บทที่ 301 ชักนำไฟ (1)
“ไม่ต้องหรอก…ข้า…ข้าสู้เจ้าไม่ได้แล้ว เสี่ยวเซิ่ง ถ้าเจ้าเป็นเจ้าสำนักมารกำเนิด ตอนนี้เจ้าจะวางแผนให้ทุกคนอย่างไร” ลิ่วซานจื่อถามหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย
“อพยพ!” ลู่เซิ่งตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไปยังสถานที่ที่ไม่มีภัยพิบัติมาร นี่เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”
ภัยพิบัติมารเป็นภัยพิบัติที่มีจำนวนความเสียหายนับล้าน ยามเผชิญหน้ากับจำนวนระดับนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ได้แต่ถูกหยุดยั้ง และอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ ถึงอย่างไรเขาก็มีแค่คนเดียว ไม่ใช่มีหลายคน
“การอพยพเป็นแผนการที่ดี แต่ส่วนตัวข้าคิดว่าตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องย้าย พวกเราในตอนนี้ไม่ใช่เป้าหมายการโจมตีหลัก แถมยังมีเจ้าอยู่ก็เหลือเฟือแล้ว สภาพแวดล้อมที่มีปราณมารเข้มข้นแบบนี้กลับเป็นผลดีต่อพวกเราสำนักมารกำเนิด นอกจากนี้เมืองเมฆเจริญกับเมืองล่าอินทรีก็ส่งเทียบเชิญให้พวกเรา ขอให้พวกเราไปหาด้วย” ลิ่วซานจื่อกล่าวเสียงเบา
“ตำหนักแดงเดือดในเมืองเมฆเจริญหรือ ส่วนเมืองล่าอินทรีข้าจำได้ว่าเป็นค่ายทัพหลักของตระกูลซั่งหยาง ท่านอาจารย์อยากจะไปหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ
“ไม่ใช่ข้าอยากไป แต่ว่าอาจารย์หญิงของเจ้า…” ลิ่วซานจื่อหน้าแดง กระแอมสองคำ
“อย่างนั้นพวกเราไปตำหนักแดงเดือดดูก่อน ค่อยไปเมืองล่าอินทรีเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งเสนอ
“ตำหนักแดงเดือดหรือ เจ้าตัดสินใจเถอะ ข้าวางแผนไว้ว่ารอผ่านไปอีกระยะ จะมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เจ้า ข้าในปัจจุบันไม่มีคุณสมบัตินำสำนักมารกำเนิดในตอนนี้แล้ว ไม่มีพลังพอจะสยบใคร…” ถึงลิ่วซานจื่อจะเป็นผู้เข้มแข็งระดับอสรพิษ แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจไม่ถอนใจ
ลู่เซิ่งเป็นอัจฉริยะในร้อยเส้นสายที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ มีคุณสมบัติน่าตกตะลึงพรึงเพริศจนถึงขั้นสุดบรรยาย แม้จะไม่รู้ว่าเขาหลอมรวมกับอาวุธเทพชิ้นไหน แต่กลับเลื่อนถึงระดับอสรพิษได้ในเวลาสั้นๆ แค่นี้ แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวทางศักยภาพของเขา
สำนักมารกำเนิดจะแข็งแกร่งขึ้นก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การนำของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งสนทนากับลิ่วซานจื่อสักพัก ค่อยลงไปคุยกับเหล่าศิษย์น้องสองสามประโยค จากนั้นก็เรียกพวกสวีชุยมา แล้วเริ่มทดลองความเป็นไปได้ในการถ่ายทอดวิถีแปดมารสูงสุด
เขาพาคนไปยังที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง ทดลองรวมร่างมารแปดร่างเป็นชุดเดียวเพื่อลดจุดที่ทับซ้อนกันก่อน จากนั้นค่อยรวมระบบการฝึกฝนร่างมารแต่ละระบบที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดให้เป็นหนึ่ง
ทว่าการรวมแบบนี้…อย่าว่าแต่พวกสวีชุย ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็มึนงงอยู่เล็กน้อย
แม้แปดร่างมารจะรวมเป็นหนึ่งและลดจุดที่ซ้อนทับกันไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังเป็นวิชามารอันเหี้ยมหาญที่มีทั้งหมดเจ็ดสิบสองระดับอยู่ดี
วิชามารชุดนี้ตั้งแต่เริ่มฝึกในระดับแรก ยิ่งฝึกไปถึงระดับหลังๆ เท่าไหร่ ความเร็วก็จะยิ่งลดลง จากคุณสมบัติของพวกสวีชุย จำเป็นต้องใช้เวลาปีกว่าจึงจะฝึกฝนระดับแรกให้ไปถึงระดับพลังปลอดโปร่งสำเร็จ ทว่าหลังจากระดับที่สองเป็นต้นไปก็เกิดความผิดปกติแล้ว
นี่เหมือนกับวรยุทธ์โด่งดังที่เวลาในการฝึกระดับต่อไปจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในนิยายที่ลู่เซิ่งเคยอ่าน
วิถีแปดมารสูงสุดนี้มีลักษณะพิเศษเหมือนกัน ระดับที่หนึ่งใช้เวลาปีกว่า ระดับที่สองใช้เวลาสองปีกว่า ระดับที่สามใช้เวลาสามปีกว่า…
หากคำนวณตามนี้ ในสภาพที่ราบรื่นสมบูรณ์ซึ่งไม่มีจุดติดขัดโดยสิ้นเชิง เจออะไรก็ผ่านไปได้หมด เจ็ดสิบสองระดับจำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งพันหกร้อยยี่สิบแปดปี…ถึงจะบรรลุถึงระดับของเขาในตอนนี้ได้
นี่ยังเป็นเพราะอานุภาพของไฟหยินที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติหลังวิวัฒนาการ
เมื่อไม่มีไฟหยินในระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียร อานุภาพของวิถีแปดมารสูงสุดก็จะลดลงอย่างน้อยหลายระดับ อย่างมากสุดก็ไปถึงระดับอสรพิษสามขั้นบน อย่าว่าแต่เข้าใกล้ระดับจ้าวแห่งมาร แม้แต่ระดับผู้ถืออาวุธก็ยังห่างกันไกล วิชามารแบบนี้สู้การสืบทอดของตระกูลขุนนางไม่ได้
วิถีแปดมารสูงสุดที่เขาสอนให้มีความคุ้มค่าต่ำมาก ลู่เซิ่งไม่แนะนำให้พวกเขาฝึกต่อ แต่ว่าการถ่ายเทปราณมารในไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเข้าร่าง เพื่อเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติร่างกายและเพิ่มพลังบางส่วนโดยตรงยังคงใช้ได้
เขาถ่ายเทปราณมารใส่ร่างของสวีชุยกับนิ่งซานแล้วรอทั้งสองคนกลับไปกักตนย่อยสลาย จากนั้นเขาก็พบจ่านหงเซิงที่ตั้งใจมาหาโดยเฉพาะ
บนลานฝึกทื่มืดครึ้ม สวีชุยกับนิ่งซานเพิ่งไปได้ไม่นาน จ่านหงเซิงก็เดินก้มหน้าเข้ามาดัวยเนื้อตัวที่เกร็งจนสั่นเทาเล็กน้อย
ลานฝึกใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอล เป็นสถานที่ที่ลู่เซิ่งบุกเบิกขยับขยาย ยังสามารถเห็นหินหนืดที่ถูกหลอมจนกลายเป็นสภาพต่างๆ ได้ตรงรอบนอก
เดิมทีเขาเตรียมจะลุกขึ้นจากไปแล้ว ทว่าพอเห็นจ่านหงเซิงมาก็นั่งลงอีกครั้ง เพื่อดูว่านางมีธุระอะไร
จ่านหงเซิงใส่ชุดแนบเนื้อสีดำสนิท ขับเอวคอดเล็กกับหน้าอกที่เหมือนอาวุธสังหารคู่หน้าอย่างสมบูรณ์แบบ สองขาถูกรัดจนกลมกลึงเรียวยาว
ที่นี่ไม่ใช่แดนเหนือ จงหยวนยังคงเห็นว่าขาคู่ยาว เป็นความงดงาม จ่านหงเซิงแต่งกายอย่างค่อนข้างเปิดเผย ถึงขั้นแม้แต่ร่องแยกระหว่างสองขาก็ยังเห็นเค้าโครงได้เพราะกระโปรงยาวแนบเนื้อที่รัดแน่นเกินไป
นี่ทำให้ลู่เซิ่งเห็นว่าคนในจงหยวนเปิดเผยขนาดไหน
ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจนัก ไม่ว่าจะเป็นเก้าตระกูลแห่งจงหยวน หรือคนธรรมดาที่สู้รบมานานปี ตระกูลขุนนางก็ดี คนธรรมดาก็ดี ต่างก็กำลังเร่งการให้กำเนิดอย่างบ้าคลั่ง
เป็นเพราะมีปัญหาและภัยพิบัติมากมายเกินไป การให้กำเนิดไม่พอเพิ่มจำนวนประชากร จนกลายเป็นการเติบโตเชิงถดถอย อีกไม่กี่ปีเกรงว่าคนจะหมดจากรัฐซ่ง จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสนิยมความเปิดเผย
“เจ้ามาทำไม” ลู่เซิ่งถาม
บนพื้นเรียบในถ้ำอันมืดครึ้ม เขานั่งขัดสมาธิชิดกำแพงในส่วนลึกสุด บุคลิกสุขุมเย็นชา ร่างอยู่ในเสื้อคลุมสีดำ เห็นกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นเหมือนศิลาและเหล็กกล้าได้รางๆ เพียงแค่ใส่เสื้อคลุมหลวมๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนสวมเกราะอ่อนหนาหนัก
จ่านหงเซิงสะดุ้งและร่างกายสั่นเทิ้ม เงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่ง
“ข้า…ข้า…ข้าอยากแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน!”
ลู่เซิ่งมองนางอย่างแปลกใจ
“เจ้าควรจะไปหาพี่ชายเจ้า หรือไม่ก็แม่เฒ่าชิงคง” เขาไม่ใช่บิดาของนาง อยากแข็งแกร่งขึ้น แล้วมาหาเขาทำไม
“พวกเขา…พวกเขาสู้ท่านไม่ได้!” จ่านหงเซิงใบหน้าแดงก่ำ หอบหายใจเล็กน้อย อดก้มหน้าลงไม่ได้
ลู่เซิ่งตั้งใจเพ่งมองเด็กสาวเงียบๆ
เขาพอจะมองออกแล้วว่าจ่านหงเซิงเป็นคนที่ยกย่องผู้แข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้บุรุษที่ชื่ออะไรสักอย่างผู้นั้นแข็งแกร่งกว่านาง ดังนั้นจึงทำให้นางปลื้มได้อย่างง่ายดาย ส่วนตอนนี้เขาแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นนางจึงตั้งใจแต่งกายยั่วยวนเพื่อหวังให้เขาผลักดันนาง
ทว่านี่ไม่มีผลอะไรกับเขา
ที่บ้านเก่าเขายังไม่กล้าเข้าหอด้วยซ้ำ เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้ภรรยาเสียชีวิตโดยไม่ทันระวัง ตอนนี้สำเร็จร่างมาร วิถีแปดมารสูงสุดไปถึงขอบเขตสูงสุด ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ความสามารถด้านนี้แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่ปัญหาก็คือแข็งแกร่งเกินไปก็เกิดปัญหาได้…จึงไม่กล้าแตะต้องสตรีทั่วไป
หนำซ้ำถ้าไม่ใช่เขาสะกดสนามพลังปั่นป่วนจิตใจของตัวเองไว้ เด็กสาวผู้นี้เข้ามาใกล้แบบนี้ คงจะเฉือนคอตัวเองล้มกองเป็นศพไปแล้ว
จ่านหงเซิงในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับโคมไฟกระดาษในสายตาของเขา บางทีการเปรียบเทียบนี้ยังถือว่าเกรงใจแล้ว
แค่เป่าใส่ อีกฝ่ายก็อาจรับไม่ไหวแล้ว
“เจ้าอ่อนแอเกินไป” ลู่เซิ่งพูดความจริงอย่างเรียบเฉย “ต่อให้มีข่ายกระเรียนหยินที่ข้าวางไว้ก่อนหน้านี้ เจ้าก็อ่อนแอเกินไปอยู่ดี สิ่งที่เจ้าต้องการในตอนนี้ไม่ใช่การชี้แนะจากข้า แต่เป็นการชี้แนะจากอาจารย์ของเจ้าและพี่ชายของเจ้า นั่นจึงเป็นการเลื่อนระดับที่เหมาะกับระดับของเจ้าในตอนนี้ที่สุด”
“แต่ว่าข้า…” จ่านหงเซิงยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่ก็ถูกพลังอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งที่มองไม่เห็นผลักออกไป นางยังไม่ทันรู้สึกตัว ร่างกายก็ลอยออกมาหลายสิบหมี่แล้วหล่นลงตรงมุมโค้งของถ้ำอย่างโดยไม่อาจควบคุมได้แล้ว
“ไปซะ” ลู่เซิ่งพูดอย่างเฉยชา เสียงที่ส่งมาเหมือนพูดอยู่ตรงหน้านาง
จ่านหงเซิงผุดสีหน้าไม่ยินยอม ยังคิดจะก้าวไปด้านหน้า ทว่าเพิ่งออกเดินก็รู้สึกได้ว่ามีกำแพงล่องหนโผล่ขึ้นด้านหน้า ปิดตายเส้นทางเข้าไปหาลู่เซิ่งไว้พอดี
นางกระทืบเท้าก่อนจะหมุนตัวจากไปด้วยความจนปัญญา
ลู่เซิ่งถือโอกาสปรับร่างกายต่อ โดยนั่งเงียบๆ อยู่ที่เดิมอีกสักพัก เขาในตอนนี้ไม่ต้องฝึกฝนอะไรอีกแล้วนอกจากตั้งใจทำให้พลังฝึกปรือมั่นคงและค้นหาแก่นมารเพื่อดูดซับ
หลังจากแก่นมารอันเล็กน้อยของผู้บัญชาการมารถูกเขาดูดจนเกลี้ยง ปริมาณเพิ่มขึ้นมาไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน ยังขาดอีกมากมาย
ดังนั้นเขาในตอนนี้ต้องปรับตัวเข้ากับพลังฝึกปรือที่เพิ่มพรวดพราดเป็นหลัก
การก้าวกระโดดจากระดับอสรพิษไปถึงระดับผู้ถืออาวุธมีระยะห่างกว้างไปบ้าง เทียบได้กับการเลื่อนระดับติดต่อกัน ความสามารถในการควบคุมตัวเองจึงลดลงไปถึงขั้นที่ลำบากยากเย็น
ไม่อย่างนั้นตอนสู้กับผู้บัญชาการมารเมื่อก่อนหน้านี้ คงไม่เกิดสภาวะยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ควรจะรวมพลังทั้งหมดเข้าด้วยกัน ถึงจะไม่รุนแรง แต่ก็มีอานุภาพสูงกว่าเดิม
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามกว่าๆ มุมโค้งของอุโมงค์ก็มีแขกที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าหลายคนมาหา
ลู่เซิ่งซึ่งเดิมทีหลับตาอยู่ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองสตรีกระโปรงขาวที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้นอย่างประหลาดใจ
สตรีที่พันผ้าโพกศีรษะสีขาว ร่างเปรอะคราบเลือดเล็กน้อย สองแขนถือขวานฟันฟืนธรรมดาเล่มหนึ่ง
“ท่านคือ…ศิษย์พี่หน้าขาวหรือ” ลู่เซิ่งมีความทรงจำอันล้ำลึกต่อศิษย์พี่พิลึกที่ได้เจอตอนเพิ่งเข้าสำนักผู้นี้
“ข้ากับคุณหนูมี่มาขอให้เจ้าช่วยฝึกพิเศษให้เด็กคนนี้” ศิษย์พี่หน้าขาวเป็นวิญญาณที่เคลื่อนไหวในตอนกลางคืนของสำนักมารกำเนิด นึกไม่ถึงว่าจะมาติดต่อเขาด้วยตัวเอง
กล่าวตามจริง ลู่เซิ่งสนใจในตัวศิษย์พี่หน้าขาวและคุณหนูมี่งูหลามยักษ์ตาเดียวอยู่บ้าง
พวกนางคือวิญญาณและเป็นผู้อาวุโสที่มีชีวิตอยู่มานานมาก คงจะรู้จักสำนักมารกำเนิดปรุโปร่งยิ่งกว่าศิษย์พี่ใหญ่เหอเซียงจื่อเสียอีก
เพียงแต่เป็นเพราะที่แล้วมาไม่มีเวลาว่าง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปติดต่อ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาหาด้วยตัวเอง
“เด็ก…” เขาหันไปมองเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ด้นหลังศิษย์พี่หน้าขาว
นั่นเป็นเด็กธรรมดาที่สูงไม่ถึงหนึ่งหมี่ ทว่าใบหน้าของเขากลับเป็นสีฟ้า มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนเป็น ถ้าไม่ใช่ศพหยินก็เป็นภูตผี ภูตผีขอให้ตนสอนเขาอย่างนั้นหรือ
พอเห็นว่าลู่เซิ่งกำลังมองอยู่ เด็กชายคนนั้นก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า จ้องมองลู่เซิ่งตรงๆ ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ข้าชื่อตู้เย่ คำนับศิษย์พี่!”
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปอยู่บนร่างกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง คนพวกนั้นคือพวกหลี่ซุ่นซี ที่ก่อนหน้านี้ถูกทัพมารจับเป็นเชลย
หลี่ซุ่นซี ซุนเมิ่ง เหลียนจี อิ๋นจื่อ เหล่าสหายต่างมากันครบ เพียงแต่ต่างคนต่างพันผ้าพันแผล แต่ละคนได้รับบาดเจ็บ ทว่ากลับมีความรู้สึกยินดี
“สหายหลี่ สบายดีหรือ…” ลู่เซิ่งยิ้มให้หลี่ซุ่นซี อย่างไรก็เป็นเพื่อนกัน แม้อีกฝ่ายจะอ่อนแอไปบ้าง แต่มิตรภาพไม่ใช่ของปลอม
“อย่า อย่าเรียกข้าว่าสหายหลี่ ครั้งนี้ข้าต้องการให้ท่านสอน ถ้าหากทำได้ ข้ายังคิดจะกราบท่านเป็นอาจารย์ด้วย…” หลี่ซุ่นซีรีบโบกมือพลางยิ้มฝาด เขาชี้สามคนที่อยู่ด้านข้างและตู้เย่วิญญาณน้อยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“พวกเราโดนภัยพิบัติมารเล่นงานจนอ่วม หวังว่าท่านจะฝึกพิเศษให้พวกเราได้สักครั้ง แน่นอนว่าถ้ารับเป็นศิษย์ได้ย่อมยิ่งดี”
ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด
“เรื่องรับศิษย์…ข้ายังไม่มีความคิดนี้ ถ้าเรื่องฝึกพิเศษ…” เขากวาดตามองสี่คนหนึ่งวิญญาณ
เห็นได้ชัดว่าความสงบสุขในตอนกลางคืนของสำนักมารกำเนิดที่ผ่านมาเป็นผลงานของศิษย์พี่หน้าขาวกับคุณหนูมี่ ต่อให้เป็นทัพมาร ก็ไม่เคยบุกโจมตีสำนักมารกำเนิดตอนกลางคืนมาก่อน แสดงให้เห็นว่าสองคนนี้มีประโยชน์ไม่น้อย
บวกกับความอาวุโสของศิษย์พี่หน้าขาว เขาย่อมต้องเห็นแก่หน้า
ทางหลี่ซุ่นซีตอนนั้นเสี่ยงตายตะโกนบอกตัวคนร้าย แม้ว่าเป้าหมายจะไม่บริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ได้ช่วยตน บวกกับมิตรภาพก่อนหน้า การฝึกพิเศษย่อมไม่เป็นปัญหา
“พวกท่านต้องการการฝึกพิเศษแบบไหน” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“การฝึกพิเศษแบบไหนที่เหมาะจะให้พวกเรายกระดับพลังอย่างรวดเร็วที่สุด” ซุนเมิ่งบุรุษผู้เงียบขรึมกลับถามอย่างตรงไปตรงมา
“การต่อสู้จริง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเฉยชา “การต่อสู้จริงเหมาะกับการยกระดับของพวกท่านที่สุด”
“เช่นนั้นก็ได้!”
“ตรงนี้นี่แหละ” เขาปลดปล่อยสนามพลังจิตใจเล็กน้อย
สนามพลังกดทับร่างสี่คนหนึ่งผีในทันที พวกเขาพลันตาเหลือก แล้วสลบล้มลงกับพื้น
ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มองไปยังศิษย์พี่หน้าขาว
“สิ่งที่คนรับมือได้ยากที่สุดก็คือตัวของเขาเอง ไม่ต้องกังวล” ดังนั้นเขาจึงใช้สนามพลังปั่นป่วนกดดันคนเหล่านี้เล็กน้อย โดยใช้วิชาลับมากมายของสำนักมารกำเนิด ชักนำพวกเขาเข้าไปในห้วงฝัน ใช้จิตใจสู้กับตนเอง
นี่ความจริงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
……………………………………….