ตอนที่ 359 คำเชิญของเฉิงหรูยวน

พันธกานต์ปราณอัคคี

จิตบำเพ็ญของมั่วชิงเฉินประสานแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างโดยไม่รู้ตัว หน้าตาผ่องใสมากยิ่งขึ้น เสมือนหิมะขาวบนภูเขา แสงจันทร์กลางเมฆหมอก แลเปี่ยมด้วยไมตรีแต่ก็ยากจะชิดใกล้

 

 

‘หญิงงามเปรียบประหนึ่งดอกไม้ถูกเมฆากั้น’ ไม่รู้ว่าเหตุใดในความคิดของเฉิงหรูยวนที่คอยจับสังเกตท่าทีของทั้งสองคนจึงมีประโยคนี้ปรากฏขึ้นมา สายตาของเขาเย็นชาขึ้นในฉับพลัน นานมาแล้วที่ตนไม่มีรู้สึกสั่นคลอนเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของสตรี หญิงผู้นี้แม้จะสวย แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น จะควรค่าแก่การผูกสัมพันธ์หรือไม่ก็ยังต้องดูฝีมือของนาง

 

 

หลังจากนั้นด้วยการนำทางของเฉิงหรูยวนทั้งสามคนก็พากันดื่มอย่างเพลินใจ

 

 

ถังมู่เฉินมีนิสัยรักสนุกอยู่แล้วแต่เดิม การดื่มกิน ชมทิวทัศน์ ลิ้มรสชาถือเป็นเรื่องถนัดของเขา พอได้พูดคุยย่อมต้องไม่หยุดปาก คนอื่นได้เห็นย่อมคิดว่ากลุ่มเพื่อนสนิทกำลังดื่มเหล้าสนทนาพาที แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่มีประโยชน์แม้แต่ประโยคเดียวก็ยังไม่ได้พูดออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจดีว่าการที่ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้เลี้ยงรับแขก ณ ที่แห่งนี้ย่อมต้องมีสิ่งต้องการพูดรออยู่ แต่ในเมื่อเขาไม่พูด พวกนางย่อมไม่ร้อนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็มีถังมู่เฉินคอยรับเป็นด่านหน้าอยู่ นางเป็นเพียงสตรีเพียงแค่นั่งเงียบส่งยิ้มให้ก็พอ

 

 

ในเวลาเช่นนี้จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงข้อดีเพียงเล็กน้อยที่ผูกสัมพันธ์กับถังมู่เฉินไว้ แน่นอนว่า เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับโชคร้ายที่เขาเป็นคนนำพามาแล้วย่อมไม่มีค่าควรแก่การเอ่ยถึง

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ รอจนอาหารและเหล้าเริ่มลดลง เฉิงหรูยวนวางตะเกียบพูดว่า “วันนี้ได้มาสนทนาพาทีกับสหายเต๋าทั้งสอง ใจของหรูยวนยินดียิ่งนัก พูดอย่างไม่ปิดบังข้าน้อยยังอยากขอเชิญสหายเต๋าทั้งสองทำธุระเรื่องหนึ่ง”

 

 

“อย่า อย่าเลย สหายเต๋าเฉิง ท่านอย่าได้ทำให้ข้าคนสกุลถังลำบากใจเลย ที่ข้าพาน้องสาวออกมาก็เพื่อจะออกเดินทางไปรอบๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำเรื่องอันใด อีกทั้งท่านก็เห็นว่าเรื่องสนุกสนานเฮฮาข้าทำได้ หากเป็นเรื่องจริงจังย่อมไม่ได้การเป็นแน่ ใช่หรือไม่น้องข้า” ถังมู่เฉินพูดด้วยท่าทางยิ้มแย้ม พลางหันไปมองมั่วฉิงเชิน

 

 

มั่วฉิงเชินลอบยินดีชื่นชมอยู่ในใจ คำพูดหน้าไม่อายเช่นนี้มีเพียงถังมู่เฉินเท่านั้นที่กล้าพูดได้อย่างเปิดเผยและยังเป็นธรรมชาติ

 

 

“แท้จริงแล้วก็เป็นพี่ถังนี่เอง พี่ถังอย่าได้รีบปฏิเสธไป ฟังข้าพูดจบก่อนดีหรือไม่” เฉิงหรูยวนมีท่าทีอบอุ่นมีไมตรี แต่ในหัวนั้นรีบคิดคำนึงถึงพื้นที่บริเวณรอบข้างนี้มีตระกูลสกุลถังหรือไม่ คิดอยู่นานแต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา จึงลอบตัดสินใจต้องให้คนไปลองสืบดูเสียหน่อย

 

 

“เช่นนั้นน้องเฉิงก็พูดเถิด ข้าเพียงแต่ฟังเท่านั้นนะ” ถังมู่เฉินพูดจบก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อมังกรทอดกรอบ กินอย่างเอร็ดอร่อย

 

 

แล้วยังหันไปส่งกระแสจิตกับมั่วชิงเฉินต่อ “น้องข้า ได้ยินที่เจ้านั่นพูดหรือไม่ เนื้อมังกรทอดกรอบนี้ทำมาจากเนื้อส่วนท้องชิ้นหนึ่งของสัตว์อสูรมังกรเขียวขั้นเจ็ดเชียว รสชาติเยี่ยมยอด พลังวิญญาณเต็มเปี่ยม บำรุงกำลังชะงัดนัก เจ้ารีบกินเข้า อย่าลืมว่าถุงเก็บวัตถุของพวกเราไม่มีแล้ว อยากจะกินข้าวมื้อต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไรกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินลอบกรอกตามองบน เจ้ายังกล้าพูดออกมาอีก แต่พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงรีบจับตะเกียบยื่นมือไปคีบไว้ ที่สำคัญคือเนื้อมังกรทอดกรอบนี้มีรสชาติเอร็ดอร่อยจริง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มีความอยากอาหารระดับน้อยนิดแล้วนั้น เมื่อได้ลิ้มรสก็อดไม่ได้ที่จะเกิดอาการเปรี้ยวปากขึ้นมา

 

 

เสียงของเฉิงหรูยวนไม่รีบร้อนและไม่เอื่อยเฉื่อย มีจังหวะหมือนทุกอย่างอยู่ในการควบคุมประหนึ่งสิ่งที่ผู้นำมีจนเคยชิน “เป็นเช่นนี้ มีสถานที่ลับแห่งหนึ่งที่ถูกควบคุมโดยตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรหลายตระกูลร่วมมือกัน เพื่อที่จะทดสอบคัดเลือกลูกศิษย์ ที่แห่งนี้ไม่นานจะถูกเปิดออก ไม่ว่าลูกศิษย์ที่เข้าไปในสถานที่ลับได้ของชิ้นใดออกมา ก็จะได้คุณสมบัติมุ่งหน้าไปยังเฟิ่งหลินโจว และสิ่งที่ข้าต้องการได้มาก็คือคุณสมบัตินี้”

 

 

“อ๋อ” ถังมู่เฉินรับคำอย่างไม่ใส่ใจ

 

 

นัยน์ตาของเฉิงหรูยวนปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาแวบหนึ่งแล้วหายไป เขาเป็นศิษย์สายตรงของตระกูลเฉิง และยังบำเพ็ญเพียรมาถึงระดับก่อแก่นปราณ พูดได้ว่ามีคนมากมายชื่นชมยินยอ แม้ว่าบนเกาะหมายเลขสามสิบห้าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่แก่นปราณอยู่ทุกที่ แต่เมื่อพบเขาก็ยังต้องเกรงใจเรียกว่าคุณชายเจ็ด

 

 

คำเชิญเช่นนี้เขาเองก็เคยเสนอกับผู้อื่น คนเหล่านั้นมีทั้งตอบรับด้วยความยินดี มีทั้งลังเลไม่แน่ใจ มีทั้งปฏิเสธออกมาโดยตรง ไม่ว่าเป็นรูปแบบไหนก็ไม่มีใครละเลยไม่สนใจเช่นนี้

 

 

แต่เขาก็จัดการความรู้สึกตนเองอย่างรวดเร็ว

 

 

เขาไม่ใช่ศิษย์เสเพลสำมะเลเทเมาในตระกูลเหล่านั้น ที่หยิ่งผยองเพราะชาติกำเนิดทำตัวโอ้อวดถือดีไปทั่ว ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรที่มีระดับสูงกว่าตนเองก็ยังเผยนิสัยถือดีอย่างคุณชายออกมา

 

 

เขามองออกว่าคู่พี่ชายน้องสาวทั้งสองคนตรงหน้าจะต้องมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เกรงว่าชาติกำเนิดคงไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าตนเอง

 

 

คนเช่นนี้ต่อให้นิสัยจะไม่ถูกโฉลก แต่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้ขุ่นเคือง

 

 

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เขายังไม่ได้มีความสามารถถึงขั้นที่จะแสดงอารมณ์ออกมาได้ตามใจชอบต่อหน้าคนที่ไม่ถูกชะตา

 

 

“ไม่ปิดบังพี่ถัง ข้าน้อยไม่ได้เพียงแต่เชื้อเชิญท่านทั้งสองเท่านั้น ตอนนี้มีสหายเต๋าสามท่านที่ตอบรับร่วมเดินทางแล้ว” เฉิงหรูยวนพูด

 

 

จากที่เขาดูแล้วสตรีบำเพ็ญตนผู้นั้นนิ่งเงียบไม่พูดจา ดูท่าทางคงจะฟังความเห็นของพี่ชายทั้งหมด ขอเพียงเกลี่ยกล่อมชายบำเพ็ญเพียรผู้นี้ได้ เรื่องราวก็จะประสบความสำเร็จ

 

 

มั่วชิงเฉิงรู้ว่าที่เขาพูดเช่นเพื่อทำให้พวกเขาสบายใจ แต่เรื่องนี้พอได้ฟังก็รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งชิงดีของตระกูล พวกเขามาที่นี่ถือเป็นเรื่องไม่ได้ตั้งใจอยู่แล้ว ไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ได้อีก

 

 

“พี่เฉิง ท่านไม่รู้อะไร ข้านั้นขี้ขลาดมาตลอด ไม่กล้าเข้าไปบุกรุกพื้นที่ลับเหล่านั้น ใครจะไปรู้ว่าภายในมีอันตรายอะไรรออยู่ ไม่สู้ว่าไปกำจัดอสูรปีศาจเหล่านั้นแลกหินพลังวิญญาณ ดื่มเหล้าชมจันทร์อีกเสียหน่อย หญิงงามอยู่ในอ้อมอก นั่นไม่ใช่ค่ำคืนดุจเซียนเทพเช่นนั้นหรือ” ถังมู่เฉินแสดงท่าทาง เจ้าย่อมเข้าใจ ออกมา

 

 

เฉิงหรูยวนกลับฟังออกว่า เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นกว้างมากเกินไป

 

 

ว่ากันตามเหตุผลแล้วตราบใดที่ยังไม่ได้สืบเสาะความเป็นมาของทั้งสองคนอย่างละเอียด รายละเอียดของเรื่องนี้เขาเองก็ไม่อยากพูดออกไปมากนัก แต่ดูท่าทางระมัดระวังของพี่น้องทั้งสองคน หากไม่พูดออกมาตามจริง พวกเขาจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน

 

 

เมื่อนึกถึงคำพูดของชายพายเรือเหล่าหยางเล่าว่าสองคนนี้กำจัดปลากระหายกระดูกขั้นหกได้ ใจของเฉิงหรูยวนรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในทันใด ไม่ได้ หากว่าเขาเกลี่ยกล่อมสองคนนี้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจจะได้ประโยชน์ไป

 

 

“เป็นข้าที่พูดไม่ละเอียด พื้นที่แห่งนั้นถูกค้นพบมานานกว่าพันปีแล้ว ปกติทุกๆ ห้าสิบปีจะถูกเปิดออกครั้งหนึ่ง ตระกูลทั้งหลายที่ถือสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ลับยังอนุญาตให้ผู้บำเพ็ญตนคนอื่นในเซิงโจวเข้าไป เพียงแค่ตอนออกมาต้องมอบของจำนวนสามส่วนของสิ่งที่หามาได้ให้ไป ฉะนั้นสถานการณ์โดยรวมของพื้นที่ลับผู้บำเพ็ญตนบางส่วนในเซิงโจวล้วนเคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น แน่นอนว่าการเปิดครั้งนี้ก็เพื่อที่จะดูว่าในกลุ่มพวกเรามีใครสามารถได้รับคุณสมบัติมุ่งหน้าไปยังเฟิ่งหลินโจว นอกจากผู้ช่วยที่พวกเราแต่ละคนพาเข้าไปแล้ว คนอื่นไม่อาจเข้าไปได้”

 

 

ความหมายของเฉิงหรูยวนคือพื้นที่ลับแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ลับ ไม่มีใครรู้จัก

 

 

พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนเข้าใจแจ่มแจ้ง ล้วนนั่งฟังอยู่เงียบๆ ถังมู่เฉินกินไม่หยุด แต่ท่าทางกลับสง่างามน่าหลงใหล แสดงท่าทีได้รับการสั่งสองมาอย่างดี

 

 

“ผู้ที่มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ลับล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ ทุกคนได้รับอนุญาตให้นำผู้ช่วยเข้าไปได้ห้าคน หินวิญญาณและโอสถวิญญาณทั้งหมดที่ผู้ช่วยทั้งห้าต้องใช้ข้าน้อยจะเตรียมไว้ให้ หลังจากที่จัดการเรื่องราวเสร็จแล้วข้าน้อยยังจะมอบอาวุธวิเศษระดับสูงและวิชาลับส่วนหนึ่งให้สหายธรรมทุกท่าน หากไม่สำเร็จข้าน้อยก็ยังจะมอบอาวุธวิเศษให้ทุกท่านเพื่อตอบแทนน้ำใจ” เฉิงหรูยวนพูดเงื่อนไขออกมา

 

 

ใจของมั่วชิงเฉิงกระตุกเล็กน้อย พูดถึงอาวุธวิเศษนางไม่ได้ใจเต้นเท่าไรนัก เมื่อมีอาวุธวิเศษประจำกายอยู่แล้ว สิ่งอื่นล้วนเป็นสิ่งที่เสริมให้ดียิ่งขึ้น แต่วิชาลับนั้นไม่เหมือนกัน

 

 

เมื่อมาถึงระดับก่อแก่นปราณ วิชาอาคมไม่ใช่สิ่งที่มีอำนาจเพียงเล็กน้อยที่มีหรือไม่มีก็ได้เหมือนช่วงจู้จี้ แต่ต้องใช้พร้อมกับอาวุธวิเศษ ทั้งอาวุธวิเศษ และวิชาอาคม หากผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป เวลาต่อสู้นั้นอาจกลายเป็นตัวถ่วงได้

 

 

ตามที่พูดสืบต่อกันมาเมื่อผู้บำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อกำเนิด ผู้กล้ามากความสามารถเหล่านั้นจะรับรู้ได้ถึงอำนาจแห่งฟ้า สรรค์สร้างทางเดินเชื่อมกับเทพเทวดา ถึงเวลานั้นวิชาอาคมมีความสำคัญมากกว่าอาวุธวิเศษมากนัก

 

 

วิชาลับนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาอาคม แต่กลับมีพลังอำนาจที่แปลกประหลาดยากคาดเดามากกว่านัก ยากที่จะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะวิชาลับจากดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออก นางยิ่งอยากจะเรียนรู้ดูสักครั้ง อย่าเช่นวิชาพรางตัวที่ได้เห็นในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนไม่มีให้เห็น

 

 

เหยื่อล่อสิ่งนี้สำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้วถือว่ามีอำนาจมากนัก

 

 

“ข้าสามารถพูดออกมาอย่างไม่ปิดบัง พื้นที่ลับแห่งนั้นแม้จะมีอันนตรายไม่น้อย มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณถึงจะเข้าไปได้ แต่อาศัยเพียงพวกเราร่วมมือกันเรื่องความปลอดภัยย่อมรับประกันได้อย่างแน่นอน” เฉิงหรูยวนพูด

 

 

มั่วฉิงเชินลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ คนผู้นี้ที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณกล้าเข้าไปที่พื้นที่ลับ สำหรับพวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเหมือนกันสิ่งที่กลัวนั้นย่อมไม่ใช่ความอันตรายของสถานที่ลับแห่งนั้น แต่เป็นคน!

 

 

เฉิงหรูยวนเหมือนจะคิดได้ถึงความคิดของทั้งสองคน พูดต่อว่า “ครั้งนี้คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปล้วนเป็นศิษย์เอกสายตรงของตระกูลต่างๆ ดังนั้นจึงมีกฎที่รู้กันเองว่า เพื่อที่จะแย่งชิงของสิ่งนั้นสามารถแก่งแย่งได้ แต่ไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายจนถึงแก่ชีวิต หากออกมาจากพื้นที่ลับแล้วความโกรธแค้นทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวข้องกันอีก รวมถึงผู้ช่วยเหล่านั้น ยิ่งไม่อาจติดใจเอาความ คนอื่นออกแรงพวกข้าออกทรัพย์ แค่เพียงร่วมมือกันชั่วคราวเท่านั้นเอง คนอย่างพวกข้าล้วนเข้าใจกฎดี”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มเล็กน้อย คำพูดนี้ฟังแล้วไม่เลว ทำให้ความกังวลของพวกเขาสหายหายไป แต่หากลองคำนึงดูให้ดีก็ยังสามารถมองบางอย่างออก

 

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น พูดแค่เพียงเรื่องที่ไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายจนถึงแก่ชีวิต เกรงว่าคงหมายถึงลูกหลานสายตรงของตระกูลเหล่านั้นเช่นพวกเขาเสียมากกว่า สำหรับผู้ช่วย แน่นอนว่าเพื่อที่จะทำให้เจ้านายของตนได้สิ่งของไปย่อมสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

ที่จริงแล้วเรื่องนี้นางไม่ได้กลัว เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงระดับสูงการที่คิดจะครอบครองอาวุธวิเศษหรือวิชาอาคมที่ได้ดั่งใจสักชนิดหนึ่ง หรือจะเป็นหญ้าสวรรค์ โอสถวิญญาณล้วนยากลำเข็ญ ไม่สนใจว่าต้องสู้กับลิขิตฟ้า หรือกับคน ในเมื่อคนที่เข้าไปในพื้นที่ลับล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทั้งสิ้น จำนวนก็เท่านั้น นางยังมีอะไรต้องกลัวอีก

 

 

จริงๆ แล้วสิ่งที่นางเป็นกังวลคือหลังจากจบเรื่องแล้ว หากว่าเกิดความโกรธแค้นกันในพื้นที่ลับ ศิษย์ในตระกูลอื่นจะกลับมาแก้แค้นหรือไม่ หากสิ่งที่ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้พูดเป็นเรื่องจริงก็สามารถเก็บมาพิจารณาได้

 

 

ถังมู่เฉินหยิบแก้วเหล้าขึ้นมากระดกรวดเดียวหมด จากนั้นก็มองและส่งยิ้มกว้างให้เฉิงหรูยวน “พี่เฉิง พูดมาตั้งนานท่านเองก็เหนื่อยแล้ว เช่นนี้ก็แล้วกัน ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะต้องออกเดินทางยามใด พวกข้าสองพี่น้องเกรงว่าต้องพิจารณาให้ดีเสียหน่อย”

 

 

เฉิงหรูยวนยิ้มบางๆ “กว่าพื้นที่ลับจะถูกเปิดยังมีเวลากว่าหนึ่งปี การที่จะเดินทางไปที่นั่นใช้เวลาประมาณครึ่งปี ดังนั้นทั้งสองท่านยังมีเวลากว่าครึ่งปีเพื่อที่จะพิจารณาดูให้ดี หากทั้งสองท่านคิดดีแล้ว ครึ่งปีให้หลัง ณ ที่แห่งนี้ โปรดรอหรูยวนอยู่ที่นี่ หากไม่มาหรูยวนก็จะไม่รอทั้งสองท่าน ภายในเวลาครึ่งปีนี้หรูยวนจะไม่รบกวนท่านทั้งสอง”

 

 

มั่วฉิงเชินเม้มปาก คนผู้นี้ถือว่าเปิดเผยนัก เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังต้องถาม

 

 

“พี่เฉิง ตัวข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ อยากขอสอบถามให้กระจ่างเสียหน่อย”

 

 

เฉิงหรูยวนนิ่งไป นานขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้ยินหญิงบำเพ็ญตนผู้นี้พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก “แม่หญิงเชิญพูดเถิด”

 

 

มั่วชิงเฉินลอบยิ้มเยาะ สมกับเป็นสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง คำเรียกสำหรับหญิงบำเพ็ญเพียรไม่ใช้คำว่าหญิงเซียน แต่เป็นแม่นาง

 

 

“พี่เฉิงเพียงแค่ฟังคำข้างเดียวของผู้อื่น ก็มาเชื้อเชิญพวกข้าสองพี่น้องให้ช่วยเหลืออย่างเปี่ยมด้วยน้ำใสใจจริง ไม่กลัวว่าพวกเรามีฝีมือไม่เท่าชื่อเสียงเช่นนั้นหรือ อีกทั้งพี่เฉิงไม่กลัวว่าจะเสียตัวเลือกที่ดีกว่าเช่นนั้นหรือ”

 

 

เฉิงหรูยวนหัวเราะ “หรูยวนขอไขข้อข้องใจให้แม่หญิง เหล่าหยางแม้จะเป็นเพียงคนรับใช้ในบ้าน แต่กลับมีนิสัยมั่นคง สายตาแหลมคมยิ่งนัก ไม่เคยพูดเพ้อพก ในเมื่อเขาบอกว่าทั้งสองท่านมีฝีมือสูงส่ง เช่นนั้นย่อมไม่ผิดเป็นแน่ สำหรับตัวเลือกที่ดีกว่านี้ หรูยวนบอกได้ว่า ที่แห่งนี้อาจจะมีผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความสามารถยอดเยี่ยมกว่าท่านทั้งสอง แต่กลับไม่มีที่เหมาะสมกว่าท่านทั้งสองอีกแล้ว”

 

 

“หืม เป็นเพราะเหตุใดหรือ” ถังมู่เฉินโบกพัดเข้ามาร่วมวงสนทนา