บทที่ 302 ชักนำไฟ (2)
ขณะที่พวกเขาหลับปุ่ย ลู่เซิ่งก็มองหน้าขาว
“ครั้งนี้พวกเราพบกันเป็นครั้งที่สองแล้วกระมัง ศิษย์พี่หน้าขาว”
“ใช่” ศิษย์พี่หน้าขาวมองสี่คนหนึ่งผีบนพื้น สายตาจับอยู่บนร่างของเด็กชายตู้เย่และหลี่ซุ่นซี
“พวกเราฝากทุกสิ่งไว้ที่ตัวพวกเขา”
ลู่เซิ่งมึนงง เขารู้ว่าศิษย์พี่หน้าขาวแข็งแกร่ง ต่อให้ไม่ใช่ระดับอสรพิษ แต่ก็เป็นยอดฝีมือที่ใกล้เคียงกับระดับอสรพิษที่สุด คุณหนูมี่ก็เหมือนกับนาง แม้ว่าพลังจะไม่ถึงระดับอสรพิษ แต่ก็มีความพิเศษมากมาย ดูจากการที่ทั้งสองไม่กริ่งเกรงสนามพลังปั่นป่วนจิตใจของตน ก็รู้แล้วว่าพวกนางไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่าสนามพลังนี้จะมีผลกับแค่ระดับอสรพิษลงไปเท่านั้นก็ตาม
เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่าหลี่ซุ่นซีจะได้รับการถ่ายทอดจากภูตผีด้วย
เขาพิจารณาหลี่ซุ่นซีกับตู้เย่ กลับพบเลศนัยบนตัวพวกเขาจริงๆ บนร่างของสองคนนี้แผ่ซ่านไอความตายอย่างเลือนราง ไอความตายนี้กระจายไปรอบๆ กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเหมือนกับระลอกคลื่นที่กระเพื่อมออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“พวกเราคิดมานาน เรื่องที่สำนักมารกำเนิดในตอนกลางวันและตอนกลางคืนจำเป็นต้องร่วมมือกัน…” ศิษย์พี่หน้าขาวกล่าวความคิดของพวกนาง
ลู่เซิ่งตั้งใจฟัง พอจะเข้าใจความหมายคร่าวๆ พวกศิษย์พี่หน้าขาวฝากการสืบทอดและความหวังทั้งหมดไว้ที่ตัวตู้เย่ ตอนนี้ในที่สุดตู้เย่ก็เรียนสิ่งที่พวกนางมีไปจนหมดแล้ว ดังนั้นพวกนางจึงต้องการให้เด็กคนนี้เริ่มติดต่อกับสำนักมารกำเนิดในยามกลางวัน
ลู่เซิ่งใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วเรียกอาจารย์ลิ่วซานจื่อมา ให้พวกเขาร่วมมือกันจัดการปัญหานี้
การฝึกพิเศษของพวกหลี่ซุ่นซีเรียบง่ายยิ่ง ลู่เซิ่งเพียงแค่ต้องนั่งปล่อยวิชาลับอยู่ที่เดิมโดยคลายสนามพลังส่วนหนึ่ง ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายวัน หลี่ซุ่นซีกับตู้เย่ล้วนประสบความสำเร็จ ก่อนจะบอกลาลู่เซิ่งอย่างมีมารยาท
สำนักมารกำเนิดจัดเตรียมกลุ่มเยี่ยมเยียนตำหนักแดงเดือดไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้เป็นการเยี่ยมเยียนเพียงในนาม แต่ความจริงคือการบรรลุข้อตกลงในการร่วมมือ ภัยพิบัติมารอยู่ตรงหน้า แม้สำนักมารกำเนิดจะมีลู่เซิ่งคอยคุ้มครอง ทว่าวิญญาณมารไม่ได้มีแค่ตนเดียว หากแยกตัวไปลงมือ ลู่เซิ่งก็ไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ สุดท้ายต้องให้ยอดฝีมือคอยช่วยเหลือ
ที่ตำหนักแดงเดือดมียอดฝีมือผู้รอดชีวิตที่หนีออกมาจากเมืองทั้งเก้ารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย ขุมกำลังสูงสุดถึงแม้อ่อนแอ แต่ก็มีจำนวนคนมากพอ พลังโดยเฉลี่ยนับว่าไม่เลว
ทั้งสองฝ่ายมีขอบเขตในการร่วมมือกว้างมาก
ครั้งนี้ลูเซิ่งเป็นคนนำกลุ่ม โดยเขาต้องการร่วมมือกับตำหนักแดงเดือดในการส่งคนออกไปรวบรวมทรัพยากร
ตำหนักแดงเดือดอยู่ห่างจากสำนักมารกำเนิดหลายร้อยลี้ ในสถานการณ์ปกติระยะห่างนี้นับว่าใกล้ แต่ตอนนี้เกิดภัยพิบัติมาร อันตรายที่อาจพบได้ระหว่างเดินทางมีมากมายถึงขีดสุด
ดีที่ลู่เซิ่งแข็งแกร่งมาก เขาใช้มารหยินกรุยทางพร้อมกับทะลวงไปตรงๆ ทั้งยังดูดซับปราณมารมาเปลี่ยนแปลงและชดเชยพลัง ใช้เวลาแค่สองชั่วยามก็มาถึงตำหนักแดงเดือด
…
กลุ่มตำหนักสีแดงขนาดใหญ่โตอันเป็นโบราณสถาน สะท้อนแสงสีชมพูภายใต้ดวงอาทิตย์
พวกลู่เซิ่งเพิ่งมาถึงด้านนอกกลุ่มตำหนัก ผู้รับผิดชอบชั่วคราวของตำหนักแดงเดือดกลุ่มหนึ่งที่รอมานาน ได้จัดขบวนต้อนรับไว้เรียบร้อยแล้ว
สี่คนที่เป็นผู้นำประกอบด้วยซั่งหยางจิ่วหลี่แห่งตระกูลซั่งหยาง ข่งลู่แห่งสำนักบัวสวรรค์ เทพธิดาเซ่ออั้นแห่งสำนักทวนเทพ รวมถึงผู้เข้มแข็งที่เป็นนักพเนจรอิสระไม่มีสังกัดอีกคนหนึ่ง
คนทั้งสี่เป็นผู้นำของตำหนักแดงเดือด คนสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังเป็นผู้ดูแลระดับสูงของที่นี่ ด้านหน้าประตูตำหนัก สตรีแช่มช้อยสวมใส่ชุดเนื้อบางกึ่งโปร่งแสงเรียงแถวอยู่สองฟากข้าง หน้าอกกับขาที่โผล่ให้เห็นวับแวบแสดงถึงประเพณีเปิดเผยของจงหยวนได้อย่างชัดเจน
“ลู่เซิ่ง…” ซั่งหยางจิ่วหลี่เดินเข้ามาเป็นคนแรก มองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับอีกฝ่ายอย่างไรดี บุรุษที่เคยนึกมาตลอดว่าเป็นขุนพลในสังกัดกลับทะยานไปถึงระดับที่ไม่กล้านึกถึงอย่างเงียบเชียบ
ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่รู้ว่าควรเรียกอีกฝ่ายอย่างไรดี
“จิ่วหลี่ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกห่างเหินกันขนาดนั้นเลยหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขากำหนดคำเรียกในทันที
ซั่งหยางจิ่วหลี่ยิ้มตามพลางพยักหน้า
“ถูกแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เจ้าได้ดีแล้ว นึกว่าเจ้าจะลืมอดีตสหายสนิทอย่างข้าแล้วเสียอีก มาๆ ข้าจะแนะนำคนเหล่านี้แก่เจ้า”
นางลากลู่เซิ่งพร้อมกับมองไปยังสามคนที่เหลือ
“ท่านนี้คือข่งลู่ ท่านข่งแห่งสำนักบัวสวรรค์ ผู้ที่ฝึกคัมภีร์ลับเจ็ดจันทราแข็งแกร่งที่สุดนอกจากเจ้าสำนัก” ข่งลู่เป็นนักศึกษาวัยกลางคนที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน พอได้ยินก็เพียงพยักหน้าน้อยๆ ให้ลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งมีความทรงจำอย่างล้ำลึกต่อสำนักบัวสวรรค์ ทัพหลักของสำนักใบไม้นี้เอนเอียงไปทางมนุษย์ทั่วไป ตอนนั้นได้มอบวิธีติดต่อให้เขาเนื่องจากอยากดึงเขาเป็นพวก แต่ว่าไม่สำเร็จ
“ท่านนี้คือเหลียนซิ่ว เทพธิดามฤควันทาแห่งสำนักทวนเทพ ถึงแม้จะเพิ่งเลื่อนสู่ระดับอสรพิษ แต่มีศักยภาพยิ่งใหญ่ ถนัดวิชาเสียง” ซั่งหยางจิ่วหลี่แนะนำคนอื่นต่อ
เทพธิดามฤควันทาเป็นยอดฝีมือที่มีรูปโฉมงดงามบริสุทธิ์ กอปรด้วยกลิ่นอายทางพุทธเข้มข้น พอได้ยินดังนั้นก็เพียงยิ้มให้ลู่เซิ่ง นับเป็นการคำนับแล้ว
“คนที่สามเป็นยอดฝีมือพเนจรที่เร้นกายในอาณาเขตของเมืองทั้งเก้า กูผิง” ซั่งหยางจิ่วหลี่แนะนำคนสุดท้ายอย่างขอไปที
คนผู้นี้กลับไม่โมโหแม้แต่น้อย เขาใช้มือเช็ดเหงื่อไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือพเนจรที่ว่านี้มีพลังต่ำกว่าคนอื่นๆ ไม่น้อย
“ยินดีที่ได้พบ” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างขอไปที ด้วยสถานะและพลังของเขา แค่ส่งเสียงทักทายก็นับว่าไม่เลวแล้ว
พวกเขาไม่ได้ถือสา พากันกล่าวต้อนรับ
ภายหลังซั่งหยางจิ่วหลี่นำทุกคนเข้าตำหนักแดงเดือด เดินผ่านสิ่งก่อสร้างสีแดงไปพลาง แนะนำต้นกำเนิดของตำหนักแดงเดือดให้แก่คนที่อยู่รอบข้างไปพลาง จากนั้นก็จัดหาคนมาเดินชมทิวทัศน์ด้วยกัน
ภายหลังนางเชิญพวกลู่เซิ่งและสวีชุยเข้างานเลี้ยงตอนกลางคืน ครั้งนี้ลิ่วซานจื่อไม่ได้มาด้วย คนส่วนใหญ่จึงมีอายุใกล้เคียงกัน
ซั่งหยางจิ่วหลี่นั่งลง เล่าเรื่องน่าสนใจส่วนหนึ่งในแดนเหนือเมื่อก่อนหน้านี้ ทำให้ทุกคนหัวเราะตลอดเวลา เทียบกับตอนที่หลบไปพักผ่อนในแดนเหนือ นางในตอนนี้สามารถรับภาระคนเดียวได้แล้ว
พองานเลี้ยงสุราผ่านไปสักพัก คนส่วนใหญ่ในสำนักมารกำเนิดต่างก็มึนเมา ซั่งหยางจิ่วหลี่จัดที่พักไว้แต่แรก จึงให้คนพาพวกเขาไปยังห้องปีกข้างที่อยู่ด้านหลัง
ส่วนลู่เซิ่งพักอยู่ในคฤหาสน์เล็กๆ ที่แยกตัวโดดเดี่ยวคนเดียว
ผู้ที่นำทางก็คือซั่งหยางจิ่วหลี่
ใต้รัตติกาล ดวงดาวพร่างพราว แสงจันทร์ดุจผ้าเนื้อบาง ทั้งสองเดินเลียบริมแม่น้ำ
“เทียบกับก่อนหน้านี้ เจ้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ชีวิตบีบบังคับ จึงต้องเป็นผู้ใหญ่” ซั่งหยางจิ่วหลี่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา นางถอดกวนทรงสูงลงแล้ว ผมสีขาวถูกมัดเป็นหางม้า คิ้วกระบี่เย็นชา ใบหน้าสง่างาม แม้ยังคงความดุร้ายเป็นบางส่วน แต่รู้สึกเหมือนสตรีมากขึ้น
อย่างน้อยยามมองไกลๆ ก็ดูออกว่าเป็นอิสตรี
“ต่อจากนี้เจ้าวางแผนจะทำอะไร” ลู่เซิ่งถาม
“ตระกูลซั่งหยางได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในศึกครั้งนี้ เรื่องราวต่อจากนี้รอหลุดจากเขตภัยพิบัติมารแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ซั่งหยางจิ่วหลี่สะท้อนใจ “ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า บรรพชนจวินของตระกูลข้า เกรงว่าจะเกิดอันตรายจริงๆ ขอบคุณท่าน”
“ตอนแรกเจ้าก็ช่วยข้าไว้เยอะเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้ามีเป้าหมายของตัวเอง ไม่ต้องขอบคุณหรอก” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
ทั้งสองเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ออกจากสวนดอกไม้ไปถึงริมชายหาดของแม่น้ำเล็กๆ
ความจริงแล้วตำหนักแดงเดือดเป็นโบราณสถานที่มีพื้นที่ใหญ่โต เพียงแต่ภายหลังมีสำนักหนึ่งตั้งชื่อมันว่าตำหนักแดงเดือด ชื่อเสียงจึงค่อยๆ แพร่หลาย กลุ่มตำหนักนี้ป้องกันง่ายโจมตียากโดยธรรมชาติ มีภูมิประเทศซับซ้อน ทั้งยังหลงทางได้ง่ายถ้าไม่ระวัง
ทั้งสองคุยกันถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน คิดเหมือนกันว่าจะต้องออกจากเขตเมืองทั้งเก้า เก้าเมืองในตอนนี้เป็นแนวหน้าที่ทัพมารยึดครอง ตระกูลซั่งหยางเหลือรากฐานเพียงเล็กน้อย เนื่องด้วยถูกทำลายไปถึงเก้าส่วน ตุลาการเหลือเพียงไม่กี่คน จิตรกรแทบพินาศ ยอดฝีมือในตระกูลบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส ยังดีที่บรรพชนยังอยู่ ไม่อย่างนั้นตระกูลซั่งหยางคงล่มสลายโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง
ทั้งสองสนทนากันขณะเดินเลียบแม่น้ำไปยังด้านล่าง
ระหว่างทางลู่เซิ่งเริ่มเห็นสถานการณ์ที่โกลาหลในตำหนักแดงเดือด พวกเขาเจอคนอพยพไม่ต่ำกว่าร้อยคนกำลังสร้างเพิงขึ้นริมแม่น้ำในเวลาแค่หนึ่งชั่วก้านธูป
แม้ตำหนักแดงเดือดจะมีตำหนักมากมาย แต่ส่วนใหญ่มอบให้ศิษย์ในสำนักและคนในตระกูลใหญ่ คนทั่วไปอย่าได้ฝันถึง
บางครั้งก็มีกลุ่มลาดตระเวนเดินผ่าน ตอนพวกเขายังอยู่ ทุกอย่างจะสงบเรียบร้อย พอกลุ่มลาดตระเวนจากไป การแย่งอาหารการกิน การแย่งตำแหน่งที่พักอาศัย แม้แต่การแย่งสตรี และการต่อสู้เข่นฆ่ากันก็เริ่มขึ้นอย่างสับสนอลหม่านทันที
ซั่งหยางจิ่วหลี่มองเห็นแต่ไม่สนใจ เดิมทีลู่เซิ่งคิดจัดการ แต่พอเห็นผู้จัดการตัวจริงไม่สนใจ จึงไม่ได้ทำอะไร
ความจริงเขาไม่นับเป็นคนดี เพียงแต่จะทำเรื่องดีๆ ในเวลาที่อารมณ์ดีและไม่หาเรื่องให้ตัวเองเท่านั้น เวลาส่วนใหญ่จะทำตัวเป็นกลาง
หลังคุยกันสักพัก ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ตอนนำลู่เซิ่งกลับมาถึงประตูตำหนัก ซั่งหยางจิ่วหลี่ก็หมุนตัวมาแล้วหยีตา
“ลู่เซิ่ง หวังว่าเจ้าจะพิจารณาข้อเสนอเมื่อครู่ของข้า แม้ปัจจุบันตระกูลซั่งหยางจะเสียหายอย่างรุนแรง แต่ก็ช่วยเหลือเจ้าได้สบายๆ”
ลู่เซิ่งยิ้ม ถูกต้องแล้ว ต่อให้ตระกูลซั่งหยางได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเพราะภัยพิบัติมาร แต่อย่างไร ลาที่อดตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า หนึ่งในเก้าตระกูลจงหยวนที่กุมความลับมากมายจะต้องมีศักยภาพที่ยากจะจินตนาการถึงแน่ การเข้าร่วมเป็นระดับแกนกลางคือข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจถึงขีดสุด แต่เขามีความคิดของตัวเอง
“ช่างเถอะ เจ้าลองพิจารณาดูก็แล้วกัน” ซั่งหยางจิ่วหลี่เห็นลู่เซิ่งไม่พูดก็โบกมืออย่างจนปัญญา “พักผ่อนให้ดี พาเขาไปยังตำหนักหลักสำหรับพักผ่อน”
“ขอรับ” ข้ารับใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างรีบรับคำ
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรอีก ยิ้มให้ซั่งหยางจิ่วหลี่ก่อนจะหมุนตัวติดตามข้ารับใช้ไป
ข้ารับใช้ที่นำทางไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ว่าตัวสั่นเทิ้มอยู่บ้าง แสดงให้เห็นว่า เขาทราบสถานะของลู่เซิ่งและความสำคัญของอีกฝ่ายแล้ว
เขาพาลู่เซิ่งมาถึงหน้าตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผลักประตูตำหนัก ด้านในไม่มีคน จากนั้นคนผู้นี้ก็หมุนตัววิ่งไป
ลู่เซิ่งมองเขาอย่างแปลกใจเล็กน้อย ตำหนักแดงเดือดนี้พิลึกอยู่บ้าง โบราณสถาณที่เป็นตำหนักเหล่านี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด แถมยังกันเสียงได้ดี ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากอารยธรรมยุคใด
เขาถอนใจ เดินเข้าประตูตำหนักใหญ่ จากนั้นก็เจอห้องปีกสำหรับพักผ่อน จึงเปิดสลักแล้วผลักเข้าไป
แอ๊ด…
เขาตกตะลึงเพราะภาพตรงหน้าทันที
เด็กสาวผู้งดงามที่หน้าคุ้นๆ คนหนึ่งกำลังหมอบอยู่ในห้องด้วยร่างเปลือยเปล่า หันหลังกระดกก้นให้เขาเหมือนกับสุนัขตัวเมียที่ไร้ศักดิ์ศรี
“ซั่งหยางรั่วหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจนปัญญา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่านี่คงเป็นการจัดการของตระกูลซั่งหยาง มิน่าคำกล่าวพักผ่อนดีๆ ตอนแยกกับจิ่วหลี่จึงฟังดูทะแม่งๆ
“ฮึก…ฮือๆ…” ซั่งหยางรั่วน้ำตานองหน้า ดวงตาบวมเพราะร้องไห้ นางหมอบนิ่งอยู่บนพื้น พอได้ยินเสียงของลู่เซิ่งก็ตัวสั่นเทิ้มพร้อมกับเบือนหน้ามาช้าๆ
“ไปซะ” ลู่เซิ่งถอดเสื้อคลุมสีดำบนร่างไปคลุมให้ซั่งหยางรั่ว นอกจากเขาคิดฆ่าคน ไม่อย่างนั้นแม้อีกฝ่ายน่าดึงดูดกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์
หลังคลุมเสื้อให้ เขาก็โบกมือ เกิดเสียงเป๊าะๆ หลายครั้ง พลังงานล่องหนที่ถูกวางไว้บนตัวซั่งหยางรั่วถูกแก้ไขในทันที
นางรีบลุกขึ้นพลางกระชับเสื้อคลุมสีดำ มองลู่เซิ่งอย่างชิงชังแล้วหมุนตัวหนีออกจากห้องไป
……………………………………….