งด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบกลับ “สวย สวยมาก”

จ้าวอิ๋งฉีกยิ้มน่ารัก เอวคอดบิดไปมา ก่อนจะเอนตัวพิงไหล่ฟางหนิง มือเล็กๆ แสร้งหยอกล้อโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอหลุบตาลงและพูดพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงดูไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ ฉันสวยไม่พอ ดูดีไม่พอเหรอ”

“เธออยากได้ท่าทีตอบสนองยังไง” ฟางหนิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เหมือนตระหนักได้จึงพยักหน้าและพูดว่า “อ้อ เข้าใจแล้ว”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็วางช้อนลงในหม้อ เหยียดสองมือออกแล้วพูดว่า “ดี!” พร้อมปรบมือ ‘แปะๆ’ แสดงความชื่นชม

จ้าวอิ๋งตกตะลึง จากนั้นก็กลอกตา ก่อนจะเดินหันหลังออกจากในครัวมาก็ทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง “เหอะ ซื่อบื้อ น่าเบื่อจริงๆ!”

‘ฮ่าฮ่า ถูกแล้ว เมื่อครู่เป็นเจ้าระบบซื่อบื้อครองร่างอยู่ ในจำนวนตัวเลือกที่มันมีให้ฉัน มีตัวเลือกนี้ที่ยังจะพอถูไถได้ ถ้าฉันเลือกอันอื่น เธอต้องน้ำลายฟูมปากตายแน่ เธอต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำนา’ ฟางหนิงที่อยู่ในพื้นที่ระบบยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขากำลังเล่นเกมอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ แล้วจู่ๆ ระบบก็ขอให้เขาออกมาเลือกบทสนทนา

ตัวเลือกอื่นๆ มีดังนี้ ตัวเลือกที่สอง: อย่าทำฉันเสียเวลาสิ ถ้าเธออยู่ระดับเดียวกับสี่สาวงามยุคโบราณ ฉันยังพอรับเป็นสนมได้ หรือไม่ก็อาจจะให้เป็นอย่างอื่น

ตัวเลือกสาม: ให้ฉันดูก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ถ้าเขาเลือกสองข้อนี้ต้องสร้างปัญหาใหญ่แน่ ถึงแม้ทุกวันนี้จะหาคนที่อยากมาทำงานด้วยกันง่ายก็เถอะ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้จักจ้าวอิ๋งดี ไม่อยากไปเสียเวลาหาผู้จัดการร้านคนใหม่ สำหรับคนที่อยู่ในช่วงปลายของโรคผัดวันประกันพรุ่ง การทำสิ่งฟุ่มเฟือยจะทำให้พวกเขายุ่งยาก

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้าวอิ๋งที่นอกจากคิดหาต้นขาทองคำไว้พึ่งพิงตลอดเวลาแล้ว เรื่องรับลูกค้า บัญชี แคชเชียร์ การจัดซื้อวัตถุดิบ ทั้งหมดนั้นเธอจัดการมันได้อย่างเป็นระเบียบ และไม่เคยมุบมิบเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเลย

ไม่อย่างนั้นร้านที่ขยายขนาดขึ้น และมีเถ้าแก่ที่วันๆ ไม่สนใจอะไรเลยนอกจากทำอาหารเช้าสองชั่วโมงคงไม่มีทางดำเนินไปอย่างราบรื่น การดูแลลูกค้าจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

นอกเหนือจากสิ่งที่ต้องเจอเป็นกิจวัตรแล้ว เรื่องอื่นก็สงบสุขดี

ฟางหนิงมองเงินจำนวนมากไหลเข้าบัญชีอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน เวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เขาก็สามารถเก็บได้มากขนาดนี้ และขณะที่เขากำลังจะยอมรับคำแนะนำของลูกค้าทั้งหลาย เปลี่ยนร้านอาหารเช้ามาเป็นร้านอาหารอย่างเป็นทางการ และเปิดบริการเดลิเวอร์รี่

เจ้าระบบก็คัดค้านขึ้นมาก่อนแล้ว…

“ไม่ได้ ในแต่ละวันแบ่งเวลามาทำอาหารเช้าสองชั่วโมงก็มากพอแล้ว มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไปเก็บตัวฝึกพลังดีกว่า”

ฟางหนิงปวดหัวมาก เขารู้ว่าชื่อเสียงของร้านอาหารเช้านี้ต้องพึ่งพาระบบ และแม้จะใช้ร่างกายของเขา ใช้กำลังกายของเขา แต่เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวล

จะหลอกล่อเจ้าระบบนี้ต่อไปดูท่าจะต้องคิดแผนใหม่แล้ว

……………………………………………………..