ตอนที่ 361 คำขอของเชียนหัน

พันธกานต์ปราณอัคคี

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงเช่นนั้นหรือ

 

 

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดมั่วชิงเฉินถึงได้พาลคิดถึงบรรพบุรุษหญิงในตระกูลเมื่อพันปีก่อนผู้นั้น

 

 

แน่นอนว่าคนที่โดดเด่นบนโลกอันแสนยิ่งใหญ่มีมากมายเหมือนดาวบนท้องฟ้า นางไม่ได้คิดว่าทุกเรื่องจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับคนข้างตัวนาง แต่เพียงเพราะเคยได้ยินอสูรปลากระชากวิญญาณถือกระจกไม้ล้ำค่าพูดว่า ‘บรรพบุรุษหญิงเมื่อพันปีก่อนหน้านี้เคยปรากฏตัวที่ทะเลจยาซิน’ หากเป็นเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่นางจะมาดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออกด้วยเช่นกัน จะคิดเช่นนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องแปลก

 

 

“ถึงกับมีความสามารถคิดค้นวิธีการหลอมยาแบบใหม่ทั้งหมด ท่านอาวุโสผู้นั้นช่างมีความสามารถสูงล้ำ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสผู้นั้นมีนามว่าเช่นไรหรือ” มั่วชิงเฉินถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบสงบ แต่ในใจกลับมีความรู้สึกพูดไม่ออก

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานหัวเราะ “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ เพราะอย่างไรก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว แล้วยังถ่ายทอดต่อมาจากดินแดนอื่น เพียงพูดต่อกันมาว่าผู้บำเพ็ญหญิงผู้นั้นหน้าตางดงามมิอาจเปรียบ พรสวรรค์การหลอมยาโดดเด่น แต่กลับถ่อมตัว น้อยครั้งที่จะออกมาปรากฏตัว รอจนวิธีการใช้เม็ดพลังสัตว์อสูรมาหลอมยาถูกถ่ายทอดมาถึงที่นี่ มีนักหลอมยาจำนวนมากออกเดินทางเพราะชื่อเสียงเรียงนามแต่กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยของนาง”

 

 

มั่วชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะพาลคิดไปยังบรรพบุรุษหญิงผู้นั้น จึงถามขึ้นมาอีก “เช่นนั้นพ่อค้าทราบหรือไม่ว่าวิธีการหลอมยานี้แท้จริงแล้วสืบต่อกันมาจากดินแดนใด”

 

 

ในเมื่อนางมีโชคชะตาได้มาถึงดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออก หากมีโอกาสได้สืบหาเส้นทางที่บรรพบุรุษหญิงผู้นั้นเคยเดินมาก่อนก็ถือเป็นเรื่องที่น่าสนุก

 

 

ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์อื่นใด เพียงคิดถึงการเดินทางค้นหารอยเท้าของคนรุ่นก่อนที่ทิ้งเอาไว้ในประวัติศาสตร์ เรียนรู้เรื่องราวที่ไม่มีใครเปรียบได้ของนางก็ถือเป็นกำไรอย่างหนึ่งแล้ว

 

 

“จากหลิวโจวขอรับ” ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานครุ่นคิดแล้วจึงตอบออกมา

 

 

‘หลิวโจวนี่เอง’ มั่วชิงเฉินลอบจำไว้ แล้วส่งยาบำรุงพลังวิญญาณคืนให้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน

 

 

“เอ่อ หญิงเซียน ยาบำรุงพลังวิญญาณเม็ดนี้…”

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงคนหลุดหัวเราะและพูดว่า “พ่อค้า เจ้าช่างซื่อเสียจริง คนเขาคืนให้เจ้าแล้ว ย่อมต้องไม่ซื้อ…”

 

 

คำพูดนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ผิด แต่น้ำเสียงที่ใช้กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เหมือนกำลังบอกใบ้พ่อค้าว่ามั่วชิงเฉินไม่มีกำลังซื้อ

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินกรอกมองไปยังทิศทางที่เสียงลอยมา

 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่มีหญิงสองคนเดินเข้ามาในร้าน อายุราวยี่สิบกว่าปี ใบหน้ามีลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่หกเจ็ดส่วน แต่คนหนึ่งมีท่าทางสุขุมนิ่งขรึมกว่า คนที่พูดนั้นกลับดูกระโดกกระเดกกว่ามาก

 

 

หญิงที่มีท่าทีสุขุมเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่แปก่นปราณ อีกคนเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างงรากฐานขั้นกลาง

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานคนหนึ่งถึงกับกล้าเย้ยหยันผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต่อหน้า ช่างเป็นการเปิดโลกให้นางเสียจริง

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!” หญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเอ่ยคำว่ากล่าว แต่น้ำเสียงกลับไม่จริงจัง จากนั้นก็หันไปทางมั่วชิงเฉิน “สหายเต๋าอย่าได้ถือโทษไป เด็กน้อยยังไม่เข้าใจโลก”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับเงียบๆ ถอนสายตากลับไป

 

 

“ท่านแม่…” หญิงบำเพ็ญตนระดับสร้างรากฐานไม่พอใจเท่าไรนัก

 

 

“พอแล้ว อวิ้นเอ๋อร์ หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้แม่จะไม่ให้เจ้าตามมาอีก”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้เกิดความรู้สึกดีๆ กับคู่แม่ลูกสองคนนี้ จากประสบการณ์ของนางทำให้นางรู้ว่าผู้หญิงที่มีนิสัยเช่นนี้ล้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาวุ่นวาย จึงรีบตัดสินใจออกห่างโดยเร็ว

 

 

แต่เพราะคิดถึงเรื่องที่ต้องทำต่อไป จึงหันไปพูดกับพ่อค้าว่า “พ่อค้า ย้ายเข้าไปในห้องด้านในได้หรือไม่”

 

 

“หญิงเซียนเชิญเถิดขอรับ” คนดูแลร้านผายมือออก

 

 

มั่วชิงเฉินก้าวขาเดินไปข้างหน้า จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่านานแล้วที่ถังมู่เฉินไม่ส่งเสียง นี่มันไม่เหมือนกับนิสัยเขาเลย จึงหันไปมองพอเห็นก็แทบจะกระอักเลือดออกมา พี่ใหญ่เขากำลังเลือกหามุมนั่งงีบหลับนี่เอง

 

 

‘ช่างเถิด เช่นนี้ก็จะเงียบสงบลงเล็กน้อย’ มั่วชิงเฉินคิดเช่นนี้แล้วจึงหมุนตัวเดินข้าไป

 

 

“ไม่ทราบว่าหญิงเซียนมีธุระเรื่องใดหรือ” น้ำเสียงของพ่อค้าเรียบนิ่งมีความพะเน้าพะนอระดับกำลังพอดีอยู่ในที ไม่ได้แสดงท่าทีใม่พอใจที่มั่วชิงเฉินไม่ได้ซื้ออะไรออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินลอบพยักหน้า สายตาการเลือกคนของเจ้าของร้านยาแห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ดูท่าลูกค้าเจ้าประจำของร้านคงมีจำนวนไม่น้อย

 

 

“พ่อค้า ไม่ทราบว่าที่นี่รับซื้อเม็ดพลังสัตว์อสูรหรือไม่”

 

 

พ่อค้านิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นพูดว่า “ย่อมต้องรับซื้อ แต่หญิงเซียนก็น่าจะทราบ สำหรับเม็ดพลังสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปบางชนิดทางร้านเราไม่ได้ให้ราคาสูงเท่าไรนัก เกรงว่าไม่อาจสู้กับการที่หญิงเซียนออกไปตั้งแผงเอง”

 

 

มิน่าในตลาดถึงมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณจำนวนไม่น้อยตั้งแผงขายของ คิดว่าคงเป็นเพราะออกทะเลไปล่าอสูรทะเลเมื่อนำมาขายในร้านเหล่านี้แล้วไม่คุ้มราคา ไม่สู้ออกมาตั้งแผงเอง ไม่แน่ว่าอาจเจอกับผู้บำเพ็ญเพียรที่รีบต้องใช้วัตถุดิบบางอย่างจนขายได้ราคาสูงกลับมา

 

 

ฟังคำของพ่อค้าแล้วความรู้สึกดีในใจของมั่วชิงเฉินยิ่งเพิ่มมากขึ้น หัวเราะเบาๆ พลางพูดว่า “พ่อค้า ว่าไปแล้วน่าอายนัก ข้ามีเพียงเม็ดพลังหนึ่งเม็ดที่นำมาขายเท่านั้นเอง”

 

 

เม็ดพลังเม็ดเดียวแน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งแผงขาย คนดูแลร้านเข้าใจในทันใด แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “เช่นนั้นหญิงเซียนก็นำเม็ดพลังออกมาเถิด ขอเพียงคุณภาพอยู่ระดับกลางขึ้นไปเราต้องรับซื้อเป็นแน่”

 

 

พูดถึงเท่านี้จู่ๆ ก็นึกถึงการกระทำเหล่านี้ของมั่วชิงเฉิน คาดเดาว่านางคงมาจากที่ไกลแสนไกลใช้จ่ายจนเงินหมดเกลี้ยง การเงินไม่คล่อง จึงพูดเสริมว่า “หากคุณภาพต่ำก็ไม่เป็นอะไร แต่เกรงว่าราคาคงต่ำลงไปมาก”

 

 

มั่วชิงเฉินลอบชื่นชมคนผู้นี้ว่าทำการค้าเป็นแล้วยังอยู่เป็นอีกด้วย นางมาที่ร้านเป็นครั้งแรกโดยไม่มีของดีออกมาให้ดูแต่กลับต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เช่นนั้นหากในวันข้างหน้านางมีของดีย่อมต้องยินยอมกลับมาอีกครั้ง คิดว่าคนอื่นก็คงเป็นเช่นเดียวกัน

 

 

นางไม่เสียเวลาอีกต่อไป ยื่นมือส่งกล่องหยกกล่องหนึ่งออกไปให้

 

 

คนดูแลร้านยื่นมือออกไปรับ ในใจนั้นคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว อย่างไรซะก็ต้องรับซื้อเม็ดพลังเอาไว้ อีกฝ่ายเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณนสองคน การที่ให้ความช่วยเหลือในวันที่พวกเขาลำบาก ไม่แน่ว่าต่อไปในภายภาคหน้าอาจจะโชคดีก็ได้

 

 

เขายังจำได้ว่าร้านขายยาฝั่งตรงข้ามเคยพูดเหน็บแนมผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ตกทุกข์ได้ยากผู้หนึ่ง จนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณผู้นั้นจากไปด้วยความโกรธ

 

 

ครึ่งปีผ่านไปเขากลับมาอีกครั้งโดยเดินตรงเข้ามาในร้านจือเหรินเก๋อของพวกเขาที่นี่ ของที่นำออกมากลับเป็นถึงร่างทั้งตัวของราชันย์นกยูง

 

 

ต้องรู้ว่าราชันย์นกยูงไม่เหมือนกับสัตว์อสูรอื่นๆ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดคือขนนกทั้งร่างนั่นเอง

 

 

กระโปรงนกยูงที่ทำมาจากขนของราชันย์นกยูงนั้นหรูหรางามสง่า มีราคาแพงแต่ไม่มีตลาด เป็นสิ่งที่บรรดาสตรีในตระกูลสูงส่งแห่งการบำเพ็ญเพียรนิยมชมชอบ

 

 

หลังจากจบเรื่องแล้วผู้จัดการร้านในตอนนั้นได้รับของรางวัลจากเจ้าของร้านเป็นหินพลังวิญญาณสามพันก้อน และถูกส่งกลับไปยังสำนักงานใหญ่ เขาถึงได้มารับตำแหน่งผู้จัดการร้านที่นี่

 

 

แต่ผู้จัดการร้านยาฝั่งตรงข้ามกลับถูกไล่ออกยังกับหมูกับหมาจากเจ้าของร้านที่เร่งเดินทางมาหลังจากรู้ข่าว ไม่จ้างงานอีกต่อไป

 

 

ในโลกการบำเพ็ญเพียรสิ่งที่เหลือเฟือมากที่สุดคือโอกาสและโชคชะตา ในยามที่ตนคร่ำครวญถึงโอกาสและโชคชะตาว่ายากที่จะได้มา ไม่แน่ว่ามันอาจมาถึงนานแล้ว แต่หายจากไปเงียบๆ เพราะความไม่ใส่ใจของตน

 

 

เมื่อคนดูแลร้านคิดถึงเรื่องในอดีตก็เกิดอาการเหม่อลอยไปเล็กน้อย ทำเพียงกวาดตามองเม็ดพลังในกล่องหยกอย่างไม่ใส่ใจแล้วจึงปิดฝากล่องหยกลง พูดกับมั่วชิงเฉินว่า “หญิงเซียน เม็ดพลังขั้นห้าร้านของพวกเรารับซื้ออยู่ที่หินพลังวิญญาณหกพันก้อนต่อหนึ่งเม็ด”

 

 

หินพลังวิญญาณที่พูดกันในโลกบำเพ็ญเพียรล้วนเป็นหินพลังวิญญาณระดับต่ำ หินพลังวิญญาณระดับกลางและระดับสูงนั้นปกติแล้วไม่นำมาซื้อขาย

 

 

มั่วชิงเฉินแอบคิดในใจว่าคนซื้อไม่มีทางฉลาดไปกว่าคนขาย เมื่อครู่นี้นางสังเกตเห็นเม็ดพลังสัตว์อสูรขั้นห้าเม็ดหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นยาตรงกำแผงฝั่งตะวันออกติดราคาขายเอาไว้ว่าหินพลังวิญญาณหนึ่งพันก้อน ราคารับซื้อกลับมีเพียงหกร้อยก้อน แค่เปลี่ยนมือก็เป็นกำไรที่มากกว่าเท่าตัว

 

 

‘แต่เขามองอะไรผิดไปหรือไม่’

 

 

“พ่อค้า เม็ดพลังสัตว์อสูรของข้าน่าจะอยู่ขั้นหกกระมัง”

 

 

คนดูแลร้านนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เปิดฝากล่องหยกขึ้นอีกครั้ง สายตาทอดมองเม็ดพลัง “ใช่แล้วๆ เป็นข้าน้อยที่ตาไม่มีแวว หญิงเซียนอย่าได้ถือโทษ…เอ๊ะ นี่มัน นี่มันเป็นเม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหกนี่!”

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้มมองคนดูแลร้าน

 

 

สีหน้าของคนดูแลร้านแดงก่ำ กระอักกระอวนเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ตนเองยังคิดจะฉวยโอกาสแสดงความมีน้ำใจสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไว้ แต่เพราะความไม่ใส่ใจกลับทำให้ดูเหมือนว่าร้านค้ากลั่นแกล้งจงใจกดราคาเสียอย่างนั้น

 

 

ทันใดนั้นน้ำเสียงก็ยิ่งแสดงความจริงใจมากกว่าเดิม “หญิงเซียน เป็นข้าน้อยที่ไม่ระวังมองผิดไปเอง เม็ดพลังสัตว์อสูรขั้นหกร้านของเรารับซื้ออยู่ที่สองพันก้อนหินพลังวิญญาณ เม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหกหายาก ข้าน้อยให้ราคาสามพันก้อนหินพลังวิญญาณ ท่านว่าอย่างไร”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ต่อราคาอีก ในเมื่อนางรีบจะปล่อยของออกขาย ถ้าคุยที่นี่ไม่ได้ผลก็จะไปร้านอื่นต่อ หากพบผู้จัดการที่ใช้ท่าทีหยามเหยียดมองคนก็เป็นการเพิ่มเรื่องวุ่นวายให้มากขึ้น

 

 

คนดูแลร้านเห็นมั่วชิงเฉินพยักหน้าก็รีบเก็บเม็ดพลังของปลากระหายกระดูกไปด้วยความดีใจ แล้วจึงส่งถุงผ้าเล็กใบหนึ่งมาให้

 

 

ถุงผ้าเล็กชนิดนี้เป็นถุงเก็บของชั้นต่ำที่สุด ล้วนเอาไว้ใส่หินพลังวิญญาณยามค้าขาย มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับไว้ใช้พลังจิตมองดูคร่าวๆ ภายในมีหินพลังวิญญาณอยู่สามพันก้อนพอดิบพอดี

 

 

ทั้งสองคนยินดีกันถ้วนหน้า แล้วจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน

 

 

ห้องภายในประเภทนี้มีการติดตั้งผนังกั้นเสียงและค่ายกลพลังจิตเอาไว้ มั่วชิงเฉินเพิ่งเดินออกมาก็พบว่าด้านนอกครึกครื้นเป็นอย่างมาก

 

 

หญิงบำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานที่ก่อนหน้านี้เยาะเย้ยนางใช้แขนควงศอกของหญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเอาไว้ พลางหันมาส่งยิ้มหวานพูดว่า “พี่ชายถัง อย่างไรท่านจะต้องไปหาอวิ้นเอ๋อร์นะ ถึงตอนนั้นอวิ้นเอ๋อร์จะพาท่านไปเลี้ยงน้ำชาที่โรงน้ำชาที่ดีที่สุดเอง”

 

 

ถังมู่เฉินโบกพัดในมือด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ตาเรียวงามเป็นประกายสลับไปมา “จะให้แม่หญิงเสียทรัพย์ได้เช่นไร หากจะเลี้ยงก็ต้องเป็นข้าน้อยที่เลี้ยง”

 

 

“อวิ้นเอ๋อร์!” หญิงบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกดเสียงต่ำ จากนั้นก็เหลือบมองถังมู่เฉินเล็กน้อย แล้วจึงดึงลูกสาวตนเองเดินออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ทันได้สติกลับมา กลายเป็นถังมู่เฉินที่ยิ้มแย้มเขยิบหน้าเข้ามาใกล้ “น้องงข้า เจ้าออกมาแล้ว พี่รอเจ้า รอจนรู้สึกร้อนใจเลยเชียว”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของคนดูแลร้านที่แปลกประหลาดด้วยเช่นกัน มั่วชิงเฉินแอบคิดว่ากลับไปค่อยว่ากัน จากนั้นก็เอ่ยปากซื้อโอสถวิญญาณกว่าสิบชนิด ทุกชนิดประมาณหนึ่งถึงสองเม็ดแล้วถึงได้เดินออกมา

 

 

ถังมู่เฉินรีบเดินตามมา “น้องข้า เจ้าเอาเงินมาจากที่ใดหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สนใจ

 

 

ถังมู่เฉินส่งเสียงร้องออกมา “เจ้า เจ้าเอาเม็ดพลังสัตว์อสูรไปขายแล้วหรือ”

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินแสดงท่าทีเหมือนฟังสิ่งไร้สาระออกมา

 

 

ถังมู่เฉินมีสีหน้าดีใจ “เช่นนี้ก็ดีแล้ว น้องข้า เจ้าดูซิว่าตอนนี้พี่อัตคัดนัก เอามาให้ยืมก่อนได้หรือไม่เล่า”

 

 

‘เจ้าคนนี้ ช่างกล้าเอ่ยปากขอเสียจริง’ มั่วชิงเฉินลอบตำหนิอยู่ในใจ เท้าก็เดินก้าวต่อไปข้างหน้า

 

 

ใครจะรู้ว่าคำพูดหลังจากนี้แทบจะทำให้นางหน้าคะมำ “น้องคนดีของข้า เจ้าดูซิ แม่นางอวิ้นเอ๋อร์เมื่อครู่นี้ไม่แน่ว่าอีกสองวันข้างหน้าอาจนัดพี่แล้ว ถึงตอนนั้นพี่คงไม่อาจปล่อยให้หญิงสาวผู้หนึ่งต้องเสียทรัพย์หรอกกระมัง สมเหตุสมผลที่ไหนกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินสะดุดแทบจะล้มลงไป ปากสั่นเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า เจ้าจะยืมเงินข้าไปเพื่อที่ถึงเวลานั้นจะได้มีหินพลังวิญญาณไปเลี้ยงน้ำชาหญิงสาวเช่นนั้นหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว” ถังมู่เฉินตอบด้วยความมั่นใจ

 

 

มั่วชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก พูดอย่างหนักแน่นมั่นคง “ไม่เลว!”

 

 

ถังมู่เฉินกระพริบตา “เหตุใดถึงโมโหอีกเล่า น้องข้า พี่บอกแล้วว่าจะคืนให้มิใช่หรือ รวมถึงของอยู่ในถุงเก็บวัตถุที่พังของเจ้า ในอนาคตข้าจะคิดเป็นหินพลังวิญญาณมาคืนให้เจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าเส้นเลือดตรงขมับเต้นไปมา “ถังมู่เฉิน เจ้าไปดื่มชากับหญิงสาวรู้สึกไม่ดีที่ต้องให้นางออกเงิน กลับมายืมเงินข้าเจ้ารู้สึกดีหรืออย่างไร”

 

 

แล้วยังเป็นคนที่ถูกเจ้าหลอกเสียย่อยยับเมื่อไม่นานมานี้อีก!

 

 

ถังมู่เฉินหัวเราะอย่างไร้เดียงสา “นั่น นั่นจะไปเหมือนกันได้อย่างไร นางเป็นหญิงสาว…”

 

 

“นายท่าน ให้ข้าออกไป ลองดูซิว่าข้าจะไม่กรีดหน้าเขาจนเป็นรอย!” อีกาไฟที่นอนอยู่ในถุงสัตว์พลังวิญญาณเกิดแค้นเคืองเป็นอย่างมาก

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้าอย่างหมดแรง พลางเดินตรงไปยังร้านขายของชำแห่งหนึ่ง