บทที่ 300 ใต้หล้า (8)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 300 ใต้หล้า (8)

สวบ!

อสรพิษริษยาเจาะทะลุหนังท้องของสัตว์ประหลาดอ้วน สัตว์ประหลาดอ้วนตัวนี้มีร่างเป็นสีขาวราวหิมะ ศีรษะเล็กอย่างน่าประหลาด ปากใหญ่ที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยงอกอยู่เต็มศีรษะที่ล้านเลี่ยน

ไม่มีดวงตา ไม่มีหูและจมูก ไม่มีอะไรเลย

หลังจากท้องถูกเจาะเป็นรูใหญ่ มันก็โซเซถอยหลังไปหลายก้าว แล้วระเบิดตูมกลายเป็นชิ้นส่วนสีดำนับไม่ถ้วน ก่อนจะค่อยๆ สลายไป

อสรพิษริษยาขย้ำก้อนสีดำที่ยังขยับอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร มันกัดกินด้วยความโลภ

ลู่เซิ่งไม่สนใจมัน มารหยินเป็นตัวตนที่เกาะติดกับเขา พวกมันเป็นมารที่เกิดจากเขา แต่กลับเติบโตได้เอง

ขีดจำกัดการเติบโตของมารหยินขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของร่างเจ้าของ ในสถานการณ์ปกติ มารหยินอย่างของลิ่วซานจื่ออย่างมากสุดก็ไปถึงระดับเดียวกันกับร่างเจ้าของ

แน่นอนว่าพวกมันมีเส้นทางการฝึกฝนของตนเอง พลังไม่สามารถจะทะยานพรวดพราดได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทน เพียงแต่ในฐานะมารหยิน จุดเริ่มต้นของพวกมันอยู่สูงกว่าคนทั่วไปก็เท่านั้น

ลู่เซิ่งนำกลุ่มเดินไปยังสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ตรงกลาง

เขาก้มหน้ามองพื้นดินในตอนที่ขึ้นบันได บนบันไดสีแดงก่ำเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนจำนวนมากที่ลึกยิ่ง เหมือนกับเกิดจากดาบและกระบี่

“อยู่ตรงนี้” เขาไม่ได้ไปด้านหน้าต่อ ที่นี่กลายเป็นสรวงสวรรค์ของมารไปแล้ว มนุษย์ทุกคนตายไปหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร สถานที่แห่งนี้ก็ถูกปนเปื้อนโดยสมบูรณ์จนช่วยอะไรไม่ได้อีกต่อไป

เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการยืนยันด้วยตาตัวเองว่าอาจารย์ลิ่วซานจื่อตายไปแล้วจริงๆ หรือไม่

ดีที่ตอนเพิ่งเข้าประตู พลังสัมผัสที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวของเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้ในทันที

“เงา ลงไปดู” เขาสั่งอย่างเรียบเฉย

“ขอรับ…” เงาคลุ้มคลั่งมุดออกมาจากเงาของเขา มันรวมตัวกลายเป็นเงาที่มีตาสีแดงเลือดสองดวง ก่อนจะมุดเข้าไปในบันใดทันที

ซู่…

พริบตาเดียว เงาคลุ้มคลั่งก็หายไปในพื้นอย่างเงียบกริบ

ลู่เซิ่งยืนหลับตารอคอยอยู่บนบันได

พวกเหอเซียงจื่อไม่กล้ารบกวนเขา เพียงรอคอยอยู่ด้านหลังเงียบๆ

พรึ่บ!

ทันใดนั้นลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ดวงตาฉายแววยินดี

“เจอแล้ว! ยังช่วยได้!”

พื้นถูกกัดกร่อนเป็นช่องอย่างไร้สุ้มเสียง เงาคลุ้มคลั่งม้วนร่างสองร่างลอยออกมาอย่างช้าๆ พลางส่งเสียงซู่ๆ เหมือนกับกำลังเอาใจลู่เซิ่ง

“ในที่สุด…ก็ไม่ได้มาสายไป” ลู่เซิ่งถอนใจยาวขณะมองลิ่วซานจื่อกับแม่เฒ่าชิงคงที่ยังมีลมหายใจอยู่ด้านหน้า

พวกเขาสองคนกอดกัน จะกล่าวให้ถูกก็คือชิงคงกอดลิ่วซานจื่อเอาไว้อย่างแนบแน่น มีแสงอ่อนๆ สีฟ้าทะเลแผ่กระจายบนร่าง

สัญลักษณ์สามเหลี่ยมกะพริบรางๆ อยู่ในรังสีแสง นั่นเป็นสัญลักษณ์ของอาวุธเทพบางชนิด

“พวกเราถอย!” ลู่เซิ่งควบคุมสีหน้าพร้อมกล่าวเสียงดัง เป้าหมายครั้งนี้บรรลุแล้ว

ต้าซ่ง รัชศกถังจง ปีที่สิบสอง

เก้าเมืองในจงหยวนเกิดความปั่นป่วน ประตูเลือดเนื้อถูกเปิดสองบาน วิญญาณมารหกดวงจุติ ทัพมารร้อยหมื่นทะลักทลาย ตระกูลซั่งหยางหนึ่งในเก้าตระกูลจงหยวนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ผู้กุมอำนาจซั่งหยางจวินกักตนเพราะบาดเจ็บสาหัส โดยกลับไปพักฟื้นที่หน่วยหลักของตระกูล

ตระกูลขุนนางที่เหลือจัดตั้งทัพปราบมาร จักรพรรดิถังจงมอบอำนาจ เรียกระดมพลทัพเทพพยัคฆ์สิบหมื่น และทัพเมฆทะยานสามสิบหมื่นไปช่วยกันปราบมาร หมายจะชิงดินแดนที่เสียไปกลับมา

หนึ่งร้อยเมืองในจงหยวนเฝ้าระวัง ข่าวเรื่องภัยพิบัติมารกระจายออกไป ผู้คนรู้สึกถึงอันตรายอยู่ชั่วขณะ

เมืองทั้งเก้าที่ถูกภัยพิบัติมารรุกราน ภายใต้การโจมตีของทัพมาร เหลืออยู่สามเมืองที่ยังคงยืดหยัดต้านทานอยู่ได้

แห่งแรกคือเมืองล่าอินทรี ตระกูลซั่งหยางรวมกำลังทหารไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันการร่วมมือโจมตีของวิญญาณมารหลายตน ซั่งหยางจวินผู้ถืออาวุธสูงสุดออกจากการกักตน มาควบคุมค่ายกลใหญ่ โดยร่วมมือกับเหลยเหิงผู้ถืออาวุธตระกูลเหลยที่ตามมาทีหลัง หยุดความพ่ายแพ้ของเมืองทั้งเก้าเอาไว้ได้

แห่งที่สองคือเมืองเมฆเจริญ ขุมกำลังของร้อยเส้นสายที่เหลืออยู่ รวมตัวกันอยู่ในหน่วยหลักของสำนักที่มีชื่อว่าตำหนักแดงเดือด พวกเขาใช้ค่ายกลต้านทานทัพมาร แต่ผลงานไม่ได้มั่นคงเท่าเมืองล่าอินทรี

แห่งที่สามคือเมืองแปลงดาว เป็นสถานที่รวมตัวของกองทัพตระกูลขุนนางที่มาสมทบจากที่อื่น และเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับมาร มีกองทัพและยอดฝีมือมารวมกลุ่มกันอยู่

สามจุดนี้เหมือนกับโขดหินสามก้อนที่ตั้งตระหง่านกลางสายน้ำแต่ไม่พังทลาย หลังภัยพิบัติมารอุบัติ พวกมันก็ยังคงเป็นจุดสนับสนุนสุดท้าย ในอาณาเขตของเมืองทั้งเก้า คอยป้องกันไม่ให้อาณาเขตผืนนี้ปนเปื้อนปราณมารโดยสมบูรณ์

กุบกับๆๆ…

บนเส้นทางเดินรถอันงดงาม ม้าศึกสีดำที่ไม่มีสีอื่นๆ เจือปนตัวหนึ่งวิ่งไปด้านหน้า คนบนหลังม้ากวาดตามองผืนนารอบๆ

‘เป็นช่วงเพาะปลูกแล้วแท้ๆ แต่ภัยพิบัติมารทำให้ผืนนาที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ไม่มีคนไถพรวน…บาปกรรมจริงๆ’

คนบนหลังม้าสวมเกราะอ่อนโลหะสีดำแนบตัว เกราะอ่อนหนาหนักมีผ้าคลุมสามเหลี่ยมสีดำสนิทติดอยู่ด้านหลัง กลางผ้าคลุมคือสัญลักษณ์กระบี่ยาวสีเงินอันแจ่มชัด

คนบนหลังม้าถอนใจ ผมสั้นสีน้ำตาลถูกลมพัดขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นหน้าผากกว้าง ดั้งจมูกโด่ง รวมถึงดวงตาสีเขียวที่คมกริบและหนักแน่น เพียงแต่ว่าส่วนลึกของดวงตาฉายแววจนปัญญาและเสียดาย

ม้าศึกสีดำเร่งความเร็วควบผ่านผืนนาที่รกร้างสองฟากข้าง ห้อตะบึงบนเส้นทางเดินรถที่มีเลือดสาดกระจาย

ไม่นานม้าก็อ้อมทางโค้งบนเขาร้าง ถนนด้านหน้าที่มีพุ่มหญ้าข้างทางปรากฏศาลาเล็กๆ อันเปล่าเปลี่ยว

ศาลาเล็กๆ ที่หลังคาเป็นสีแดง เสาเป็นสีขาว มีไว้ให้นักเดินทางที่ผ่านทางมาหยุดพักเท้า ราชวงศ์ซ่งแห่งต้าซ่งได้ทำเรื่องดีๆ ไว้ไม่น้อยในตอนที่รุ่งเรือง แต่ตอนนี้กลับอ่อนแอลงมาก

ผู้ขับขี่พลิกตัวลงจากหลังม้า จากนั้นก็เดินเข้าใกล้ศาลาพลางกวาดตามองแผ่นหินที่ตั้งอยู่ด้านข้าง

บนแผ่นหินสลักไว้ว่า ที่พักแรม

ม้านั่งหินสีขาวเทาหลายตัวในศาลา ถูกฟาดจนหักเหลือเพียงครึ่งเดียวล้มคว่ำอยู่บนพื้น รั้วกั้นด้านข้างเปิดเป็นช่องมากมาย ขอบช่องยังมีคราบเลือดจางๆ ที่แห้งกรังแล้วติดอยู่

ผู้ขับขี่ถอนใจแล้วเดินเข้าศาลา ยื่นมือไปลูบคราบเลือดแล้วนำมาดม จากนั้นค่อยหาม้านั่งที่สะอาดเรียบร้อยนั่งลง เขาไม่ได้มัดม้าไว้ ปล่อยให้มันเดินกินหญ้าอย่างอิสระ

ผ่านไปสักพัก เงาร่างสีเขียวมรกตสายหนึ่งก็เข้ามาในศาลา

“ให้ท่านรอนานแล้ว นักรบมังกรพุทธะ” คนที่พูดเป็นสตรี น้ำเสียงเย็นเยียบ กดข่ม และกระจ่างชัด ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกได้ถึงปณิธานอันแน่วแน่ของผู้พูด

นักรบ มังกรพุทธะหันไปมองผู้มา

นั่นคือหญิงงามที่สวมชุดกระโปรงสีเขียว มองอายุไม่ออก แต่ต้องไม่เกินสามสิบปี ผิวของนางขาวนวลไร้ตำหนิ หากจะบอกว่ากระโปรงสีเขียวเป็นกระโปรงยาว บอกว่าเป็นผ้าสามผืนที่เอาไว้ปิดท่อนล่างดีกว่า

สองขาเรียวยาวปรากฏวับแวมใต้ชายกระโปรงที่เหมือนกี่เพ้า นางรัดสองขาด้วยผ้าเนื้อบางสีเขียวเหมือนกับถุงน่อง

ตอนที่หญิงงามซึ่งมัดผ้าเนื้อบางแบบนี้ไว้ที่สองขา ลอยตัวเข้ามาอย่างแผ่วพลิ้ว จึงเห็นทิวทัศน์น่ารัญจวนใจระหว่างสองขาใต้กระโปรงได้รำไร

ทว่านักรบบนหลังม้ากลับไม่กล้ามอง เขาก้มหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เชิดคางขึ้นจ้องมองหน้างามที่เย็นชาของนาง

“ใต้เท้าเจวี่ยนหวน อาการบาดเจ็บของท่าน…ไม่เป็นไรกระมัง” เขาแสดงสีหน้าเป็นห่วง

นางถอนใจ เดินไปนั่งลงบนม้านั่งหินที่ยังสภาพดีอยู่ตัวหนึ่ง ไม่สนใจชายกระโปรงที่เปิดขึ้นแม้แต่น้อย หรือควรพูดว่านางแน่ใจว่านักรบบนหลังม้าจะไม่แอบดู

“ยังดี ครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องจะไหว้วาน”

นักรบบนหลังม้าก้มหน้าเล็กน้อย “โปรดสั่ง”

นางยิ้ม ใบหน้าที่เย็นชาแข็งทื่อเล็กน้อย เหมือนกับไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานขนาดไหนก็ไม่ทราบ

“เจ้ายังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม มังกรพุทธะ”

“ใต้เท้า…ผ่านมาตั้งหลายปี ในที่สุดท่านก็เรียกข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้ามังกรพุทธะจะยืนอยู่เบื้องหลังท่านตลอดไป” นักรบบนหลังม้ากล่าวอย่างจริงจัง

เจวี่ยนหวนพยักหน้าเบาๆ “ดี ตอนนี้ภัยพิบัติมารอุบัติขึ้นที่ต้าซ่ง ก่อนหน้านี้ข้าออกจากการกักตนมา รู้สึกได้ว่าสายเลือดทั้งสามที่อยู่ที่นี่ตื่นแล้ว ดังนั้น…ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าไปหาสายเลือดทั้งสามมา”

“มีเบาะแสหรือไม่”

“ไม่มีเบาะแส” นางส่ายหน้า “ครั้งกระโน้นข้ากระจายเด็กสามคนมายังที่นี่ ตอนนี้…คำนวณเวลาดู น่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว…เจ้า…”

“ใต้เท้า…” มังกรพุทธะถอนใจ “ท่านเป็นเพียงหนึ่งในผู้แข่งขันทั้งสามร้อยหกสิบห้าคนในรุ่นนี้ หากคิดจะกลับตระกูล ไม่อาจนำภาระใดๆ ไปด้วย เหล่าคุณหนูคุณชายคงจะเข้าใจ”

“หวังว่านะ…” เจวี่ยนหวนส่ายหน้า ดวงตาฉายแววจนใจ “ครั้งนี้ที่มาก็เพื่อตามหาเด็กๆ แล้วนำกลับไปให้หมด จะให้สายเลือดของตระกูลหยวนกวงกระจัดกระจายอยู่ด้านนอกแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นข้าลุ่มหลงอยู่ชั่วขณะ ถูกคนผู้นั้น…”

“ไม่เกี่ยวกับใต้เท้าหรอก เรื่องแบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นพวกเราอ่อนแอเกินไป” มังกรพุทธะกล่าวอย่างหนักใจเช่นกัน “ข้าน้อยทราบความตั้งใจของท่านแล้ว”

“รบกวนเจ้าแล้ว” นางแสดงความเสียใจ

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรกระทำ”

ณ สำนักมารกำเนิด

ลู่เซิ่งยืนอยู่บนส่วนยอดสุดของหอศิลาที่สร้างขึ้นใหม่ กำลังก้มมองคนของสำนักมารกำเนิดที่ฝึกฝนอยู่ด้านล่าง

หลังจากภัยพิบัติมารเกิดขึ้นก็ผ่านไปห้าวันแล้ว ในห้าวันนี้ เขาปะทะกับมือยักษ์ของเจ้าแห่งมารในประตูเลือดเนื้อ จากนั้นก็ช่วยอาจารย์ลิ่วซานจื่อ ก่อนจะรวบรวมคนกลับสำนักมารกำเนิด และใช้ชัยภูมิป้องกันทัพมารที่พร้อมจะบุกมาตลอดเวลา

ในที่สุดสำนักมารกำเนิดก็ป้องกันการบุกจู่โจมของทัพมารที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายได้ ทางเข้าของสำนักมารกำเนิดใหญ่แค่นิดเดียว รอบๆ ยังเป็นหน้าผาลาดชัน หากไม่ระวังก็จะตกลงไปในเหวลึก ทัพมารจึงโจมตียากกว่าเดิม

เวลานี้คนจำนวนไม่น้อยที่ช่วยเหลือมาจากภัยพิบัติมาร เข้ามาร่วมงานสร้างแนวป้องกันของสำนักมารกำเนิดด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา คนในสำนัก หรือคนจากตระกูลขุนนางที่มีความสามารถ

หอ ตึกเตี้ย และห้องพักหลายแห่งถูกสร้างขึ้นใหม่ แค่สองวันสำนักมารกำเนิดก็สร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ขึ้นมาไม่น้อยแล้ว

ลู่เซิ่งมองศิษย์ที่กำลังฝึกฝนระดับพื้นฐานที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

ลิ่วซานจื่อที่เพิ่งฟื้นตัว อยู่ด้านหน้าของเขา

ความจริงลิ่วซานจื่อเป็นคนที่ได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงของลู่เซิ่งมากที่สุด

ตั้งแต่ความน่ามหัศจรรย์ในตอนแรก ไปถึงการซ่อนเร้นอย่างระมัดระวังในภายหลัง จากนั้นก็เป็นการเปิดเผยโดยสมบูรณ์ หัวสมองของเขายังคงขาวโพลนตั้งแต่ได้ข่าวจนถึงตอนนี้

ลิ่วซานจื่อกำลังก้มมองศิษย์ด้านล่างอยู่เช่นกัน แต่ความคิดอยู่ที่ตัวลู่เซิ่งซึ่งอยู่ด้านหลัง

“เจ้า…ทำลายพันธนาการ…ได้ตั้งแต่ตอนไหน…”

“นานแล้วขอรับ” ลู่เซิ่งสีหน้าเรียบเฉย “นานมากๆ แล้ว ข้านึกว่าตัวเองมีปัญหา จึงไม่กล้าบอกอาจารย์ เพียงแต่ภายหลังพบว่าเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขอบเขตยิ่งฝึกยิ่งสูงขึ้น พลังฝึกปรือยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง จึงรู้ว่าจะให้คนนอกรู้ไม่ได้”

“…ลำบากเจ้าจริงๆ…” ลิ่วซานจื่อถอนใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าได้ร่างมารอีกเจ็ดร่างมาแล้วหรือ”

“คัดลอกไว้หมดแล้วขอรับ พร้อมจะส่งให้ท่านได้ทุกเวลา” ลู่เซิ่งพูดช้าๆ

……………………………………….