บทที่ 303 สายเลือด (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 303 สายเลือด (1)

ปัง!

ซั่งหยางรั่วที่เพิ่งวิ่งออกไปยังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เงาร่างแช่มช้อยสองสายก็เข้ามาขวางไว้

“นังผู้หญิงชั้นต่ำ! เจ้าคิดจะหนีไปไหน!?” เงาร่างหนึ่งเผยโฉมใบหน้า เป็นสตรีดวงตางดงามที่สวมผ้าปิดหน้าสีขาว เพียงแต่ดวงตานางคมกริบ มองดูก็รู้ว่าเป็นคนแข็งกร้าว

“รั่วรั่ว กลับไปเถอะ เจ้าทำความผิดก็ต้องรับโทษ หรือเจ้าอยากจะให้ใต้เท้าจิ่วหลี่โยนเข้าไปในนั้น” อีกคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ดวงตาที่มองซั่งหยางรั่วปรากฏความเวทนา

“ข้า…ข้า…” ซั่งหยางรั่วน้ำตาทะลักอีกครั้ง นางที่สวมเสื้อคลุมสีดำยืนตัวสั่นอยู่กับที่

“ตั้งแต่เจ้าเผยความลับเพื่อช่วยคนรัก ทุกอย่างในวันนี้ก็ถูกกำหนดไว้แล้ว” สตรีอ่อนโยนกล่าวเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งเดินออกมาจากด้านในห้อง

สตรีทั้งสองรีบหมอบกับพื้นเพื่อทักทายลู่เซิ่งทันที

“คำนับใต้เท้า”

“ลุกขึ้นมาพูด” ลู่เซิ่งกล่าว สำหรับซั่งหยางรั่ว เขาทราบสถานการณ์และเคยเห็นภาพวาดของนางมาจากซั่งหยางจิ่วหลี่เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากันจริงๆ เพียงแต่หลังจากเขาถูกปล่อยให้รอในตอนแรก ก็มีความทรงจำต่อสตรีนางนี้ไม่ดีเท่าไหร่

นึกไม่ถึงว่าตระกูลซั่งหยางจะนำนางมาเป็นของขวัญต้อนรับตน

สตรีทั้งสองค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วเล่าเรื่องที่ซั่งหยางรั่วจงใจเผยข้อมูลเพื่อช่วยคนรักของตัวเองให้ลู่เซิ่งฟังอย่างละเอียด ผลคือซั่งหยางรั่วทำให้กลุ่มที่สมควรล่าถอยได้อย่างปลอดภัยกลุ่มหนึ่งถูกคู่ต่อสู้พัวพันไว้จนเสียหายอยางรุนแรง

“ซั่งหยางรั่วเป็นแค่ของขวัญชดเชยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ท่านไม่ต้องสงสารนาง ไม่ว่าจะทำอย่างไร นางก็จะไม่ขัดขืน” สตรีคนหนึ่งในนี้เอ่ยอย่างเรียบเฉย

“พอแล้ว เอาตัวไปซะ” ลู่เซิ่งโบกมืออย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง นี่เหมือนกับเอาหนูตัวหนึ่งมาถ่างขาต่อหน้าแล้วบอกกับเขาว่า ใต้เท้าไม่ต้องสงสาร จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น…

สงสารๆ สงสารกับผีสิ! แค่เผลอไผลก็พลั้งมือฆ่าได้แล้ว ลู่เซิ่งคาดว่าซั่งหยางจิ่วหลี่คงประเมินความทรงพลังของเขาต่ำไป หรือควรบอกว่าเขาแตกต่างจากผู้ถืออาวุธทั่วไป

สตรีทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาแล้วเดินเข้าไปจับซั่งหยางรั่วที่คิดหลบหนี

กร๊อบๆๆๆ!

เกิดเสียงหักดังขึ้นสี่ครั้ง สตรีเสียงอ่อนโยนหักแขนขาของซั่งหยางรั่วอย่างอำมหิต

เสียงกรีดร้องเพิ่งดังขึ้น ก็ถูกสตรีอีกคนอุดปากไว้

“เอาไปขังในคุกใต้ดินก่อน สายเลือดเสียหายไปแล้ว ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้มาก” สตรีสองคนค้อมตัวคำนับลู่เซิ่งอีกครั้ง ก่อนจะนำตัวซั่งหยางรั่วล่าถอยไป

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่ประตูคนเดียว พอเห็นทั้งสามไปแล้ว จึงค่อยหรี่ตาหมุนตัวเข้าไปพักผ่อนในห้อง

ณ เขตทางทิศใต้

เขาลึกสีดำที่มีเมฆหมอกแผ่กระจายลูกหนึ่งปรากฏอย่างเลือนรางใต้แสงอาทิตย์

ดวงอาทิตย์อันร้อนแรงกับหมอกสีขาวหนาแน่นอยู่ร่วมกัน ไอหมอกไม่มีทีท่าว่าจะสลายหายไปแม้แต่นิดเดียว

บนยอดเขา ด้านในถ้ำคับแคบถ้ำหนึ่ง ริมบึงน้ำที่อยู่ส่วนลึกที่สุดมีสตรีชราอาภรณ์เขียวคนหนึ่งนั่งอยู่

สตรีชราใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หลังงองุ้มเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเย็นเยือกชั่วร้าย

“กี่ปีแล้ว…ผ่านไปกี่ปีแล้ว…” นางถือหินหยกรูปร่างกระบี่สีดำก้อนหนึ่งด้วยร่างที่สั่นไหวน้อยๆ

หญิงชราหลับตาเหมือนกับทบทวนอะไรบางอย่าง

“จนถึงตอนนี้ ข้ายังจดจำภาพที่ท่านแม่พาพวกเราออกเดินทางได้”

เวลานี้ด้านในถ้ำมีหญิงชราอีกสองคนเดินออกมา ดูจากหน้าตาอย่างน้อยก็อายุแปดเก้าสิบปี

ขณะมองหญิงชราที่นั่งขัดสมาธิข้างบึงน้ำ ใบหน้าที่เหมือนกับเปลือกไม้ของทั้งสองก็ฉายความกังวล

“พี่รอง ท่านแน่ใจหรือว่าจดหมายจากทางบ้าน ที่ท่านได้รับเป็นของจริง พวกเราสามคนสาบานเป็นพี่น้องกันมามากกว่าร้อยปี หรือท่านจะทิ้งข้ากับพี่ใหญ่ไป เพราะจดหมายครอบครัวที่ยากแยะแยะว่าเป็นของจริงหรือของปลอมฉบับเดียวจริงๆ”

แม้ชื่อเสียงของสามพี่น้องแม่มดจะไม่ได้โด่งดังมากในภาคใต้ แต่โดยรวมก็อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางบน ปกติสามพี่น้องผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในหุบเขาเมฆดำ ใกล้ชิดสนิทสนมกัน กระทำทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว กลับนึกไม่ถึงว่าหยวนกวงเฉิงผู้เป็นพี่รองจะทิ้งพวกนางไปเพราะได้รับจดหมายครอบครัวฉบับหนึ่ง

หยวนกวงเฉิงถอนใจ ลุกขึ้นจากข้างบึงน้ำ แล้วจ้องมองพี่ใหญ่กับน้องสามที่ตนสาบานเป็นพี่น้องด้วย

“มารดาข้าส่งจดหมายมา ตอนนี้ข้าเองก็นับว่าปลุกสายเลือดให้ตื่นได้แล้ว ในที่สุดสายของข้าก็มีโอกาสกลับบ้านเกิด มารดาก็ดี ข้าก็ดี พี่น้องหลายร้อยคนก็ดี พวกเรารอโอกาสนี้มานานเหลือเกิน”

“แต่ว่า…” คนที่เป็นน้องสามยังคิดจะพูดอะไรอีก พี่ใหญ่กลับยื่นมือมาขวางไว้แล้วถอนใจเฮือกหนึ่ง

“ในโลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา น้องรอง เรื่องทางครอบครัวของเจ้า เจ้าต้องตัดสินใจเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรขอให้เจ้าจดจำไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หุบเขาเมฆดำยังมีสองพี่น้องรอเจ้าอยู่ ที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”

หยวนกวงเฉิงน้ำตารื้น พยักหน้าอย่างแรง

“อายุปูนนี้แล้ว พี่ใหญ่ท่านยังอ่อนไหวอยู่อีก…ข้าไม่ใช่จะไม่กลับมาเสียหน่อย”

“ถูกแล้ว” พี่ใหญ่ยิ้มตาม “เจ้าคงจะไม่กลับไปแบบนี้กระมัง ทายาททางสายเลือดที่เจ้ากระจายไปเมื่อครั้งกระโน้น ตอนนี้จะพากลับไปด้วยหรือไม่”

“แน่นอน สายของข้ามีคนไม่เยอะอยู่แล้ว รวมทั้งหมดไม่กี่คน ย่อมต้องพากลับไปหาบรรพบุรุษที่บ้าน” หยวนกวงเฉิงพยักหน้า

“อย่างนั้น…ขอให้ทุกอย่างราบรื่น” พี่ใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง

หยวนกวงเฉิงมองคนทั้งสอง น้ำตาไหลนองอยู่ชั่วขณะ

ณ แดนเหนือ เมืองภูหงส์บริเวณชายแดน

เมืองภูหงส์ตั้งอยู่บนชายแดนของต้าซ่ง อยู่ติดกับเทือกเขาเมฆดำ รอบๆ รกร้างว่างเปล่า นอกจากจะมียอดฝีมือที่ออกผจญภัยหาสมบัติสองสามคนหยุดอยู่ที่นี่เป็นบางครั้ง ที่เหลือก็ไม่มียอดฝีมือคนอื่นอีก

รายได้หลักในอำเภอคือขนสัตว์ที่พวกนายพรานล่าได้บนเขา รวมถึงสมุนไพรจำนวนมากที่คนเก็บสมุนไพรเก็บมาได้

ในห้องศิลาเล็กๆ ที่โกโรโกโสหลังหนึ่งของเมืองที่มีคนแค่สองสามพันคนแห่งนี้มีสตรีหน้าขาวที่ปล่อยผมคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในความมืดมิด

ไม่มีแสงเทียน ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีแม้แต่หน้าต่าง

นางผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่ยังคงมองออกจากรูปร่างและโครงหน้าได้ว่าเดิมนางเป็นสตรีที่มีรูปโฉมไม่เลว

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นประตูแง้มออก ประกายแสงเย็นเยือกสีขาวจุดหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้านาง

หมับ

ประกายแสงเย็นเยือกถูกสตรีคีบแล้วนำมาไว้ตรงหน้า

‘นี่…นี่คือ…!?’ พริบตาที่เห็นของในมือ ร่างของสตรีก็เหมือนสั่นไหว นางพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นและความยินดีที่ล้นเอ่อในใจ ขณะจ้องมองกระบี่สั้นที่ทำจากหยกเล่มเล็ก อันเป็นหน้าตาที่แท้จริงของประกายแสงเย็นเยียบตรงหน้า

ม้วนกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งพันอยู่บนด้ามกระบี่เล่มนั้น นางแกะม้วนกระดาษออกมาคลี่อ่านอย่างระมัดระวัง

‘ข้าตื่นแล้ว จงรีบพาคนกลับ!’

ม้วนกระดาษมีแค่ข้อความสั้นๆ ทว่าสำหรับนางกลับก้องกังวานจนห้วงสมองดังอึงอล ไม่ได้ยินเสียงใดๆ โดยสิ้นเชิง

ครู่ต่อมานางจึงค่อยสงบสติอารมณ์ แล้วลูบใบหน้า กลับไม่ทราบว่าน้ำตาอาบหน้าตั้งแต่ตอนไหน

‘ทุกข์ทนมาค่อนชีวิต ในที่สุด…ในที่สุดก็…’

ชื่อของนางคือหยวนกวงเช่อซิ่ง หนึ่งในสามบุตรสาวของหยวนกวงเฉิง มารดาหยวนกวงเฉิงเป็นลูกหลานของเมล็ดพันธุ์สำรองที่ตระกูลหยวนกวงกระจายออกสู่ด้านนอกเมื่อนานมาแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือยายของนางเป็นเมล็ดพันธุ์สำรอง และมารดาของนางก็เป็นหนึ่งในสายเลือดหลายร้อยคนที่แตกกิ่งก้านสาขาออกมา

ตระกูลหยวนกวงเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แต่ก็ประหลาดพิสดาร

นอกจากคนในตระกูลบางส่วนที่ปลุกพลังแฝงขึ้นมาในทันทีที่เกิด ที่เหลือล้วนถูกส่งออกไปภายนอกเพื่อแตกกิ่งก้านสาขาและสืบสายโลหิตจำนวนมาก จนกระทั่งได้จำนวนผู้ตื่นในระดับหนึ่ง จึงค่อยถูกตระกูลหลักเรียกกลับไปชุบเลี้ยง

และหยวนกวงเฉิงมารดาของนางก็เป็นหนึ่งในสายเลือดที่แตกกิ่งก้านสาขาในต้าซ่ง ขณะผู้เป็นยายออกเดินทางคนเดียว

สายเลือดแบบนี้มีอยู่หลายร้อยคนในต้าซ่ง

ที่หยวนกวงเช่อซิ่งตื่นเต้นขนาดนี้ เป็นเพราะการตื่นของหยวนกวงเฉิงผู้เป็นมารดาของนาง หมายถึงสายของนางมีโอกาสโดดออกมาจากเหล่าพี่น้องหลายร้อยคน ได้กลับตระกูลหลักและหลุดพ้นจากชีวิตอันทรมานและน่าเบื่อนี้

เพล้ง

กระบี่หยกพลันแหลกสลาย ก่อนจะลุกไหม้กลายเป็นเปลวไฟสีฟ้ากลุ่มหนึ่ง ไม่นานก็สลายหายไป

หยวนกวงเช่อซิ่งกลับยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน

‘หลายสิบปีแล้ว…ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว…ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีหวังแล้วเสียอีก…’ นางเป็นคนจิตใจดี แต่ว่าตระกูลหยวนกวงไม่ใช่คนจิตใจดี

การแตกกิ่งก้านสาขาของพวกเขา ไม่ใช่การหาบุรุษเพื่อปฏิสนธิและให้กำเนิดบุตร แต่เหมือนแมวดาวแปลงร่างเป็นรชทายาท พิราบครองรังสาริกา

วิชาลับสายเลือดของตระกูลสามารถสับเปลี่ยนสายเลือดของมารดาทารกในตอนแรกได้อย่างไร้วี่แวว โดยเปลี่ยนสายเลือดของตนเองลงไปแทน เพื่อรับสถานะทั้งหมดของอีกฝ่าย

วิชาลับนี้ใช้ครรภ์ของคนอื่นให้กำเนิดทายาทมากมายได้ในระยะเวลาอันสั้น แถมยังไม่เป็นผลเสียต่อตัวเอง แต่จะสร้างความเสียหายที่ไม่อาจชดเชยได้ให้แก่คนที่ฝากครรภ์

หยวนกวงเช่อซิ่งใช้วิชาลับนี้ไปแค่สิบครั้งในหลายสิบปีที่ผ่านมาเนื่องจากความจนปัญญา

นางเป็นคนจิตใจดี ถูกบีบบังคับให้ใช้วิชานี้สี่ครั้งก็ละอายใจถึงขีดสุดแล้ว จึงซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวในถ้ำเล็กๆ ซึ่งอยู่ลึกเข้ามาในเขาแห่งนี้ เพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ราวกับต้องการหลีกลี้ความจริง แต่นึกไม่ถึงว่าโชคชะตาจะเล่นตลก

มารดาของนางโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางพี่น้องหลายร้อยคน ทั้งตื่นขึ้นมาสำเร็จ ทั้งรวบรวมจำนวนผู้ตื่นได้ครบ

หยวนกวงเช่อซิ่งทั้งโศกเศร้าและยินดี

นางโศกเศร้าเพราะตนไม่มีหน้าไปพบกับครอบครัวสี่ครอบครัวที่ถูกฝากวิชาลับเอาไว้ และลูกๆ ที่เกิดจากสายเลือดของตนสี่คน นางจะอธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟังอย่างไร จะได้รับการอภัยจากพวกเขาอย่างไร จากนั้นพาพวกเขากลับไปด้วยกันอย่างไร

นางไม่รู้ว่าสายอื่นๆ แก้ไขปัญหานี้แบบไหน แต่นางคิดไม่ออกจริงๆ

ในความมืด หยวนกวงเช่อซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจุดตะเกียงน้ำมันในห้อง

ภายใต้แสงตะเกียงสีเหลืองมัวซัว นางเดินไปด้านหน้าเตียงเพียงหนึ่งเดียวในบ้านหิน ก่อนจะก้มลงเคาะก้อนอิฐบนพื้นใต้เตียงเบาๆ

ฟู่ว

แสงสีเขียวจุดหนึ่งกระจายออกมาจากก้อนอิฐ ก้อนอิฐค่อยๆ ยกสูงขึ้น เผยให้เห็นกล่องหินใบหนึ่ง

หยวนกวงเช่อซิ่งหยิบกล่องหินออกมาเปิด

กระดาษแผ่นเล็กๆ วางอยู่กลางผ้าไหมสีแดงด้านใน บนกระดาษเขียนชื่อไว้สี่ชื่ออย่างชัดเจน

พริบตาที่เห็นชื่อทั้งสี่ หยวนกวงเช่อซิ่งใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย นางขบริมฝีปาก ดวงตาฉายความรู้สึกมากมายเช่นความละอาย จนใจ และสับสน

ในชื่อทั้งสี่ชื่อนี้มีชื่อหนึ่งคือซุนเยี่ยนตระกูลลู่

ลู่เซิ่งอยู่ที่ตำหนักแดงเดือดหลายวัน หลังบรรลุข้อตกลงในการร่วมมือกับพวกซั่งหยางจิ่วหลี่ ก็รีบกลับสำนักมารกำเนิด เพื่อเตรียมไปยังเมืองล่าอินทรีอันเป็นฐานที่มั่นอีกแห่ง

เพียงแต่ในเวลานี้เอง จดหมายครอบครัวที่มาจากแดนเหนือกลับส่งมาถึงมือของลู่เซิ่งด้วยขุมกำลังของตระกูลซั่งหยาง

หมอกสีดำแผ่กระจาย สำนักมารกำเนิดยามค่ำคืนเงียบสงัด

ลู่เซิ่งยืนอยู่ในถ้ำของตัวเอง คลี่จดหมายในมือออกเบาๆ แล้วเริ่มอ่านอย่างละเอียดโดยอาศัยแสงเทียน

บิดาลู่เฉวียนอันเป็นผู้เขียนจดหมาย แถมยังเขียนด้วยลายมือตัวเอง เนื้อหามีไม่มากนัก แต่หลังจากอ่านจนจบ ใบหน้าที่ผ่อนคลายของลู่เซิ่งในตอนแรกก็กลายเป็นเคร่งขรึมโดยสมบูรณ์

‘นึกไม่ถึง…ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…’ ความจริงเขาสงสัยต่อชาติกำเนิดของตัวเองมานานมากแล้ว

แม้จะแน่ใจว่าเป็นคนธรรมดาที่ไร้พรสวรรค์คนหนึ่ง ทว่าสุดท้ายพลังทางสายเลือดที่ปลุกกระตุ้นหลังจากฝึกฝนวิชาลับมารกำเนิดก็ไม่ใช่ของปลอมแต่อย่างไร

แม้พลังเผาไหม้นั้นจะอ่อนแอยิ่ง อย่างมากสุดได้แค่จุดยาเส้นและบางทีรุ่นต่อไปอาจจะเหลือน้อยจนถึงขั้นกระตุ้นไม่ได้อีก แต่สุดท้ายก็ยังเป็นพลังทางสายเลือดอยู่ดี

……………………………………….