ฟ้าสว่างยามเช้าตรู่
ดวงตาของซูเฉินยังคงมีน้ำตาคลอปริมอยู่ ด้วยคำพูดของฉือไคฮวงยังคงสะท้อนอยู่ในหัวของเขา
ชายหนุ่มปาดน้ำตาและลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องวิจัย
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขามีหัวข้อการวิจัยที่ต้องทำเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารโดยไม่ต้องพึ่งสายเลือด
ด่านสู่พิสดาร มีความแตกต่างจาก 3 ด่านก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
ด่านก่อเกิดลมปราณ ด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณ ทั้ง 3 มีหลักพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการดึงศักยภาพที่แฝงอยู่ในร่างกายออกมา และปรับปรุงการควบคุมพลังต้นกำเนิดเหมือนกัน ทว่าด่านสู่พิสดารนั้นเป็นการยกระดับพลังชีวิตของผู้เชี่ยวชาญให้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
การจะทะลวงเข้าสู่ด่านสู่พิสดาร จำเป็นจะต้องมีการสร้างแท่นบงกชขึ้นเสียก่อน
แท่นบงกช เกิดขึ้นจากการรวมกันของพลังต้นกำเนิดกับพลังสายเลือดในร่างกายของพวกเขา
จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนกับอวัยวะใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในร่างกาย แต่หน้าที่หลักของอวัยวะนี้คือควบคุมการทำงานของพลังต้นกำเนิด เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถปรับใช้พลังต้นกำเนิดของตนได้ดีขึ้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวนี้เป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังช่องว่างขนาดใหญ่ ระหว่างด่านสู่พิสดารและด่านทั้ง 3 ก่อนหน้า
ขั้นตอนแรกในการสร้างแท่นบงกช คือการสร้างแบบจำลองอย่างง่ายภายในทะเลพลังต้นกำเนิด ซึ่งต้องใช้พลังต้นกำเนิดกับพลังสายเลือดจำนวนมาก เช่นเดียวกับองค์ประกอบของแท่นบงกชที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก อีกทั้งวิธีการสร้างก็พิเศษและเฉพาะเจาะจง ทำให้ขั้นตอนนี้ไม่เพียงแค่ยุ่งยากเท่านั้น แต่ยังอันตรายมากอีกด้วย
ซูเฉินไม่ได้อยู่ในด่านสู่พิสดาร แต่เขาต้องการที่จะพัฒนาทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารขึ้นมา ความยากลำบากที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ของงานนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มเขียนหนังสือโดยไม่รู้คำศัพท์เลยแม้แต่น้อย
แต่จะทำได้หรือไม่ ?
มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ปาฏิหาริย์ย่อมมีอยู่เสมอ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ไม่รู้หนังสือก็ยังสามารถสอนสั่งศิษย์ให้กลายเป็นนักวิชาการที่เก่งกาจได้ ผู้ที่ไม่มีกำลังแม้แต่จะจับไก่ก็ยังสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก ชีวิตคนเราก็มักจะเต็มไปด้วยภาพลวงตา ปาฏิหาริย์และเรื่องเหลือเชื่ออยู่เสมอ
แล้วมีเหตุผลอะไรที่คนผู้ยังไปไม่ถึงด่านสู่พิสดารจะพัฒนาทักษะเข้าถึงด่านสู่พิสดารขึ้นมาไม่ได้กัน ?
แม้ว่าซูเฉินจะยังไปไม่ถึงด่านสู่พิสดาร แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบบางอย่างที่ฉือไคฮวงไม่มี
เนตรมองโลกจุลภาค
ด้วยเนตรมองโลกจุลภาคของเขา ความเข้าใจในแก่นแท้ของวัตถุของซูเฉินเติบโตขึ้นมาไม่น้อย
อาทิเช่น แท่นบงกชที่ถูกสร้างขึ้นจากการรวมกันของพลังต้นกำเนิดและพลังสายเลือด แต่พลังสายเลือดก็คือวิธีการควบคุมพลังต้นกำเนิดในระดับสสารต้นกำเนิดรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นตราบใดที่ซูเฉินสามารถยกระดับความเข้าใจในสสารต้นกำเนิด เขาก็จะสามารถเอามันมาใช้แทนพลังสายเลือดได้
ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงจมดิ่งลงไปในการค้นคว้าทักษะเพื่อเข้าถึงด่านสู่พิสดารนี้
เวลาผ่านได้ไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่ง 1 ปีผ่านไปในพริบตา
ปีที่ผ่านมาซูเฉินปรุงยาที่เว่ยเพ่ยต้องการสำเร็จ และช่วยให้เขากลับสู่ด่านสู่พิสดารได้เรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของอีกฝ่ายในฐานะผู้ช่วยทดลอง ความเข้าใจเกี่ยวกับด่านสู่พิสดารของชายหนุ่มก็ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้เขาก็ไม่มีปัญหาอะไรกับโครงสร้างของแท่นบงกชแล้ว
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเขาเข้าใจขั้นตอนทั้งหมดที่จำเป็นในการสร้างแท่นบงกชแล้ว
แต่ก็ยังนับว่าห่างไกลจากความสำเร็จในการหาสิ่งมาแทนที่พลังสายเลือดอีกมาก
หลังจากที่เว่ยเพ่ยได้กลับสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว เขาก็ได้ประกาศปิดประตูเก็บตัวฝึกฝนในทันทีและยังไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ซูเฉินรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจที่จะหลบหน้าเขา และไม่ต้องการเป็นตัวทดลองให้ชายหนุ่มอีก
ซึ่งเมื่อไม่มีเว่ยเพ่ยงานวิจัย ซูเฉินก็เข้าสู่จุดคอขวด ทำให้ 3 ปีที่เหลือต่อจากนี้ ส่วนที่เขาประสบความสำเร็จได้นั้นมีน้อยมาก และสามารถทำการทดลองทางทฤษฎีได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
และแล้วอีก 3 ปีก็ได้ผ่านพ้นไป
ปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้วที่ซูเฉินอยู่ที่เมืองธารน้ำใสแห่งนี้
หลังจากนี้อีก 1 เดือนซูเฉินก็จะครบวาระในหน้าที่ของเขา ในเวลานั้นเขาสามารถแขวนมงกุฎ(1) และจากไปได้
วันนี้ซูเฉินกำลังพักผ่อนอยู่ที่ลานบ้าน ปิดตาของเขาลงเอนตัวบนเก้าอี้โยกที่โยกไปมาเบา ๆ เพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของลมที่พัดผ่านใบหน้า
ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็สัมผัสถึงบางอย่าง ก่อนจะกล่าวไปว่า “ออกมาเถอะ”
ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเกิดขึ้น
ซูเฉินถอนหายใจ เขาลุกขึ้นยืนเดินไปที่ภูเขาปลอมในลานบ้าน และเอื้อมมือไปด้านหลังภูเขานั่น
“โอ้ย โอ้ย เจ้าจะดึงหูข้าทำไม ?”
แล้วเยี่ยเม่ยก็ถูกซูเฉินลากออกไป
ชายหนุ่มปล่อยมือของเขาจากหูอีกฝ่าย “ข้าบอกให้เจ้าออกมา แต่เจ้าก็ไม่ออกมา”
“นั่นเป็นเพราะข้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกข้าอยู่” เยี่ยเม่ยกล่าวอย่างรู้สึกผิด
นางเดินตรงไปที่เก้าอี้ข้าง ๆ แล้วนั่งลง ก่อนจะคว้าผลอสรพิษสีชาตมากัดเนื้อเข้าไปเต็มปากอย่างน่ากิน
ซูเฉินไม่ได้สนใจนาง เขากลับไปที่เก้าอี้โยกของเขาหลับตาลงและกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา
เยี่ยเม่ยกินผลอสรพิษสีชาตไป 3 ผลรวด ก่อนจะตบหน้าท้องเบา ๆ และพูดว่า “รู้สึกดีจริง ๆ นี่ เจ้ามีอีกไหม ? ขอให้ข้าอีกตะกร้าสิ”
“ผลอสรพิษสีชาตนี้เติบโตอยู่ในดินแดนของเผ่าคนเถื่อน ดังนั้นปริมาณที่จะหาได้ในแต่ละปีจึงมีจำกัดมาก ที่เจ้าเพิ่งกินไปคือส่วนที่หวังโต้วซานส่งมาให้ข้าโดยเฉพาะและมีเพียงตะกร้าเดียว หลังจากให้อวิ๋นเป้ากับคนอื่น ๆ ไปแล้ว ข้าก็มีเหลืออยู่แค่ 6 ลูกเท่านั้น ข้ากินไป 3 ที่เหลืออีก 3 ก็ถูกเจ้ากินไปหมดแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยี่ยเม่ยก็หัวเราะขึ้น “ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้ถูกเวลายิ่งนัก ! หากช้ากว่านี้สักหน่อยมันคงจะไม่เหลือให้ข้าแล้ว”
ซูเฉินตัดบทอีกฝ่ายอย่างห้วน ๆ “ข้าเหลือมันไว้ให้ เพราะมันใกล้เวลาที่เจ้าจะมาแล้ว”
“ โอ้ ? เจ้ารู้ว่าข้ากำลังจะมา ? แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้ามาเพราะอะไร ?”
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมา แต่ในเมื่อมันใกล้เวลาที่ข้าจะไปจากที่นี่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าอารามนิรันดร์ไม่ได้วางแผนที่จะร่วมมือกับข้าอีก พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งคนมาคุยเกี่ยวกับแผนนการในอนาคตของข้า”
“เจ้านี่ช่างฉลาดเสียจริง” เยี่ยเม่ยบ่นพึมพำ “หัวหน้าอยากให้ข้ามาถามเจ้าว่า หลังจากที่เสร็จจากตรงนี้แล้วเจ้าได้วางแผนไว้หรือยังว่าจะไปทำอะไรที่ไหนต่อ ถ้าไม่ท่านว่ามีบางอย่างอยากจะให้เข้าทำ”
“เจ้ากำลังรอใหข้าพูดอะไรอย่าง ‘ตอนนี้ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนดี’ อยู่ใช่หรือไม่ ?”
เยี่ยเม่ยหัวเราะอีกครั้งและพูดว่า “อารามนิรันดร์มีงานให้ เจ้าสนใจหรือไม่ ?”
“งานประเภทไหน ?”
“จำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าเมื่อตอนมาถึงเมืองธารน้ำใสครั้งแรกได้หรือไม่ ?”
ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ “เจ้าหมายถึงเรื่องที่ว่า อารามนิรันดร์ดื่มโอสถปลุกวิญญาณกันมากไปจนแทบจะอาเจียน ?”
“ถูกต้อง !” นางปรบมือและกล่าวต่อ “แล้วข้าก็ได้ขอให้เจ้าช่วยปรุงยาตัวใหม่สัก 2-3 ชนิดใช่ไหม ?”
“ใช่ แต่หลังจากนั้นไม่นานข้าก็ร่วมมือกับอารามนิรันดร์เพื่อสร้างยาสามหยางขึ้น และก็ไม่ได้เป็นหนี้อะไรกับพวกเจ้าแล้วนี้”
เงื่อนไขข้อแรกที่ซูเฉินต่อรองเอาไว้กับอารามนิรันดร์คือหนี้ทั้งหมดของเขาจะหมดไป เมื่อไม่มีหนี้ต่อกันแล้วซูเฉินก็ไม่จำเป็นจะต้องปรุงให้อีกฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงคิดเสมอว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว
จนกระทั่งเยี่ยเม่ยเอามันมาพูดถึงอีกครั้ง
นางกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เป็นหนี้อารามนิรันดร์แล้ว อย่างไรก็ตามยาที่เราต้องการในตอนนี้คือยาที่ซื้อจากเจ้า เจ้าสามารถราคาต่อรองได้เลย เพราะช่วงนี้อารามนิรันดร์ของพวกข้ากำลังร่ำรวยขึ้นอย่างมาก”
เยี่ยเม่ยทำตัวอวดร่ำอวดรวย โดยลืมไปเสียสนิทว่าโชคลาภนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการมีส่วนร่วมของชายหนุ่ม
ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ข้านึกว่าพวกเจ้าจัดการเรื่องนั่นกันเสร็จแล้วเสียอีก”
“มันจะไปง่ายขนาดนั้นได้ยังไง ? สถานการณ์มันยุ่งยากจะตาย เราต้องใช้ทั้งยาวิญญาณโกลาหลทั้งยาวิญญาณกระจ่าง แต่ยาทั้ง 2 นี้ก็จำเป็นจะต้องใช้ดอกซากวิญญาณในการปรุงอีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ฟ้าฝนก็เป็นใจ ไม่ค่อยสร้างภัยให้ใครตายเลย ดอกซากวิญญาณจึงหายากยิ่งกว่าเก่า ถึงในที่สุดเราก็หาพบ แต่พวกมันก็ถูกนักปรุงยาไร้ฝีมือทำเสียของจนทำแผนล่าช้า เวลาก็เหลือไม่มาก หัวหน้าก็เริ่มกังวล นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เขาให้ข้ามาหาเจ้า ดูจากจำนวนของดอกซากวิญญาณที่เหลือในคลังและความสามารถในการปรุงยาแล้ว ก็คงจะมีเพียงเจ้าเท่านั้นแหละ ที่จะสามารถปรุงยาทั้ง 2 นี้เป็นจำนวนมากได้ในระยะเวลาสั้น ๆ”
ซูเฉินเหล่ตาของเขา “ฟังจากที่เจ้าพูด มันดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีคนอื่นให้ขอความช่วยเหลือได้แล้ว หมายความว่าข้าสามารถตั้งราคางาม ๆ ได้สินะ ?”
เยี่ยเม่ยปิดปากของนางด้วยความตกใจ “ข้าพูดมากเกินไปอีกแล้ว !”
ชายหนุ่มปลอบโยนคู่สนทนาอย่างใจเย็น “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าก็รู้ว่านี่คือเหตุผลที่ข้ายืนกรานให้เจ้าเป็นผู้ติดต่อกับข้า หากเป็นผู้อื่นข้าคงไม่แม้แต่จะรับฟังด้วยซ้ำ ก่อนอื่น บอกแผนที่พวกเจ้าจะทำโดยละเอียดให้ข้าฟังที ข้าจะได้คิดราคาที่เหมาะสมให้”
*****
ปล่อยวางในสิ่งที่ทำอยู่ / วางมือจากหน้าที่