ภาคที่ 3 บทที่ 162 อธิบาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

การตายของหวังซานหยูทำให้การต่อสู้อันยาวนานระหว่างทางการกับตระกูลสายเลือดชั้นสูงได้ยุติลง

การปะทะกันครั้งนี้จบลงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของซูเฉินและอันซื่อหยวน เป็นผลลัพธ์ที่นำพาเมืองธารน้ำใสเข้าสู่ยุคใหม่อย่างสมบูรณ์

ยุคการปกครองของเจ้าเมือง

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ซูเฉินได้กล่าวเอาไว้ หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่นี้เขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับการแก่งแย่งชิงอำนาจแต่อย่างใด กรมวินิจฉัยคดีกับทหารรักษาการณ์ก็ได้ถูกส่งมอบให้อันซื่อหยวนเป็นคนดูแลจัดการทั้งหมด และแม้แต่กรมพลังต้นกำเนิดเขาก็ยังอนุญาตให้เจ้าเมืองอันส่งคนเข้ามาได้ กลุ่มอันธพาลส่วนใหญ่ได้ถูกย้ายไปอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองเช่นกัน กองกำลังสามสายธารเองก็เริ่มดำเนินการควบคุมขนส่งและเส้นทางน้ำตามคำสั่งของเจ้าเมือง ทำให้เมืองธารน้ำใสทั้งหมดจึงอยู่ภายใต้การควบคุมของอันซื่อหยวน

อย่างไรก็ตามในด้านทรัพยากรและของสิ่งต่าง ๆ เขาไม่ได้ปฏิเสธเลย เงินที่ได้มาจากการประมูลร้านค้าส่วนใหญ่ จะถูกส่งมอบไปให้แก่ซูเฉิน นอกจากนี้เขายังผู้ควบคุมป่าแม่น้ำตะวันตกอย่างสมบูรณ์ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ามันจะเป็นช่องทางให้เขาทำเงินได้มากมาย เมื่อเมืองธารน้ำใสรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ตอนนี้เขาก็สามารถเริ่มจัดการดูแลป่าแม่น้ำตะวันตกได้ เพราะยาสามหยางจึงมีคนสังเกตเห็นที่แห่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และพยายามที่จะเข้ามาแทรกแซง

นอกเหนือจากปัญหาภายในแล้วอันซื่อหยวน ศัตรูภายนอกของเขาเองก็มีอยู่ไม่น้อยนัก ด้วยเหตุนี้เจ้าเมืองอันจึงไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับซูเฉิน ในขณะที่ราคาของการแลกเปลี่ยนให้เขาช่วยปกป้องป่าแม่น้ำตะวันตก ซูเฉินได้มอบโทเทมโลหิตสลายให้กับกองทหารเกราะโลหิตของเจ้าเมืองทั้งหมด 300 คน ทำให้อันซื่อหยวนมีกองกำลังที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง

ถึงกระนั้นแรงกดดันที่เจ้าเมืองอันต้องเผชิญก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบจากความน่าสนใจของยาสามหยางนั้นกินเวลานานมาก ราวกับชิ้นเนื้อเน่าที่มีแต่จะดึงดูดแมลงวันมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ อันซื่อหยวนไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดไปได้

แต่แล้วยังไง ? ตามข้อตกลงระหว่างพวกเขา 4 ปีหลังจากนี้ เมื่อซูเฉินหมดวาระในหน้าที่ของตน ชายหนุ่มก็จะจากไปและป่าแห่งนี้ก็จะกลายเป็นของอันซื่อหยวน ส่วนเจ้าเมืองอันจะครอบครองได้อีกกี่ปี มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเขาเอง ซูเฉินคาดไว้ว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของเขา รวมกับแรงกดดันจากด้านนอกที่เพิ่มขึ้น อย่างมากก็คงจะยึดไว้ได้อีกสักปีสองปี

แต่แค่ปีสองปีก็เกินพอที่จะเก็บเกี่ยวกำไรแล้ว

แน่นอนว่านี้เป็นเพียงเรื่องของอนาคต

ในเย็นวันที่สี่หลังจากการต่อสู้ ซูเฉินได้เข้าสู่แดนฝันตามกิจวัตรปกติของเขา วันนี้เป็นวันที่เขาจะได้พบกับฉือไคฮวงอีกครั้ง

ซูเฉินปรากฏตัวในห้องของฉือไคฮวงและพบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งดื่มชาอยู่

ลักษณะการใช้ชีวิตของเขายังคงเรียบง่ายและสบาย ๆ เหมือนเช่นเคย

“ท่านอาจารย์” ซูเฉินนั่งลงตรงหน้าชายชรา

“โอ้ เจ้ามาแล้ว” ถึงแม้ว่าฉือไคฮวงจะดูเหมือนทุกที แต่ชายหนุ่มก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกที่ว่ามีบางอย่างผิดปกติออกไปได้เลย

เขาไม่สามารถอธิบายความไม่สบายใจนี้ได้ มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่มาจากการรู้จักคุ้นเคยกับอาจารย์ของเขามากว่าสิบปี

“สถานการณ์ที่เมืองธารน้ำใสเป็นอย่างไรบ้าง ?” ฉือไคฮวงถาม

“ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว” ซูเฉินตอบ เขาหลังจากดึงสติกลับมาจากความรู้สึกแปลก ๆ

จากนั้นเขาก็เล่าถึงที่เกิดขึ้นในเมืองธารน้ำใส

ชายหนุ่มพูดอย่างระมัดระวัง ชายชราเองก็ฟังอย่างตั้งใจ

เมื่อซูเฉินอธิบายทุกอย่างจบแล้ว แต่ดูเหมือนฉือไคฮวงจะยังคงจมอยู่กับเรื่องราวของลูกศิษย์ และไม่ได้พูดอะไรขึ้นพักใหญ่

“ท่านอาจารย์ ?” ซูเฉินกล่าวเบา ๆ

“โอ้ เจ้าทำได้ดีมาก” ในที่สุดฉือไคฮวงก็ตอบสนอง

“อาจารย์ วันนี้ท่านดูมีเรื่องให้ต้องคิด ?” ซูเฉินถามตรง ๆ

ชายชราชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะยิ้มขึ้น “ดูเหมือนเจ้าสังเกตเห็นด้วยสินะ ? อ่า การรับรู้ของเจ้าเฉียบคมอยู่แล้ว จะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรกัน”

“ท่านกำลังกังวลอะไรอยู่หรือ ? เรื่องนี้บอกกับข้าได้หรือไม่ ? บางทีศิษย์อาจช่วยอะไรท่านได้บ้าง”

ฉือไคฮวงส่ายหัว “เจ้าแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้หรอก แม้แต่อาจารย์ใหญ่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้”

หัวใจของซูเฉินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เขารู้ว่าอาจารย์ใหญ่ที่ชายชรากล่าวถึงคืออาจารย์ใหญ่ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น

ท่านหยางแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น คือผู้ที่มีชื่อเสียงดีงามและเป็นเคารพนับถือในอาณาจักรหลงซางอย่างมาก ด้วยสถานะที่สูงส่งและความแข็งแกร่งที่เขามี ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหานี้งั้นหรือ ? นี่มันปัญหาแบบไหน ?

ฉือไคฮวงพูดอย่างสบาย ๆ “อีกไม่กี่วัน ข้าจะต้องไปยังปราการลุ่มน้ำทอง”

“ปราการลุ่มน้ำทอง ?” ซูเฉินสับสน “ทำไม ?”

ปราการลุ่มน้ำทองเป็นแนวหน้าของสนามรบระหว่างเผ่าคนเถื่อนกับมนุษย์ ความหมายเบื้องหลังการไปที่นั่นของฉือไคฮวงคืออะไรกัน ?

“แน่นอนว่าก็ต้องไปเกณฑ์ทหาร ป้อมปราการได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และเพื่อป้องกันการซุ่มโจมตีในเวลากลางคืน ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในแดนฝันหากไม่มีเหตุจำเป็น เพราะฉะนั้นจากนี้ข้าคงจะไม่ได้มีโอกาสเข้ามาที่นี่มากนัก โอกาสที่เราจะได้เจอกันในอนาคตคงจะไม่ค่อยมากนัก”

“เกณฑ์ทหาร ?” ซูเฉินผุดลุกขึ้นในทันใด “ท่านก็อายุมากเช่นนี้แล้ว เหตุใดยังต้องไปเกณฑ์ทหารอีก ? แล้วไม่ใช่ว่าท่านเคยอยู่ในกองทัพมาก่อนหรอกหรือ ?”

ฉือไคฮวงตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เหตุใดถึงต้องไปเกณฑ์ทหาร ? เหตุผลเบื้องหน้าคือ เพราะข้าอยู่เฉย ๆ ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นและไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าไม่รับศิษย์มาหลายสิบปีแล้ว อืม หากมองจากแง่มุมนั้นเหตุผลนี้ก็นับว่าไม่ผิด”

“แต่ท่านก็รับข้าเป็นศิษย์ของท่านแล้วมิใช่หรือ ?”

“การรับศิษย์มาคนหนึ่ง หมายความว่าข้าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ ?” ชายชราถามอย่างมีวาทศิลป์

ซูเฉินเถียงไม่ออก

ใช่ การรับศิษย์มาคนหนึ่ง ก็หมายความว่าเขาไม่ได้บกพร่องในหน้าที่ของตนแล้วใช่หรือไม่ ?

แน่นอนว่า ไม่ !

อาจารย์ก็คืออาจารย์ หน้าที่ของพวกเขาคือให้ความรู้แก่เหล่าศิษย์ 10 กว่าปีสั่งสอนศิษย์คนเดียว นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การหยิบยกขึ้นมาอ้าง

ด้วยเหตุนี้อาณาจักรหลงซางจึงออกคำสั่งมาเกณฑ์เขาไปในที่สุด ในเมื่อเจ้าเคยเป็นทหารอยู่ในกองทัพมาก่อน ตอนนี้เจ้าก็ยังสามารถกลับไปเป็นทหารในกองทัพอีกได้ อย่างไรเสียด่านสู่พิสดารก็ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความอ่อนแอของวัยชราอยู่แล้ว แม้ฉือไคฮวงอาจจะดูแก่มากแล้ว แต่เขายังคงเต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

“แล้วเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร ?” ซูเฉินถาม

ผ่านมา 10 กว่าปีแล้วแต่ก็ไม่เห็นเคยมีใครเข้ามายุ่งอะไรกับฉือไคฮวง การลงมือเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันเอาตอนนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องไร้เหตุผล

ชายชราตอบ “เป็นเพราะพวกนั้นรู้แล้วว่า ใครเป็นผู้คิดค้นทักษะในการเข้าถึงด่านทะลวงลมปราณโดยไม่ต้องอาศัยสายเลือด”

หัวใจของซูเฉินดิ่งฮวบ

ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี ?

อันที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรนัก

ตำราเปิดพลังไคฮวง มีตัวอักษรจากชื่อของฉือไคฮวงอยู่ในนั้นถึง 2 ตัว

ปราสาทของค้างคาวเมฆในแดนฝันก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น

เมื่อพิจารณาเบาะแสอื่น ๆ อีกมากมาย การระบุตัวผู้สร้างที่แท้จริงของตำราเปิดพลังไคฮวงก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย หากพวกเขามีความพยายามในการค้นหามากพอ

“พวกมันทำร้ายท่าน ?” ซูเฉินถามเสียงต่ำ

“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรขนาดนั้น” ฉือไคฮวงโบกมือแล้วหัวเราะ “ข้าต้องยอมรับว่าความมืดที่ข้าเคยได้เห็นมาก่อนนั้นเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเกินไป ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่สูงเกินกว่าที่ข้าจะรับรู้ได้ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านั้นไม่ได้กลัวทักษะที่ทำให้ผู้คนก้าวเข้าสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดเลย เพราะนั่นยังไม่เพียงพอที่จะสั่นคลอนรากฐานของพวกมันได้ อย่างไรก็ตามทักษะเข้าถึงด่านกลั่นโลหิต กับทักษะเข้าถึงด่านทะลวงลมปราณ ถูกพัฒนาขึ้นมาต่อเนื่องและรวดเร็วเกินไป จนเริ่มทำให้พวกมันกังวล … ”

ซูเฉินเข้าใจ “พวกนั่นสามารถอดทนกับทักษะเข้าถึงด่านทะลวงลมปราณโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดได้ เพราะนั่นจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเผ่ามนุษย์ทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถทนยอมรับทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารได้สินะ ?”

“ด่านสู่พิสดารเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 9 ใน 10 ของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทั้งหมดเป็นคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ทักษะเข้าถึงด่านทะลวงลมปราณโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือด จะส่งผลให้มีตระกูลชั้นสูงที่เป็นเลือดผสมมากขึ้น แต่อย่างน้อยมันก็ยังเรียกได้ว่ามีสายเลือด ไม่ใช่ไร้สายเลือด”

“หากทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดได้ถูกสร้างขึ้น นั่นจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ครั้งใหญ่ ในเส้นทางการบ่มเพาะของเหล่าผู้ไร้สายเลือด ที่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงอย่างมาก พวกมันไม่ต้องการให้ข้าค้นคว้าต่อดังนั้นพวกมันจึงพยายามที่จะเกณฑ์ข้ากลับเข้ากองทัพไป หลังจากข้ากลับไปอยู่ในกองทัพ เวลาว่างในมือก็คงแทบจะไม่มีอีกแล้ว”

“พวกไม่ต้องการให้ท่านมีเวลาค้นคว้า ?”

“นั่นคือสิ่งที่อาจารย์ใหญ่บอกข้า และมันก็เป็นความคิดของตระกูลสายเลือดพวกนั้นด้วย มีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก่อนที่ข้าจะทะลวงผ่านไปยังด่านต่อไปได้ มันก็คงจะไม่มีการเคลื่อนไหวแปลก ๆ อะไร”

ซูเฉินถอนหายใจ

ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าชายชราผู้นี้ แค่นั้นก็ดีพอแล้ว

ฉือไคฮวงกล่าวว่า “ข้าจะค้นคว้าทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือดต่อไป อย่างไรก็ตามข้ารู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะพัฒนาไปมากกว่านี้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถรับช่วงการวิจัยของข้าได้ ความสำเร็จของทักษะทั้ง 2 คงเรียกได้ว่าเป็นขีดจำกัดของข้า หนทางข้างหน้าขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เจ้าจะก้าวไปแล้ว”

ซูเฉินพูดอย่างกระวนกระวาย “แต่ข้ายังไม่ได้อยู่ในด่านสู่พิสดารด้วยซ้ำ ข้าจะทำได้อย่างไรกัน … ”

ชายชราโบกมือ “ทุกอุปสรรคมีไว้เพื่อฝ่าฟัน แค่เพราะเจ้าไม่ได้อยู่ในด่านสู่พิสดาร มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถพัฒนาทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารให้สำเร็จได้เสียหน่อย ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเว่ยเพ่ยเป็นผู้ทดสอบให้แล้วหรอกหรือ ? ในอนาคตเจ้าอาจจะได้ผู้ช่วยทดสอบเพิ่มอีกก็ได้ใครจะรู้ ก้าวไปด้วยความมั่นใจและลงมือทำมันซะ เจ้าเด็กน้อย ข้าเชื่อในตัวเจ้า !”