เมื่อเสียงนั้นกล่าวจบก็หายไปไม่ปล่อยโอกาสให้ผู้คนในจัตุรัสได้ตั้งคำถาม
และบรรดาผู้ตกรอบไปก่อนหน้านี้ในจัตุรัสต่างพากันจ้องถมึงทึงไปยังคนที่ทำให้พวกเขาตกรอบ
ก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้นกระบี่ได้ถูกชักออกมาและกลิ่นของดินปืนก็อบอวลไปทั่ว
“การสังหารที่มาพร้อมกับความแค้นสามารถระเบิดศักยภาพออกมามากขึ้น” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบราวกับกำลังอธิบายจุดประสงค์ของการทดสอบขั้นสุดท้ายนี้
ภายใต้กฎเกณฑ์ดังกล่าว ผู้เข้าร่วมทดสอบจะต้องระเบิดศักยภาพที่แท้จริงออกมาถึงจะสามารถคัดกรองเมล็ดพันธุ์ชั้นเลิศ
“เจียงหลี พลังที่อยู่เบื้องหลังสถาบันไป๋หยวนไม่ใช่เรื่องง่าย” นางหันไปมองเจียงหลีแล้วเอ่ยขึ้น
เจียงหลีพยักหน้าเห็นด้วย “เพราะมันไม่ง่ายข้าถึงอยากพุ่งชน”
คำตอบของนางทำให้มู่ชิงเกอกกระหยิ่มยิ้มในใจ
“ฆ่า! ฆ่าพวกเขาได้คะแนนก็จะเป็นของเรา!”
“ฆ่าซะ! เมื่อก่อนพวกเขาฆ่าเรา ตอนนี้ถึงคราวเราฆ่าเขาบ้าง พี่น้องทั้งหลายโอกาสแก้แค้นมาถึงแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ! ใช่ สถานที่ทดสอบให้โอกาสครั้งนี้กับเรา นั่นหมายความว่าเราแข็งแกร่งกว่าพวกเขา คะแนนของพวกเขาเป็นของเรา!”
“ฆ่ามันน!”
คนนับพันเปิดฉากต่อสู้กลางจัตุรัส
ตายในที่นี้ไม่ได้หมายถึงตายจริง จึงทำให้คนไม่น้อยปล่อยสิ่งที่คิดในใจออกมาแล้วเข่นฆ่าคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด
แต่ทันใดนั้นพวกเจียงหลีสี่คนก็ติดอยู่ในห้วงเสียงของการห้ำหั่นกัน
พวกเจียงหลีทั้งสี่คนไม่ขยับเขยื้อน พวกเฉียนจวิ้นทั้งสี่คนก็ไม่ขยับด้วยเช่นกัน
ดูเหมือนคนอื่นต่างรู้ว่าคนทั้งสองฝ่ายรับมือไม่ได้ง่ายๆ เมื่อเห็นการเผชิญหน้าระหว่างสองฝ่ายจึงตั้งใจหลีกเลี่ยงไม่ไปกวนน้ำให้ขุ่นเสียก่อน
“เจียงหลี เจ้าอาศัยความช่วยเหลือจากเบื้องสูงแล้วยังอยากชนะอีกหรือ เจ้าละอายบ้างไหม” เฉียนจวิ้นมองมู่ชิงเกออย่างหวาดกลัว
ที่เขายังไม่ขยับก็เพราะมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มอ่อนไม่เอ่ยสิ่งใด
เจียงหลียิ้มเยาะ “แม้รู้แก่ใจว่าเจ้ากำลังยั่วโมโห แต่ข้ายังคงสนองความปรารถนาของเจ้า” กล่าวจบนางก็หันไปพูดกับมู่ชิงเกอ “เจ้าไม่ต้องลงมือ เดี๋ยวข้ารับมือเอง”
“ระดับฝึกบำเพ็ญของคนรอบตัวเขาสูงกว่าเจ้า” มู่ชิงเกอพูดยิ้มๆ
เจียงหลีเบะปากแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่คิดจะใส่ใจ “ข้าแค่บอกให้เจ้าไม่ต้องลงมือ ไม่ได้บอกให้เจ้าไม่ต้องมาช่วย”
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ เจ้าโจมตี ข้าคุ้มกัน เจ้ากับข้าร่วมมือกันฆ่าเขาให้กระจุยไปเลย”
“นานแล้วที่ไม่ได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้า” ไฟสงครามลุกโชนในแววตาของเจียงหลี
มู่ชิงเกอหัวเราะร่า “วันนี้พวกเราร่วมรบสนามใหญ่อีกครั้ง”
เจียงหลียิ้มสดใสเจิดจ้า แสงสีทองเปล่งประกายจากร่างปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ ทันใดนั้นพลังในร่างกายของนางเกิดแปรผันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เฉียนจวิ้นยังไม่ทันได้หุบยิ้มก็มองนางหน้าถอดสีแล้วเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “หลิงเจี้ยงขั้นแปด!”
ขั้นแปด! ขั้นแปด!
ผ่านไปไม่นานแค่ปีเดียว การบำเพ็ญเพียรของเจียงหลีก็ไปถึงหลิงเจี้ยงขั้นแปดเสียแล้ว
ตู้มม!
การบีบอัดกดดันของหลิงเจี้ยงขั้นแปดสั่นสะเทือนไปทั่วจัตุรัสขัดจังหวะการต่อสู้ของทุกคน
พวกเขาหยุดมองไปที่หญิงสาวที่ถูกล้อมรอบด้วยแสงสีทองกลางอากาศ
ร่างของเจียงหลีหมุนกลางอากาศ ชุดเกราะงามสง่าปรากฏขึ้นบนร่างของนาง
“เสวียนกังกุย! นางก็คือสาวน้อยคนนั้นที่ได้รับเสวียนกังกุยในอาณาเขตหลิงอู่เมื่อปีนั้น” มีคนอุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจท่ามกลางฝูงชน
เห็นได้ชัดว่าบางคนในสถาบันไป๋หยวนแห่งซีเฉียนประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเริ่มต้น
ถึงแม้พวกเขาจะรู้แล้ว แต่ในเมื่อแรงกดดันของหลิงเจี้ยงขั้นแปดของเจียงหลีปรากฏออกมา พวกเขายังคงกริ่งเกรงอยู่จึงเงียบปากเอาไว้
อัจฉริยะเยี่ยงนี้ เขามิอาจล่วงเกิน
ยิ่งไปกว่านั้นข้างกายนางมีพละกำลังมหาศาล อีกทั้งยังมียอดฝีมือที่แม้แต่ผู้อำนวยการสอบวัดระดับยังเกรงกลัว
“เฉียนจวิ้น ข้าฆ่าเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่งก็สามารถฆ่าเจ้าได้อีกครั้ง เจ้าแส่หาเรื่องเองอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ” ร่างที่คลุมด้วยชุดเกราะของเจียงหลีมาพร้อมกับพลังของเลี่ยเทียนซื่อ ดำดิ่งจากอากาศไปยังเฉียนจวิ้นที่กำลังตื่นตะลึง
“องค์ชาย ระวัง!” ดวงตาของหู่อี้เบิกค้าง ฝ่ามือใหญ่ผลักเฉียนจวิ้นไปอีกด้าน เสียงคำรามเกรี้ยวกราด เขาปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์พยัคฆ์ทมิฬออกมาจากด้านหลัง
ตู้ม!
หลิงไซว่และหลิงเจี้ยงปะทะกันซึ่งหน้า
เมื่อพลังวิญญาณชนกันจึงทำให้ทั้งสองกระเด็นถอยกลับไป
ร่างของเจียงหลีหมุนเคว้าถอยหลังกลางอากาศเรื่อยๆ ไปยังฝูงชน
แววตามู่ชิงเกอวูบไหว อาภรณ์สีแดงดุจเปลวเพลิงพลันหายไปจากที่เดิมและปรากฏตัวอีกครั้งตรงข้างล่างเจียงหลี นางยกขาขึ้นเหนือศีรษะ เท้าของเจียงหลีเหยียบพื้นรองเท้านางเอาไว้ด้วยท่วงท่ามั่นคง
สาวน้อยในชุดเกราะสีดำโดยมีเท้าของ ‘คุณชาย’ ชุดแดงเป็นฐานยืน ร่างของทั้งสองสัมผัสกันผสมผสานอย่างลงตัว เป็นที่น่าทึ่งแก่ผู้คนนับพันในที่นี้
“หึ” มู่ชิงเกอแสยะยิ้มมุมปาก ยกแรงที่ปลายเท้าส่งตัวอันบางเบาของเจียงหลีทะยานไปข้างหน้า
“ฉีกเวหาาาาา!”
ทันใดนั้นก็ปล่อยทักษะพรสวรรค์ออกมา คู่ต่อสู้ที่โจมตีคือเฉียนจวิ้นมิใช่หู่อี้
คราวนี้หู่อี้เข้ามาช่วยไว้ไม่ทัน
ได้ยินแค่เสียงดังตู้มเพราะเลี่ยเทียนซื่อพุ่งชนหน้าอกของเฉียนจวิ้นอย่างรุนแรงจึงทำให้เขาลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักเลือดเส้นลมปราณแตกสลาย
“องค์ชาย!” หู่อี้ตะลึงงัน โจมตีไปที่เจียงหลี
“กลับมา!” มู่ชิงเกอยกมือขึ้นดึงดูดร่างเจียงหลีที่ลอยกลางอากาศให้กลับมาอย่างรวดเร็วจึงรอดพ้นจากระยะโจมตีของหู่อี้ทันที
เมื่อโจมตีกับความว่างเปล่า แต่เพราะหู่อี้เป็นห่วงสถานการณ์ของเฉียนจวิ้นเลยไม่ได้ตามไป
และเมื่อเจียงหลีถอยกลับมา มู่ชิงเกอจึงคว้าแผ่นเกล็ดบริเวณเอวของนางเอาไว้พร้อมกับหมุนไปรอบๆ แล้วทิ้งตัวลงพื้นอย่างปลอดภัย
การร่วมมือที่เข้าจังหวะกันได้ดี เพราะความเลือดร้อนที่ห่างหายไปนานทำให้ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน
“องค์ชาย เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หู่อี้พุ่งไปข้างหน้าเฉียนจวิ้นแล้วประคองเขาขึ้นจากพื้น
โจวยวนขยับดวงตาแล้ววิ่งไปหาเฉียนจวิ้น
ยังคงมีเลือดไหลออกจากปากเฉียนจวิ้น สายตาของเขาจ้องมองเจียงหลีอย่างอำมหิตแล้วยกนิ้วชี้หน้า “ฆ่าพวกมัน! ฆ่าพวกมันให้ข้า! ทุกคนฆ่าพวกมันให้ข้า! ข้าเป็นถึงองค์ชายรองแห่งซีเฉียน ใครฆ่าพวกมันได้ ข้าจะตอบแทนเขาด้วยหินวิญญาณหมื่นก้อน!”
หินวิญญาณหมื่นก้อน!
นี่อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรกับขุนนาง แต่สำหรับชาวบ้านธรรมดากลับถือเป็นแหล่งทรัพยากรฝึกบำเพ็ญขนาดใหญ่
จะว่าไป ณ ที่แห่งนี้พวกเขาต่างเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว
และบรรดาลูกขุนนางเหล่านั้นจำเป็นต้องทำตามคำบัญชาเพราะด้วยสถานะของเฉียนจวิ้น
“อาหลี!” เจียงเฮ่าเรียกอย่างร้อนรน
เจียงหลีหันสายตามองสองคนนั้นแล้วเผยรอยยิ้ม “พวกเจ้าดูแลตัวเองดีๆ”
นางหันสายตากลับมามองมู่ชิงเกอ ทั้งสองไม่รู้สึกถึงความตึงเครียดจากการถูกปิดล้อม
เจียงหลียิ่งแสดงท่าทางเยี่ยงนี้ เฉียนจวิ้นจึงยิ่งเกลียดชัง “ฆ่ามันนน!”
ตู้ม!
แสงสีทองระเบิดบนจัตุรัส วิญญาณยุทธ์รูปแบบต่างๆ ปรากฏออกมาไม่มีหยุดแล้วพุ่งเข้าสังหารพวกเจียงหลีทั้งสี่
มู่ชิงเกอดึงมือเจียงหลีขึ้นโยนขึ้นไปข้างบนโดยใช้ตัวเองเป็นฐานวางเจียงหลีไว้บนที่สูงเพื่อสามารถมองเห็นผู้คนข้างล่างและเปิดฉากสังหาร
“ฆ่ามันนน!”
คนนับพันแบ่งสายโจมตี คนจำนวนไม่น้อยไล่ขยี้มู่ชิงเกอ ใครใช้ให้เจียงหลีบอกให้นางไม่ต้องลงมือกันล่ะ
พวกเขานึกว่าในขณะที่มู่ชิงเกอยังไม่เอาคืนจะสามารถรับมือกับนางได้โดยง่าย แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะทะยานสู่อากาศเปลี่ยนท่าร่างให้นางลงมาอยู่ด้านล่างแทนที่พร้อมสังหารฝูงชน
ทักษะการต่อสู่เฉกเช่นนี้ทำเอาฝูงชนต่างตกตะลึง
ทั้งสองรวมร่างเป็นหนึ่งให้ความร่วมมืออย่างสนิทแนบชิด
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอคว้าข้อมือของเจียงหลีแล้วตะโกนเสียงก้องว่า “จูเสียยยย!”
…………………….