ตอนที่ 358 หมอกควันและคลื่นสุดลูกหูลูกตา

พันธกานต์ปราณอัคคี

เฉิงหรูเยียนชุดแดงสะดุดตา รอยยิ้มสดใส ราศีลูกหลานตระกูลใหญ่เต็มตัว ไม่นานนักก็ดึงความคิดของมั่วชิงเฉินกลับมา

 

 

แล้วก็ได้ยินถังมู่เฉินเอ่ยว่า “ที่แท้คือสหายเต๋าเฉิง ไม่ทราบสหายเต๋าเฉิงเรียกเราสองพี่น้องไว้ด้วยเหตุอันใด?”

 

 

ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ถูกสะกดรอยตามเมื่อครู่อีกแต่อย่างใด

 

 

มั่วชิงเฉินแอบพยักหน้า ดูท่าทางถังมู่เฉินผู้นี้ปกติแม้พูดจาไม่มีแก่นสาร การกระทำกลับสุขุมพึ่งพาได้ พวกเขาเพิ่งมาถึงสามารถไม่ขัดแย้งกับอิทธิพลในท้องถิ่นได้ก็ไม่ขัดแย้ง เจตนาไม่พูดถึงเรื่องเมื่อครู่คือการให้ทางลงแก่ทั้งสองฝ่าย จะได้สะดวกในการเอาตัวรอด

 

 

สายตาเฉิงหรูเยียนกวาดผ่านหน้ามั่วชิงเฉินปราดหนึ่งแล้วก็ผ่านไป ไม่หยุดแม้สักนิดแล้วก็มองไปที่ถังมู่เฉินอีกครั้งว่า “ไม่ขอปิดบัง เรือสินค้าที่สหายเต๋าทั้งสองโดยสารมาเป็นลำเรือของบ้านข้าน้อย ข้าน้อยได้ยินคนคุมเรือเหล่าหยางพูดถึงท่วงท่าอันสง่างามเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครของสหายเต๋าทั้งสองโดยไม่เจตนา สามารถฆ่าปลากินกระดูกขั้นหก อีกทั้งยังเอาตัวรอดจากอันตรายของลมเซาะดำ จึงอดนับถือไม่ได้ ถึงได้ส่งลูกน้องสืบว่าสหายเต๋าทั้งสองพักอยู่ที่ได้ คิดจะมาคารวะในภายหลัง บัดนี้คิดดูแล้ว เป็นข้าน้อยต่างหากที่บุ่มบ่ามแล้ว”

 

 

ชายชุดแดงตรงหน้ายืนตัวตรง โทนเสียงเชื่องช้านิ่มนวล พูดจาฉะฉาน สายตาแฝงด้วยความจริงใจ

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกทันทีว่าคนผู้นี้พูดจาราศรัย เขาพูดตรงๆ ไม่ปิดบังว่าส่งคนสะกดรอยตาม กลับบดบังความกระอักกระอ่วนนั้นไปอย่างอัศจรรย์ ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร ก็ไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียความรู้สึก อย่างมากก็แค่มีใจระวังเท่านั้น

 

 

ส่วนนักบำเพ็ญเพียรที่มาจากต่างถิ่นเจอคนแปลกหน้าจู่ๆ ก็เข้ามาคุย มีใจคอยระวังก็เป็นเรื่องธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดา

 

 

“ในเมื่อเป็นเพียงการเข้าใจผิด สหายเต๋าเฉิงก็ไม่ต้องใส่ใจ ข้าและน้องสาวยังมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนแล้ว” ถังมู่เฉินระบายยิ้มกว้าง ลากมั่วชิงเฉินแล้วก็ไป

 

 

เฉิงหรูเยียนตะลึงกับร้อยยิ้มของถังมู่เฉินเล็กน้อย จากนั้นเดินหน้าไปก้าวหนึ่งว่า “สหายเต๋าทั้งสองช้าก่อน”

 

 

ถังมู่เฉินหยุดลง หมุนตัวมา กลับบังมั่วชิงเฉินไว้อย่างประหนึ่งเจตนาประหนึ่งไม่เจตนาว่า “เป็นอันใด หรือว่าสหายเต๋าเฉิงยังมีเรื่องอะไร?”

 

 

ครั้งนี้กลับเก็บงำรอยยิ้ม น้ำเสียงเย็นชาลง

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้านิ่งเรียบลงเช่นกัน ยืนอยู่หลังถังมู่เฉินมองชายชุดแดงที่จู่ๆ ก็ตื๊อเข้ามาผู้นี้อย่างเงียบๆ

 

 

พวกเขาเป็นคนต่างถิ่นไม่ผิด ทว่าหากเอาแต่อดทนอดกลั้น เช่นนั้นมีแต่ทำให้คนดูถูก ถึงเวลาเกรงว่าจะยิ่งยุ่งยาก

 

 

ไม่ว่าจะพูดเช่นไร นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนไม่ว่าไปถึงไหนก็ไม่ถึงกับต้องหดมือหดเท้า

 

 

ว่ากันตามปกติแล้วนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน ต่อให้เป็นศิษย์หัวกะทิในสำนัก ดับสูญยามฝึกตนอยู่ข้างนอกทางสำนักก็ไม่ค่อยได้สนใจนัก ทว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณก็ไม่เหมือนกันแล้ว

 

 

ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นสำนักใหญ่เช่นพรรคเหยากวง ศิษย์ระดับก่อแก่นปราณรวมทั้งหมดก็มีเพียงหลายสิบคน พูดได้ว่าแต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักของสำนัก เมื่อใดที่ดับสูญอยู่ข้างนอก หากเกิดเรื่องยามที่สำรวจเบาะแสแดนลี้ลับย่อมโทษผู้อื่นไม่ได้ หากถูกกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นของสักที่หนึ่งฆ่า เช่นนั้นสำนักย่อมไม่มีทางอยู่เฉย

 

 

สิบทวีปภาคตะวันออกแม้ไกลจากดินแดนเทียนหยวน กลับไม่ใช่ไม่มีการไปมาหาสู่กันเลย บวกกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณมีทิ้งตะเกียงเจ้าชะตาไว้ในสำนักอีก หากเกิดเรื่องจริง อย่างไรก็ไม่มีทางเหมือนอย่างนักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเหมือนโยนหินลงทะเล ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย

 

 

เฉิงหรูเยียนหัวเราะร่าขึ้นอีกว่า “สหายเต๋าทั้งสองมาจากแดนไกล บังเอิญโดยสารเรือของที่บ้านข้าน้อย เรียกได้ว่ามีวาสนา ข้าน้อยคิดจะทำหน้าที่ของเจ้าบ้านให้เต็มที่ เตรียมสุราเพื่อแสดงน้ำใจ หวังว่าสหายเต๋าทั้งสองจะให้เกียรติ”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง มั่วชิงเฉินพยักหน้าแผ่วเบาแทบไม่สังเกต

 

 

ชายชุดแดงผู้นี้บุคลิกสูงส่ง ดูไม่เหมือนคนอยู่ใต้อาณัติผู้อื่น เพียงแค่กินข้าวมื้อหนึ่งยังไม่ถึงกับกินพวกเขาเสีย หากเอาแต่ปฏิเสธกลับทำให้ดูใจคอคับแคบ ทั้งยังล่วงเกินคนอีก

 

 

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร มังกรแกร่งก็ไม่สู้งูเจ้าถิ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนเขาก็อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางเช่นกัน

 

 

“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณสหายเต๋าเฉิงแล้ว เราพี่น้องอยู่ในทะเลมานานวัน เปรี้ยวปากมานานแล้ว” ถังมู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก เจ้าหมอนี่จริงจังได้ครู่เดียว ก็เผยธาตุแท้อีกแล้ว

 

 

เฉิงหรูเยียนก็ชะงักงันเช่นเดียกัน จากนั้นยิ้มว่า “สหายเต๋าทั้งสองเชิญ”

 

 

ทั้งสองคนตามเฉิงหรูเยียนเดินไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ถึงหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง

 

 

ภัตตาคารนี้มีเพียงสองชั้น พื้นที่ที่ครอบครองก็ไม่นับว่ากว้างขวาง ดูจากภายนอกแล้วรูปแบบยิ่งไม่ต่างกันเท่าไรกับตึกรามบ้านช่องบนเกาะ ธรรมดาหยาบโลนยิ่งนัก มองไปก็คือร้านสุราที่ธรรมดามากร้านหนึ่ง

 

 

เฉิงหรูเยียนเพิ่งก้าวเข้าประตู เถ้าแก่ที่อยู่หลังตู้ก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเองว่า “คุณชายเจ็ด ท่านมาแล้ว”

 

 

เฉิงหรูเยียนไม่มีรอยยิ้มอย่างก่อนหน้านี้อีก สีหน้านิ่งเรียบอืมเสียงหนึ่งว่า “ห้องอักษรฟ้าหมายเลขหนึ่งยังเก็บอยู่หรือไม่?”

 

 

เถ้าแก่รีบโค้งตัวก้มศีรษะ ยิ้มระรื่นว่า “ดูท่านพูดเข้า ห้องอักษรฟ้าหมายเลขหนึ่งนอกจากเก็บไว้ให้คุณชายเจ็ด ใครที่ไหนจะเข้ามาได้ขอรับ”

 

 

เฉิงหรูเยียนเอี้ยวตัวแผ่วเบาว่า “สหายเต๋าทั้งสองเชิญ”

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนตามขึ้นข้างบนไป

 

 

เถ้าแก่ที่ยืนอยู่ที่ทางขึ้นบันไดแอบรู้สึกแปลกใจ คุณชายเจ็ดตระกูลเฉิงที่ไม่เคยเห็นใครในสายตาไยถึงปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทต่อสองคนนั้นถึงเพียงนี้?

 

 

แม้จะบอกว่าสองคนนั้นล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทว่าที่นี่ที่ไหน? เกาะหมายเลขสามสิบห้า นักบำเพ็ญเพียรในเซิงโจวมีใครไม่รู้บ้างว่าสิ่งที่เกาะหมายเลขสามสิบห้ามีมากที่สุดก็คือนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ!

 

 

ทว่าพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เถ้าแก่ตัวน้อยๆ อย่างเขาควรกังวล ความอยากรู้อยากเห็นแวบผ่านไป จากนั้นก็ปั้นหน้ายิ้มออกไปต้อนรับอีกว่า “อ้าว คุณชายหม่ามาแล้ว รีบเชิญข้างในขอรับ”

 

 

ที่เข้ามาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสามท่านเช่นกัน คนที่นำหน้าตัวค่อนข้างสูง หน้าตาแฝงด้วยความเย่อหยิ่งรางๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วเชิดคาง ตาไม่มองเถ้าแก่ว่า “ยังมีห้องอักษรฟ้าอีกหรือไม่?”

 

 

“ไอยา จังหวะช่างไม่ดีจริงๆ วันนี้ห้องอักษรฟ้าเต็มหมดแล้วขอรับ” เถ้าแก่ยิ้มเอาใจว่า

 

 

“เต็มแล้ว?” ชายที่นำหน้าขมวดคิ้วแผ่วเบา “เช่นนั้นก็ให้สละออกมาห้องหนึ่ง วันนี้ข้าพาสหายมา จะเสียมารยาทไม่ได้”

 

 

เถ้าแก้ทำหน้าลำบากใจว่า “คุณชายหม่า ห้องอักษรฟ้าทั้งหมดมีด้วยกันสามห้อง ห้องหมายเลขหนึ่งคุณชายเฉิงเจ็ดเพิ่งพาแขกเข้าไป ห้องหมายเลขสองคุณชายเผยสิบสามจองแล้ว ห้องหมายเลขสามคุณชายจู้ห้าจองแล้ว ท่านดูสิ นี่ช่าง…”

 

 

“เฉิงเจ็ด? เผยสิบสาม? จู้ห้า? ฮึ พวกเขาก็ตาไวมือเร็วดีนี่นา!” ชายที่นำหน้าสีหน้ายิ่งเย็นชาหนักขึ้น ในตาฉายแววเกลียดชังสายหนึ่ง เพียงแต่กลับไม่ดึงดันจะเอาห้องอักษรฟ้าอีก “เช่นนั้นก็เปิดห้องอักษรดินหมายเลขหนึ่งแล้วกัน”

 

 

“ขอรับ ขอรับ” เถ้าแก่ยิ้มอย่างเอาใจนำทั้งสามคนเข้าห้องอักษรดินหมายเลขหนึ่งด้วยตนเอง แล้วโค้งตัวถอยออกไป

 

 

เช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากทีหนึ่งในที่ลับตาคน แอบสงสัยคนเดียว

 

 

วันนี้เกิดอะไรขึ้น ตระกูลนักบำเพ็ญเพียรที่มีชื่อเสียงที่สุดของเซิงโจว คุณชายสายตรงของสี่ตระกูลในนั้นล้วนมาเกาะหมายเลขสามสิบห้าแล้ว อีกทั้งยังมาหอว่างไห่ด้วย

 

 

ไม่พูดถึงการเดาเองของเถ้าแก่แล้ว มั่วชิงเฉินตามเฉิงหรูเยียนขึ้นชั้นสองมาพร้อมกัน ก็มีสาวใช้สองคนนำทั้งสามคนเข้าห้องห้องหนึ่ง และเริ่มยกน้ำชาและอาหารขึ้นมา

 

 

ที่น่าตกตะลึงคือสาวใช้สองคนนั้นไม่คิดว่าล้วนมีตบะระดับสร้างรากฐานระยะหลัง นักบำเพ็ญเพียรหญิงตบะเช่นนี้มาเป็นสาวใช้ยกน้ำชารินน้ำ เกรงว่าคงมีแต่ห้องอักษรฟ้าถึงจะมีกระมัง

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อมั่วชิงเฉินเข้ามาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ประดุจมีประจุดไม่มีสายหนึ่ง คิดจะแยกแยะให้ละเอียดว่าเป็นกลิ่นอะไร กลับรู้สึกอีกว่ากลิ่นหอมแผ่กระจายออกแล้ว รอผ่อนคลายลง กลิ่นหอมก็แอบมาวนเวียนอยู่รอบตัวอีก

 

 

สายตาตกลงบนดอกไม้วิญญาณไม่กี่กระถังที่วางอยู่ที่ขอบหน้าต่างถึงกระจ่างแจ้ง ไม่คิดว่ากระถังดอกไม้นั่นจะทำจากหยกหอม

 

 

ภัตตาคารนี้ภายนอกธรรมดาไม่มีอะไรแปลกใหม่ ทว่าห้องอักษรฟ้าหมายเลขหนึ่งนี้กลับกว้างขวางมาก ดูเหมือนตั้งค่ายกลมิติอะไรไว้ ทำให้พื้นที่ขยายขึ้น

 

 

ของตกแต่งข้างในนับว่าไม่มาก กลับอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดูแวบหนึ่งไม่รู้สึกอะไร เมื่อใส่ใจสักหน่อยก็จะพบว่าของแต่ละสิ่งล้วนไม่ใช่ของธรรมดา

 

 

ตามที่สาวใช้สองคนยกอาหารอันโอชะขึ้นมาทีละอย่างๆ เฉิงหรูเยียนก็แนะนำทีละอย่างว่านี่เป็นอาหารอะไร ทำจากอสูรประหลาดหายากอะไร รอสุราอาหารวางเต็มโต๊ะแล้ว จึงโบกมือใส่สาวใช้สองคนว่า “พวกเจ้าถอยลงไปเถอะ”

 

 

“เจ้าค่ะ” สาวใช้สองคนหลุบตาต่ำ ถอยออกไปอย่างนอบน้อม

 

 

มั่วชิงเฉินแอบถอนใจ ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นใน ‘อรรถาธิบายทวีปแห่งเทพ’ มาก่อน สิบทวีปภาคตะวันออกแตกต่างจากดินแดนเทียนหยวน เป็นสถานที่ที่มีตระกูลนักบำเพ็ญเพียรเป็นใหญ่

 

 

ก่อนนี้อยู่ในทะเลยังไม่รู้สึก ทว่าถึงที่นี่แล้ว เห็นนักบำเพ็ญเพียรหญิงระดับสร้างรากฐานระยะปลายเป็นสาวใช้ในภัตตาคาร พินอบพิเทาต่อแขก ก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างนี้อย่างลึกซึ้ง

 

 

และความรู้สึกชนิดนี้ อย่างไรก็แตกต่างจากยามที่อยู่ตระกูลมั่วสมัยเด็ก ในตระกูลมั่ว ฐานะตำแหน่งเป็นเช่นไรสุดท้ายยังคงต้องดูที่ตบะ ทว่าที่แห่งนี้ เกรงว่าจะปรากฏเหตุการณ์ที่นักบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ไร้รากฐานมีมารยาทเจียมเนื้อเจียมตัวต่อนักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณหรือกระทั่งคนธรรมดาที่มีตระกูลคอยหนุนหลัง

 

 

ทว่าคิดอีกที นั่นก็เพราะในตระกูลของคนเขามีนักบำเพ็ญเพียรชั้นสูง ภายใต้การปกปักรักษาของนักบำเพ็ญเพียรชั้นสูงลูกหลานธรรมดาถึงวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ ว่าไปแล้ว ที่นี่ดูเหมือนจะปลูกฝังแนวคิดความสามารถเป็นใหญ่ได้อย่างยิ่งเด็ดขาด

 

 

“สหายเต๋าทั้งสองมาจากแดนไกล น่าจะยังไม่เคยมาหอว่างไห่กระมัง?” เฉิงหรูเยียนอมยิ้มว่า

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนแม้รู้ว่าเขาปฏิบัติตนอย่างมีมารยาทเช่นนี้ต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่ กลับก็ข่มอารมณ์ไว้ได้ จึงพยักหน้าว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

“เช่นนั้นทั้งสองรู้สึกว่าที่นี่เป็นเช่นไร?”

 

 

ถังมู่เฉินโบกพัดตามสบายว่า “งามสง่าน่ารื่นรมย์ เป็นสถานที่ที่ดีในการดื่มสุรา”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มไม่ตอบ

 

 

ทันใดนั้นเฉิงหรูเยียนก็ลุกขึ้นมาว่า “ที่ที่อัศจรรย์ของที่นี่ทั้งสองท่านยังไม่เห็น ขอเชิญสหายเต๋าทั้งสองมาชมเสียหน่อย”

 

 

พูดพลางยื่นมือผลักหน้าต่างออก

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนเดินไปถึงข้างหน้าต่าง ต่อให้มีใจระวังแล้วก็ยังอดตื่นตะลึงจนเบิกตากว้างไม่ได้

 

 

เห็นเพียงที่ที่ไกลออกไปนอกหน้าตา คือทะเลที่แสงคลื่นระยิบระยับ บนทะเลคลื่นหมอกควันคละคลุ้ง ราวกับแดนสุขาวดี

 

 

เมฆและหมอกควันพวกนั้นม้วนทะยานตามลม ทันใดนั้นศาลาพับพลาปักษาสิงสาราสัตว์ ต่อจากนั้นทิวทัศน์เปลี่ยนไป มีทั้งเทือกเขาสลับซับซ้อน น้ำตกจากยอดเขา หลังจากนั้นชั่วครู่เมฆหมอกพลิกผัน ปรากฏภาพตลาดที่ครึกครื้นไม่ธรรดาอีก ทั้งที่ไม่มีเสียง ทว่าความอึกทึกเช่นนั้นดูเหมือนจะถ่ายทอดทะลุผ่านเมฆหมอกเหนือทะเลข้ามมาได้

 

 

ที่แห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเห็นภาพลวงตาได้!

 

 

“หอว่างไห่นี้ดูเหมือนไม่มีอะไรแปลกใหม่ ความจริงยืนอยู่ในห้องอักษรฟ้า แต่เพราะตั้งค่ายกลมิติพิเศษไว้ จึงสามารถเห็นทิวทัศน์อัศจรรย์ที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นสามารถเห็นภาพลวงตาได้ตลอดทั้งปี ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าคือเพียงชั่วครู่ก็จะเปลี่ยนไป หากยืนอยู่ที่นี่หนึ่งวัน จะเห็นทิวทัศน์น่าอัศจวรรย์มากมายในโลกมนุษย์” เฉิงหรูเยียนเอ่ยเนิบๆ ในน้ำเสียงแฝงด้วยความภูมิใจเล็กน้อย

 

 

ในห้องอักษรฟ้าตั้งค่ายกลมิติไว้ ตำแหน่งของที่นี่เป็นของปลอม ทว่าวิวทะเลอัศจรรยนั้นกลับเป็นของจริง ในตามั่วชิงเฉินและถังมู่เฉินต่างฉายแววชื่นชมและตื่นตะลึงอย่างไม่ปิดบัง รู้สึกเพียงว่าการสร้างสรรค์ของฟ้าดิน ช่างอัศจรรย์อย่างหาใดเปรียบมิได้

 

 

ต่อให้พวกเขาเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว ทว่าต่อหน้าธรรมชาติฟ้าดินแล้วยังคงกระจ้อยร่อยปานนั้น เรื่องราวสิ่งของมากมายปล่อยให้พวกเขาสำรวจไปทั้งชีวิต ก็เกรงว่าไม่อาจเห็นได้หมด

 

 

ทว่าจะเป็นอะไรไปล่ะ นางได้เดินไปตามทางที่ตนชอบที่สุดแล้ว ขอเพียงเดินได้ไกล อย่างไรก็ต้องได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่มากขึ้น สัมผัสความอัศจรรย์ที่มากกว่านี้

 

 

เช่นนี้ ถึงจะไม่เสียดายที่ได้เกิดมาชาตินี้อย่างแท้จริงกระมัง

 

 

ถนนเบื้องหน้างดงามเหลือเกิน ไม่ว่าเรื่องใดๆ หรือใคร ล้วนไม่มีทางทำให้นางหยุดฝีเท้าได้