บทที่ 531 สร้างปัญหา
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว “พวกเขาทำร้ายคนด้วยสิ่งที่เป็นอันตรายขนาดนี้ได้อย่างไร”
หนานอวี่เงียบ คนเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับคนเหมียวเจียง
“มีทางแก้บ้างหรือไม่” เฉียวเทียนช่างถามหนานอวี่
“มี แต่เราต้องการส่วนผสมบางอย่างของโอสถจากเหมียวเจียง” ส่วนประกอบของโอสถนั้นอยู่ในรากของพืชสมุนไพร โดยผู้คนจะต้มมันในน้ำเพื่อดื่มกินและบรรเทาอาการประมาณสิบถึงสิบห้าวัน แต่วิธีนี้ใช้ได้กับกลุ่มคนที่ไม่เสพติดยานี้เท่านั้น
หนิงเมิ่งเหยาถอนหายใจและส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา “ข้าเกรงว่ามันจะเป็นเรื่องยาก”
“ใช่ขอรับ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากนี้ พืชเหล่านั้นยังเติบโตในเขตหวงห้ามของเหมียวเจียงอีกด้วย” การค้นหาส่วนผสมนั้น ไม่ว่าจะต้องไปขโมยมา หรือยอมให้ผู้คนอดทนต่อฤทธิ์ของยา ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก
หนิงเมิ่งเหยามองหนานอวี่อย่างพูดไม่ออก “มันเป็นของหายากขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ยังพอหาได้อยู่บ้างขอรับ” หนานอวี่ถูจมูก และตอบอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
หญิงสาวขมวดคิ้ว นางพูดไม่ออกกับคำพูดของอีกฝ่าย ราวกับว่าถูกเขาตีเข้าอย่างจัง ‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่’
พวกเขาทั้งสามคนอยู่ที่นั่นครู่ใหญ่ จากนั้นจู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะปัดจานอาหารบนโต๊ะลงพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ทำให้จานทั้งหลายตกลงไปด้านล่างพร้อมเสียงดังสนั่น
หลังจากที่เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินเสียงนั้น ก็รีบวิ่งเข้ามา และเมื่อเห็นจานแตกกระจายเต็มพื้น เขาก็ขมวดคิ้วในทันที “นายหญิง เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ”
“อาหารเหล่านี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่หรือ” หนิงเมิ่งเหยามองเสี่ยวเอ้อร์คนนั้น จนเขาผงะและถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว
เขาผงกศีรษะอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้วขอรับ”
“เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรกันว่ามันคืออาหารชื่อดังของที่นี่ คิดว่าข้าโง่เช่นนั้นหรือ” หญิงสาวมองอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็น
ทันใดนั้น ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ก็ถมึงทึงเช่นกัน ในตอนแรก เขาคิดว่าคู่รักคู่นี้เป็นผู้ที่มีฐานะ แต่ใครจะรู้ว่าจริงๆ แล้ว พวกเขามาเพื่อสร้างปัญหาเท่านั้น
“พวกท่านมาที่นี่เพื่อหาเรื่องกันเช่นนั้นหรือ” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างโกรธเคือง
หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ ก่อนจะตอบคำถามอย่างไม่คาดคิด “ทำไมหรือ ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้วิจารณ์อาหารของที่นี่หรืออย่างไร เจ้าไม่กังวลเลยหรือว่าขยะพวกนี้จะคร่าชีวิตของผู้คนได้ หากพวกเรากินอาหารเหล่านี้ไปแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบหรือไม่” หนิงเมิ่งเหยาถามขณะมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม
เสี่ยวเอ้อร์ตะคอกอย่างไม่พอใจ “หากพวกท่านไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร ก็อย่าเข้ามาในสถานที่เช่นนี้อีก เด็กๆมาตรงนี้เร็วเข้า มีคนเข้ามาก่อกวนในร้าน” เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นตะโกนเสียงดังลั่น
เมื่อในยินคำสั่ง เด็กในร้านอาหารนี้ก็รีบกรูเข้ามาพร้อมกับถือไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือ
“คนเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับร้านของเรา พวกเขาไม่มีปัญญาจ่ายเงิน และยังจะกล้าพูดว่าอาหารของพวกเราเป็นเศษขยะอีก” เสี่ยวเอ้อร์ชี้หน้าหญิงสาวและพูดจาถากถางอย่างเย็นชา
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “นายท่านของเจ้าไม่เคยสั่งสอนหรือว่าอย่าชี้หน้าแขก สงสัยว่าวันนี้ ข้าคงจะต้องสั่งสอนเจ้าเอง คอยดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ เสี่ยวเอ้อร์ก็ร้องเสียงดังลั่น ทุกคนต่างมองดูนิ้วมือของเขาที่ชี้หนิงเมิ่งเหยาหล่นลงกับพื้น และแล้วพื้นที่สะอาดนั้น ก็อาบไปด้วยเลือดของเขาทันที
หนิงเมิ่งเหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือของเฉียวเทียนช่าง “เช็ดให้สะอาด เราไม่รู้ว่าคนแบบนางจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่หรือไม่”
“ได้”
“อ๊า… มือของข้า” จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ก็ร้องพลางกอดมือที่บาดเจ็บของตนเองไว้
ผู้คนมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่บนชั้นสามต่างได้ยินเสียงร้องนั้น
“ข้างล่างเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“เรียนนายท่าน มีคนกำลังก่อเรื่องอยู่ที่ชั้นล่างขอรับ พวกเขาดูไม่น่าจะเป็นคนมีฐานะขอรับ” คนที่ขึ้นมาจากด้านล่างกระซิบบอกอีกฝ่าย
ชายผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนมองจดหมายในมือ แล้วลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนเดินลงมาชั้นล่าง ห้องนั้นก็มีบรรยากาศคุกรุ่นแล้ว ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ และแววตาที่ดูเจ็บปวด
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มขณะพูดขึ้น “ข้าชื่อหลัวเฟย เป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ”
หนิงเมิ่งเหยากอดอกขณะมองชายผู้นี้ ก่อนจะหันหน้ามองหนานอวี่ เมื่อเห็นว่าเขาส่ายศีรษะ หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “ไปเรียกนายท่านของเจ้าออกมา”
หลัวเฟยมองหญิงสาวอย่างตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยถาม “ข้าไม่เข้าใจว่าฮูหยินหมายความว่าอย่างไร”
บทที่ 532 ไม่มีที่ไป
หนิงเมิ่งเหยาเอนตัวพิงแขนของเฉียวเทียนช่าง และเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าเป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชา มีสิทธิ์อันใดมาพูดจากับพวกข้าเช่นนี้ ไปเรียกเจ้านายของเจ้าออกมาซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้าย”
หญิงสาวต้องการจะทำให้เรื่องนี้บานปลายอยู่แล้ว เพราะมันจะได้น่าสนใจขึ้นไปอีกยังไงล่ะ
หลัวเฟยมองนางก่อนยิ้มเล็กน้อยพลางตอบกลับไปว่า “ข้าคือเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ ฮูหญิงหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ยอมพูดความจริงเสียที หนานอวี่ บอกพวกเขาสิว่าทำไม” หญิงสาวมองหนานอวี่และเอ่ยเสียงเบา
“หญ้าวิเศษ” เมื่อหนานอวี่พูดคำนี้จบ หนิงเมิ่งเหยาจึงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้คนเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็มองหน้าพวกนางอย่างเย็นชา
“เจ้าเป็นใครกัน”
“อะไรกัน เจ้ายังไม่คิดจะเรียกนายท่านของเจ้าออกมาอีกหรือ” หญิงสาวเมินเฉยต่อท่าทีอันขุ่นเคืองของหลัวเฟย และเอ่ยถามอย่างสุขุม
หลัวเฟย จ้องทั้งสามคนตรงหน้า และรู้ดีว่าหากวันนี้ เขาไม่จัดการกับปัญหานี้ ก็จะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นภายหลังเป็นแน่
“ตามมาทางนี้” หลัวเฟยถอยหลัง ก่อนจะเดินนำทางให้พวกเขา
หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ เดินตามเขาขึ้นไปชั้นบน ท่าทีอันผ่อนคลายของหญิงสาวคล้ายกับว่านางมาที่นี่เพียงเพื่อหาความบันเทิงใจเท่านั้น
หลัวเฟยพาพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นสี่ ก่อนจะเดินมายังประตูห้องที่มีอยู่เพียงห้องเดียว จากนั้นเขาก็เคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา” น้ำเสียงนุ่มลึกและฟังดูน่าหลงใหลดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของประตู
“เขาคือนายท่านหรือ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยถามหนานอวี่
“ขอรับ”
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เฉียวเทียนช่างไม่ได้เปล่งวาจาใดๆ เลยสักคำ ชายหนุ่มเพียงมองดูภรรยาอยู่ข้างๆ และเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังจะได้พบกับบุคคลที่ตามหา เขาจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะของหญิงสาว “เข้าไปกันเถอะ”
หลัวเฟยเดินเข้าไปเป็นคนแรก ก่อนจะอธิบายเหตุการณ์คร่าวๆ ให้คนด้านในรับทราบ จากนั้นจึงเรียกให้หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ ตามเข้าไป
ทันทีที่ทั้งสามคนเดินเข้ามาด้านใน หนิงเมิ่งเหยาก็รู้สึกได้ทันทีว่าชายผู้นี้เป็นคนขี้อวดยิ่งนัก
นางมองดูสิ่งของทุกชิ้นในห้องที่มีความสวยงามและประณีตอย่างมาก การตกแต่งภายในนั้นก็ดีเยี่ยม และน่าจะใช้เงินไปหลายล้านตำลึงเงินเลยทีเดียว แล้วเขามาทำอะไรอยู่ในห้องอันหรูหราแห่งนี้กันเล่า
หนิงเมิ่งเหยาดึงเฉียวเทียนช่างให้นั่งลงข้างๆ ตน เสี่ยวเอ้อร์นำน้ำชาสองถ้วยมาบริการให้ แต่หญิงสาวไม่กล้าแม้จะแตะต้องมัน
“เจ้าหลบซ่อนอยู่หลังฉากนี้ เพราะละอายใจที่พบเจอพวกเราเช่นนั้นหรือ” หนิงเมิ่งเหยาพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงและฟังเหมือนเหน็บแนม
“เจ้า…”
“หลัวเฟย เจ้าออกไปได้”
“ขอรับ”
หลังจากหลัวเฟยออกไป ชายผู้นี้ก็เดินออกมาจากด้านหลัง
เขาเป็นคนประเภทใดน่ะหรือ ตัวตนของเขาสามารถบรรยายได้ด้วยคำเพียงคำเดียว นั่นคือ ปีศาจ
ใบหน้าที่สวยงามราวกับปีศาจของชายผู้นี้เรียบเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ และตรงคิ้วของเขาก็มีปานแดงชาดปรากฏอยู่
เขาดูเป็นคนดี แววตาคู่นั้นดูไร้ซึ่งความรู้สึก และไม่มีความต้องการใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้หนิงเมิ่งเหยาแปลกใจว่าชายคนนี้ส่งเสริมผู้คนในเหมียวเจียงให้ทำสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรกัน
“พี่สะใภ้ กู่พิษในตัวของเขา…” หนานอวี่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจมันอย่างมาก
แม้ว่าเนื้อตัวของชายตรงหน้าจะสั่นเทาเพียงเล็กน้อย แต่ทว่าหญิงสาวก็สังเกตเห็นอาการเหล่านั้นได้
“ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้ว เจ้าไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่สินะ” หนิงเมิ่งเหยายิ้ม
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” ชายผู้นั้นเงยหน้ามองนาง เขาดูสง่าผ่าเผยในชุดสีแดงเลือดหมู ผมของเขาถูกมวยเก็บไว้บนศีรษะอย่างเรียบร้อยโดยใช้ปิ่นปักผมเพียงสองชิ้น
หนิงเมิ่งเหยาชอบเจรจากับคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ เช่นนี้ “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงอยากจะทำข้อตกลงกับเจ้าก็เท่านั้น”
ชายผู้นั้นขมวดคิ้ว “ทำไมข้าจะต้องยอมทำเช่นนั้นด้วย”
“ดูจากท่าทีของเจ้าแล้ว ข้าเดาว่าเจ้าคงถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ แล้วเจ้าไม่อยากจะหนีไปให้พ้นจากสถานที่แห่งนี้หรืออย่างไรกัน” หญิงสาวไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำ นางยังฝืนยิ้มขณะมองชายตรงหน้าอีกด้วย
ชายผู้นั้นส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบา “ที่ไหนก็เหมือนกันหมด” เดิมที ชายหนุ่มต้องการจะออกไปจากที่นี่จริงๆ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวด แต่แล้วเขาก็ค่อยๆ คุ้นชินไปกับมัน
แม้ว่าตอนนี้ เขาจะออกจากที่นี่ได้ เขาก็ไม่มีที่ไปอยู่ดี
“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก เจ้าไม่อยากจะออกไปดูโลกภายนอกหรือ” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยถาม พลางเลิกคิ้วสูง
เขาขยับมือเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่สนใจหรอก”
“เช่นนั้นหรือ แล้วเจ้าไม่กลัวกู่พิษในร่างกายของเจ้าหรืออย่างไรกัน ถ้าหากข้าสามารถช่วยเอามันออกจากร่างกายของเจ้าได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร” หญิงสาวสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อนางพูดถึงกู่พิษ จากนั้นริมฝีปากของนางก็ค่อยๆ คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
ชายผู้นั้นขมวดคิ้วมองหนิงเมิ่งเหยา ราวกับกำลังทบทวนว่าคำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริงหรือไม่