ตอนที่ 360 การบุกเบิกอันยิ่งใหญ่

พันธกานต์ปราณอัคคี

เฉิงหรูยวนเงยหน้าและยิ้มออกมา “คิดว่าทั้งสองคนคงเคยได้ยินมาแล้ว พื้นที่เซิงโจวของพวกเราเป็นสถานที่ฝึกบำเพ็ญวิทยายุทธ์เข้าสู่สายเต๋า พื้นที่หยวนโจวที่ใกล้เคียงนั้นใช้การฝึกกายในการบำเพ็ญ เฟิ่งหลินโจวที่ห่างออกไปอีกหน่อยมีผู้ฝึกกระบี่จำนวนมาก พื้นที่อีกหลายแห่งที่เหลืออยู่นั้นอยู่ห่างออกไปไกล มีผู้บำเพ็ญจำนวนน้อยที่จะมาที่นี่ ทั้งสองท่านล้วนเป็นผู้ฝึกวิชาเต๋าตามขนบเดิม ฝีมือการรับมือศัตรูย่อมต้องแตกต่างจากพวกข้า และนี่คือสิ่งที่ข้าน้อยต้องการ”

 

 

ในความคิดของเขาจิตบำเพ็ญเพียรมีข้อจำกัดอยู่แล้ว ล้วนเป็นช่วงระดับก่อแก่นปราณทั้งสิ้น เช่นนั้นฝีมือแม้จะมีสูงมีต่ำแต่กลับไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก โดยเฉพาะผู้ช่วยเหล่านี้ล้วนต้องคัดเลือกอย่างรอบคอบ หากมีวิธีรับมือศัตรูที่ต่างออกไป ก็อาจได้รับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด

 

 

ไม่เห็นลูกศิษย์ของตระกูลต่างๆ พอเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่แต่งกายเป็นผู้ฝึกวิชาก็รีบปรี่เข้าไปล่อหลอกเอาไว้เช่นนั้นหรือ

 

 

เฉิงหรูยวนพูดสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างชัดเจนแล้ว จะนั่งต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก ทั้งสามคนจึงเอ่ยลากันตรงนั้น

 

 

ออกมาจากหอวั่งไห่ พวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนก็ค่อยๆ เดินไปยังทิศทางมุ่งหน้าไปตลาดอย่างช้าๆ

 

 

“น้องข้าๆ ไปตลาดทำอะไรกัน หรือเจ้าคิดจะเอาเขี้ยวและเม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหก

 

 

ไปขายเช่นนั้นหรือ” เสียงกระแสจิตของถังมู่เฉินดังขึ้นมาเบาๆ

 

 

ในตัวปลากระหายกระดูกมีเพียงเขี้ยวทั้งสองข้างในปากและเม็ดพลังเท่านั้นที่มีราคา ในตอนนั้นเพื่อที่จะไถ่โทษถังมู่เฉินตัดสินใจมอบของเหล่านี้ให้กับมั่วชิงเฉิน

 

 

แน่นอนว่ามั่วชิงเฉินย่อมรับไว้อย่างไม่เกี่ยงงอน แต่กลับไม่คิดขาย “แน่นอนว่าไม่ขาย ฟังจากที่ชายพายเรือนั่นพูดปลากระหายกระดูกขั้นหกนั้นยากจะได้มา ข้าคิดอยากนำเขี้ยวคู่นี้ไปหลอมเป็นกริชวิญญาณหนึ่งคู่ สำหรับเม็ดพลังจะขายนั้นง่ายกว่าจะได้มานั้นยาก เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า”

 

 

ถังมู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์ “น้องข้า เจ้าดูซิ พวกเราสองพี่น้องตอนนี้จนไร้ไม้ตอกที่แท้ หินพลังวิญญาณสักก้อนก็ยังไม่มี เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงอย่างน้อยก็ต้องมีถุงเก็บวัตถุสักสองถุงกระมัง แล้วยังต้องพักแรม ก็ต้องใช้หินพลังวิญญาณเหมือนกัน เจ้าว่า…”

 

 

พูดถึงเรื่องนี้มั่วชิงเฉินได้แต่กัดฟันแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”

 

 

ที่เขาพูดนั้นไม่ผิด พวกเขาไม่กินข้าวได้ แต่ไม่อาจไม่พักแรมได้ ถุงเก็บวัตถุยิ่งเป็นของสำคัญที่จำต้องมี ไม่เห็นรึว่าเขี้ยวและเม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหกล้วนถูกนางเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อที่กว้างและยาวของนาง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณทำตัวมาจนถึงขั้นนี้ได้ก็ไม่ง่ายแล้ว!

 

 

มั่วชิงเฉินมีกำไลเก็บวัตถุ ภายในกำไลแม้ไม่มีหินพลังวิญญาณแต่กลับมีหญ้าวิญญาณและโอสถวิญญาณอายุกว่าหมื่นปีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ของเหล่านี้ให้ตายนางก็ไม่กล้าเอาออกมา

 

 

หญ้าวิญญาณและโอสถวิญญาณอายุกว่าหมื่นปีเป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็ยังคิดปรารถนา นางคิดเอาไว้นานแล้วว่าหญ้าวิญญาณและโอสถวิญญาณเหล่านี้จะเอาไว้ใช้หลอมยาเพียงให้ตนเองเท่านั้น ไม่ถึงเวลาเข้าตาจนจริงๆ จะไม่มีทางเอาออกมาเด็ดขาด

 

 

สำหรับโอสถวิญญาณอายุพันปีแม้ในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนจะถือว่าไม่มีค่ามีราคา แต่ ณ ที่แห่งนี้นางไม่อาจทราบได้ ยังคงจำตอนที่อยู่ทะเลจยาซินได้ว่า ณ ที่แห่งนั้นหญ้าวิญญาณและโอสถวิญญาณมีค่าราคาแพงมากเพียงใด

 

 

นางเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่คิดอยากจะหาเรื่องเดือดร้อนเข้าหาตนเพียงเพราะนำโอสถวิญญาณมา และตอนนี้ยังไม่มีถุงเก็บวัตถุ โอสถวิญญาณมาจากที่ใดนางก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นนางจึงไม่คิดแตะต้องของที่อยู่ในกำไลเก็บวัตถุ

 

 

ตลาดของเกาะหมายเลขสามสิบห้าครึกครื้นเป็นอย่างมาก แผงที่วางขายนั้นเป็นของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจำนวนไม่น้อย ดูจากของที่พวกเขานำออกมาขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นวัตถุดิบของอสูรปีศาจที่กระจัดกระจายกันออกไป และยังมีประการังจากกลางทะเลด้วย

 

 

มั่วชิงเฉินเดินวนครบหนึ่งรอบ สอบถามราคาบ้างบางครั้ง สีหน้าเริ่มดำคล้ำขึ้นไปเรื่อยๆ รอจนเดินเล่นชมของที่วางขายอยู่ในตลาดจนเกือบครบ ขาทั้งสองข้างก็ก้าวมุ่งไปยังร้านค้าบนถนนใกล้เคียง

 

 

ถังมู่เฉินรีบดึงนางเอาไว้ “น้องข้า เจ้าจะไปร้านค้าด้วยเหตุใด พวกเราไม่มีเงินนะ…”

 

 

“ถังมู่เฉิน เวลานี้ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าได้พูดอะไรกับข้า” มั่วชิงเฉินขยับก้อนอิฐที่อยู่ในมือ

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้พวกเขาก็ดึงดูดสายตาคนมากพอแล้ว เพราะไม่มีถุงเก็บวัตถุ บริเวณรอบเอวของถังมู่เฉินจึงมีกระบี่สีทองระยิบระยับ ฝังเลี่ยมอัญมณีเต็มพิกัดเสียบอยู่ มีสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทอดมองมา จากนั้นสายตาที่มองพวกเขาเต็มไปด้วยอาการดูถูก ช่างเป็นรสนิยมชั้นต่ำจนทำให้คนดูถูกเสียจริง

 

 

ตัวมั่วชิงเฉินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ในแขนเสื้อมีเขี้ยวและเม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหกใส่อยู่เต็มไปหมด กลัวว่าจะตกลงมา ในมือยังถือก้อนอิฐเอาไว้อีกหนึ่งก้อน ยังโชคดีที่อิฐก้อนนี้ขอเพียงไม่ถ่ายทอดกำลังวิญญาณลงไปก็จะไม่ส่องแสงระยิบระยับเหมือนกระบี่อัญมณีเล่มนั้น เท่านี้นางก็พอใจแล้ว

 

 

ถังมู่เฉินมองก้อนอิฐในมือมั่วชิงเฉิน ไม่รู้ว่าเหตุใดในหัวจึงปรากฏภาพที่นางใช้ก้อนอิฐตบสัตว์อสูรจนตายคาที่ขึ้นมา เขารู้สึกใจหายวาบในฉับพลัน เดินตามไปอย่างว่าง่าย

 

 

“ท่านอาวุโสทั้งสองต้องการซื้อของสิ่งใด” เมื่อเดินเข้าไปในร้านขายยาร้านหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มสวมชุดสีเขียวอ่อนที่มีตบะบำเพ็ญเพียงระดับปรับลมปราณขั้นแปดเข้ามาต้อนรับ

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอ่อนๆ “พวกเราขอดูก่อน”

 

 

เด็กผู้ช่วยวัยละอ่อนมองดูหน้าตาของมั่วชิงเฉินแล้วตะลึงไปเล็กน้อย ลืมว่าต้องพูดจา

 

 

อะแฮ่ม ถังมู่เฉินกระแอมไอออกมา

 

 

ในเวลานี้เองมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่สวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันแต่เนื้อผ้าชั้นดีกว่ามากเดินเข้ามา รอยยิ้มเต็มใบหน้า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านอย่าได้ถือโทษ รีบเชิญเข้ามาเถิด พบเจออันที่ถูกใจแล้วบอกข้าน้อยก็ย่อมได้”

 

 

พูดจบก็ถลึงตามองเด็กผู้ช่วยระดับปรับลมปราณไปทีหนึ่ง เด็กผู้ช่วยระดับปรับลมปราณถอยหลบไปด้านข้างช้าๆ

 

 

มั่วชิงเฉินย่อมไม่เกิดอารมณ์โมโหเพราะท่าทางขาดสติของเด็กผู้ช่วยอายุน้อยคนหนึ่ง ในใจของนางเรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่ความสั่นไหวเกิดขึ้น

 

 

ผู้บำเพ็ญตนระดับปรับลมปราณและสร้างรากฐานยังบำเพ็ญจิตได้ไม่ถึงแก่นแท้ นางรู้ดีว่ารูปลักษณ์ของตนมีแรงจู่โจมมากเพียงใดต่อพวกเขา หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณยังเป็นเช่นนี้นางก็ต้องเก็บมาคิดแล้ว

 

 

ร้านค้าไม่ได้ใหญ่มากนัก ตลอดทางที่เดินมาเหมือนว่าเป็นลักษณะพิเศษของเกาะหมายเลขสามสิบห้า อาจมาจากเหตุผลที่ตัวเกาะหมายเลขสามสิบห้าก็ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่

 

 

ผนังสามด้านภายในร้านมีชั้นวางยาขนาดสูง แต่ละชั้นแต่ละช่องมีป้ายแปะบอกเอาไว้ เขียนว่าเป็นของสิ่งใด ราคาเท่าไร

 

 

ตรงกลางสุดกลับมีชั้นผนึกโปร่งสองชั้นที่วางต่อกันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในชั้นวางแบ่งเป็นชั้นบนล่างสองชั้น แต่กลับมีช่องเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ในทุกช่องมีโอสถวิญญาณสำเร็จรูปวางอยู่หนึ่งเม็ด มีการเขียนระบุชื่อยา คุณภาพ คุณสมบัติและราคาด้วยเช่นกัน

 

 

มั่วชิงเฉินตั้งใจดูอย่างถอนสายตาไม่ขึ้น ตั้งแต่วันที่นางเริ่มบำเพ็ญเพียรจนถึงวันนี้พูดได้ว่าการหลอมยานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางบนเส้นนี้ของนางมาตลอด สำหรับศิลปะแขนงนี้นางทุ่มเทความรู้สึกมากมายลงไป และยิ่งเป็นการหลงใหลที่มาจากใจจริง

 

 

โอสถวิญญาณในร้านนี้มีหลายอย่างที่นางเคยได้ยินและไม่ได้ยินมาก่อน แม้แต่ยาเม็ดที่ใช้ชื่อเหมือนกับยาในแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน แต่พอดูรูปลักษณ์ภายนอกกลับแตกต่างออกไป

 

 

อย่างเช่นยาบำรุงพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้กันบ่อยๆ เป็นสีเหลืองแกมเขียว เหตุเป็นเพราะมีส่วนผสมชนิดหนึ่งเป็นหญ้าปี้เกิ่ง สีสันเสมือนหยกเขียวไม่มีใครอาจเปรียบ แต่ยาบำรุงพลังวิญญาณที่ขายที่นี่กลับเป็นสีเหลืองแกมแดง

 

 

มองอยู่นานในใจนั้นยิ่งรู้สึกสงสัยจนยากจะเก็บไว้ จึงโบกมือเรียกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน “พ่อค้า นำยาบำรุงพลังวิญญาณเม็ดนี้ออกมาให้ดูหน่อยได้หรือไม่”

 

 

ถังมู่เฉินโบกพัดไปมาด้วยความหมดอาลัยตายอยาก จากที่เขาคิดทั้งสองคนไม่มีหินวิญญาณ ยาเม็ดเหล่านี้แค่เดินดูให้รู้ราคาและฤทธิ์ยาประดับเอาไว้ก็มากพอแล้ว มีอะไรน่าดูอีก

 

 

แม้สีของยาบำรุงพลังวิญญาณที่นี่จะไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่เคยทานก่อนนี้ แต่จะไปมีอะไรสำคัญ ขอแค่ผลลัพธ์ออกมาเหมือนกันก็พอแล้ว

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานรีบเดินไปหยิบยาบำรุงพลังวิญญาณออกมา พูดด้วยความเกรงใจ “หญิงเซียน ยาบำรุงพลังวิญญาณในร้านเราล้วนเป็นของชั้นดี ท่านลองชิมดูก็รู้แล้ว เป็นของสมราคาอย่างแน่นอน”

 

 

เขาเห็นผู้บำเพ็ญหญิงผู้นี้จ้องโอสถวิญญาณในร้านอยู่นาน สายตาที่มองดูนั้นร้อนแรงเหมือนจะลักขโมยของไป แต่สุดท้ายแล้วกลับเลือกยาบำรุงพลังวิญญาณที่ธรรมดาที่สุด พูดไปแล้วก็แปลก

 

 

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ล้วนมีนิสัยที่ผิดจากปกติ นางอยากดูก็ให้นางดูไป อย่างไรยาบำรุงพลังวิญญาณก็ไม่ได้มีค่าเท่าไรนัก นางเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ คิดจะหยิบวิ่งหนีออกไปคงไม่ได้

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเดาผิดไปแล้ว มั่วชิงเฉินยกกล่องหยกที่ใส่ยาบำรุงพลังวิญญาณขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด นางเกิดความคิดอยากจะก้าวขาวิ่งหนีออกไป หาที่นั่งศึกษาเรื่องนี้อยากละเอียดสักครา

 

 

ยาบำรุงพลังวิญญาณนี้ดูปกติไม่มีสิ่งแปลก แต่นางพิจารณาดูอยู่นานก็ยังไม่อาจบอกได้ว่าหลอมมาจากส่วนผสมอะไร วิธีการหลอมยาก็แปลกประหลาดไม่เคยพบเจอ

 

 

มั่วฉิงเชินยื่นนิ้วออกไปขูดผงที่อยู่บนยาบำรุงพลังวิญญาณแล้วส่งเข้าปากลิ้มรสชาติอย่างไม่อาจหักห้ามใจ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเห็นท่าท่างตั้งอกตั้งใจของนางแล้วต้องอ้าปากค้างตะลึงงัน หรือว่าหญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่สวยงามผู้นี้จะมีสมองที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

 

 

พอคิดเช่นนี้ก็แอบลอบหันไปมองถังมู่เฉิน

 

 

ถังมู่เฉินรู้สึกถึงสายตาที่มองมายังตน อดไม่ได้ที่จะหันไปมองแล้วส่งยิ้มกว้างให้กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน

 

 

‘ยังดี มีคนเป็นปกติก็ยังดี’ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสบายใจไปเปราะหนึ่ง

 

 

หากมั่วชิงเฉินรู้ว่าตอนนี้ในความคิดของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานถังมู่เฉินได้กลายเป็นผู้ดูแลนางไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร แต่อย่างไรในตอนนี้สมาธิทั้งหมดของนางล้วนตั้งอยู่ที่ยาบำรุงพลังวิญญาณ

 

 

“น้องข้า ดูพอประมาณก็เลิกได้แล้ว อย่าทำให้เขาตกใจ” เสียงกระแสจิตของถังมู่เฉินดังขึ้นนหัว ฟังแล้วขมขื่นยิ่งนัก

 

 

มั่วชิงเฉินถึงได้สติกลับมา สายตาเป็นประกายมองไปยังผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐาน “ยาบำรุงพลังวิญญาณเม็ดนี้ใช้วัตถุดิบใดหลอมขึ้นมาหรือ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานตะลึงไป พูดออกมาด้วยความลังเล “พยัคฆ์แดงอย่างไรเล่า”

 

 

‘นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่วเช่นนั้นหรือ’

 

 

“พยัคฆ์แดงหรือ พยัคฆ์แดงคืออะไร” ภายในช่วงเวลาสั้นๆ มั่วชิงเฉินยังไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

สีหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานแปลกประหลาด “พยัคฆ์แดงก็เป็นสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ในทะเลชนิดหนึ่ง เม็ดพลังของมันสามารถเอามาหลอมเป็นยาบำรุงพลังวิญญาณสำหรับผู้บำเพ็ญตนระดับก่อแก่นปราณ เลือดของมันเอาไปผสมกับไขกระดูกจะสามารถหลอมเป็นยาบำรุงพลังวิญญาณสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน และเนื้อเลือดของมันสามารถเอามาหลอมเป็นยาอมบำรุงพลังวิญญาณสำหรับผู้บำเพ็ญตนระดับปรับลมปราณได้”

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจนิ่งอึ้ง ยาบำรุงพลังวิญญาณนี้หลอมมาจากเม็ดพลังของสัตว์อสูรเช่นนั้นหรือ

 

 

‘นี่ นี่มันเป็นวิธีหลอมโอสถวิญญาณที่อยู่คนละสายกับแผ่นดินใหญ่เทียนหยวนเลยนี่!’

 

 

คิดได้เท่านี้ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย มั่วชิงเฉินถามขึ้นอีกครั้ง “พ่อค้า โอสถวิญญาณในร้านล้วนหลอมมาจากเม็ดพลังของสัตว์อสูรเช่นนั้นหรือ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมองสังเกตมั่วชิงเฉิงอยู่ชั่วขณะ ถึงได้เข้าใจแจ่มแจ้ง “หญิงเซียนย่อมมาจากที่ห่างไกลมากกระมัง”

 

 

“ใข่แล้ว” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเปิดเผย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอธิบาย “มิน่าเล่าหญิงเซียนถึงไม่ทราบ ในอดีตนานมาแล้วแต่เดิมเม็ดพลังของสัตว์อสูรไม่สามารถเอามาหลอมทำเป็นโอสถวิญญาณได้ ผู้บำเพ็ญตบะของเราที่นี่เมื่อได้เม็ดพลังและเลือดเนื้อของสัตว์อสูรมาก็จะรับประทานเข้าไปโดยตรง เซิงโจวมีภูมิประเทศติดทะเลทั้งสี่ด้าน ในทะเลมีสัตว์อสูรอยู่นับไม่ถ้วน วิธีการใช้เม็ดพลังและเลือดเนื้อเหล่านั้นล้วนไม่เหมือนกัน ความโหดร้ายในเม็ดพลังและเลือดเนื้อของสัตว์อสูรค่อยๆ ถูกกักเก็บอยู่ในร่างกาย รอจนผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดมักจะเกิดสถานการณ์ร่างกายระเบิดจนเสียชีวิต หลังจากนั้นถึงพบว่าเป็นเหตุจากการรับประทานเม็ดพลังของสัตว์อสูร จึงเริ่มที่จะซื้อโอสถวิญญาณแต่ในดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออกจากที่เล่าสืบต่อกันมามีเพียงจู่โจวที่อยู่ห่างออกไปแสนไกลที่มีพืชพันธุ์แปลกประหลาดอยู่เต็มไปหมด สามารถนำมาหลอมเป็นโอสถวิญญาณได้ นอกจากนั้นแล้วก็เป็นแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปไกลอีก โอสถวิญญาณที่ถูกส่งมาจากสองที่นี้มีราคาแพงอย่างมาก ไม่ยากที่จะเดาว่าต่อจากนั้นเป็นเช่นไร”

 

 

“เช่นนั้นแล้วต่อมานำเม็ดพลังสัตว์อสูรมาหลอมเป็นยาวิเศษได้อย่างไรเล่า”

 

 

ใบหน้าของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานมีความเลื่อมใสปรากฏขึ้น “วิธีการหลอมนั้นถูกถ่ายทอดมาจากดินแดนอื่น เล่าขานกันต่อมาว่าผู้บำเพ็ญหญิงท่านหนึ่งเป็นคนคิดค้น!”